webnovel

ณ ทรงวาด 3

"นั่นล่ะ โกดังของอยู่ชั้นสี่ เธอแบกขึ้นบันไดไปเก็บหน่อย"

"ทำไมทำโกดังเก็บของอยู่ชั้นสี่"

เหมยกุ้ยถาม เพราะดูจากกองของตรงหน้าแล้ว มันก็น่าแปลกที่อีกคนใช้ชั้นบนสุดของตึกเป็นที่เก็บของหนักๆ

"เพราะไม่งั้นลูกค้าต้องเดินขึ้นหลายชั้น อีกอย่าง ถ้าของหนักๆ ฉันให้เด็กเอาเข้าชั้นวางที่ชั้นล่างสุดนี่เลย ในกองนี้น่ะของเบาๆทั้งนั้น"

"เข้าใจล่ะ ก็แปลว่าไม่หนักมาก"

"ใช่ จะเริ่มขนได้หรือยังเล่าแม่คุณ"

"เริ่มแล้วจ้าๆ"

"ถ้าไม่ไหวพักได้นะเหมยกุ้ย"

"สบายมาก"

พูดจบเหมยกุ้ยก็ยกของขึ้นมาสามลัง แล้วก็หันไปเห็นเฟยเจินทำหน้าตกใจ

"มีอะไรรึเปล่า"

"เปล่า คือรู้ว่าหน่วยก้านดีนะ แค่ไม่คิดว่าจะยกได้ขนาดนี้"

"คนมันสวย"

"มันเกี่ยวกันอย่างไร"

เฟยจินถาม ก่อนที่จะได้รับคำตอบเป็นการยักไหล่ใส่ของอีกคน เฟยเจินจึงโบกมือไล่ให้ไปยกของให้เสร็จๆ

แต่แล้วเฟยเจินก็ต้องทำหน้างงอีกครั้งเมื่อเหมยกุ้ยมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม ทั้งๆที่มันยังไม่ทันจะผ่านไปเพียงครึ่งวันด้วยซ้ำ

"เสร็จแล้วหรือ"

"ใช่แล้ว ก็บอกเองนี่ ว่าของมันไม่หนัก"

"เอ้อ ทำงานดี แบบนี้ค่อยน่าจ้างหน่อย"

"แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่านายจะจ้างฉันเท่าไหร่"

"นี่คุณเธอขอรับ ฉันทราบนะว่าฉันบอกเธอว่าอายุเราใกล้เคียงกัน แต่อยู่ในร้าน เธอควรเรียกฉันว่าเฮีย เหมือนคนอื่นๆ เพราะแค่ภาษาพูดเธอก็แปลกอย่างกับไม่ใช่ภาษาไทยอยู่แล้ว อย่าแปลกไปมากกว่านี้เลย"

"เออๆ สรุปจะจ้างฉันเท่าไหร่ล่ะเฮีย ถ้าไม่บอกราคา พรุ่งนี้จะหนีนะ ไม่มาทำแล้ว"

"ฉันจ้างวันละสามสิบบาท"

"อะไรนะ สามสิบบาท ค่าจ้างขั้นต่ำมันสามร้อยบาทไม่ใช่รึไง นี่มันกดลูกจ้างกันชัดๆ"

"สามร้อยอะไรของเธอ สามร้อยบาทนั่นมันแทบจะซื้อรถยุโรปได้อยู่แล้ว"

เหมยกุ้ยเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน เพราะดันลืมตัวว่าตัวเองย้อนเวลามาเป็นร้อยปี

คุณพ่อของเหมยกุ้ยเคยเล่าว่าสมัยตัวเองเด็กๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละห้าสิบสตางค์ แล้วสมัยรัชกาลที่หกนี่สามสิบบาทนี่มันเยอะขนาดไหนวะเนี่ย

"เปล่าๆ ไม่มีอะไร"

"พูดจาประหลาดอีกแล้ว"

"ขอโทษแล้วกัน แล้วนี่จะให้ทำอะไรอีก"

"เอ้า เอาไป"

เฟยเจินยื่นห่อผ้าอันใหญ่ให้

"ให้แบกขึ้นไปอีกหรอ"

"ไม่ใช่ เมื่อวานที่ฉันเจอเธอตรงถนนน่ะ เธอไม่มีอะไรติดตัวเลยแม้แต่เสื้อผ้าสำรอง"

"ก็จริง นี่ก็ชุดเมื่อวาน"

เหมยกุ้ยชี้ที่เสื้อของตัวเอง ที่ใส่มาตั้งแต่ตอนงานเผาศพป๊ากับม๊าเธอ

"นั่นแปลว่าเธอยังไม่อาบน้ำเลยสิเหมยกุ้ย"

"อาบแล้ว แค่ใส่ชุดเดิม"

เหมยกุ้ยพูดกับตัวเอง ก่อนจะหันมายิ้มอย่างอายๆ

"ก็มันไม่มีชุดจะเปลี่ยนน่ะ สบู่ก็ไม่มี"

"ไอ้ห่อนี่น่ะ ฉันซื้อให้ ฉันไม่รู้หรอกว่าที่มาที่ไปของเธอมาจากไหน ดูจากสภาพที่เธอเดินบนถนนเมื่อวานน่ะฉันเดาไม่ออกหรอก แต่ถือว่าแทนขำขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้เข้าไปช่วยตอนเธอทะเลาะกับพวกนังเลงคุมคลับเสียก็แล้วกัน"

"แล้วมันคืออะไรหรอ"

เหมยกุ้ยถามเมื่อรับห่อผ้าอีกคนมาจิ้มๆดู แล้วมันก็นิ่มดีจนน่าจะเป็นหมอนได้ แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะที่ห้องพักนั่นก็มีหมอนให้แล้ว

"เสื้อผ้าสามสี่ชุด สบู่ แปรงขัดฟัน ของใช้ทั่วไป แล้วก็เอ่อ…"

"แล้วก็อะไร"

เหมยกุ้ยถามเมื่อเห็นอีกคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจจะตอบ

"ของนั้นน่ะ"

"ของอะไรเล่า ไม่บอกจะรู้มั้ยเนี่ย"

"ไอ้อันนั้นไง"

"อะไร"

เหมยกุ้ยเท้าสะเอว เพราะเริ่มรำคาญใจที่อีกคนไม่พูดเสียที

"ผ้าซับระดูน่ะ"

เฟยเจินพูดแบบที่แทบจะกระซิบ

"จะกระซิบทำไมวะเฮีย ฟังไม่รู้เรื่อง"

"ผ้าซับระดู ชัดรึยัง"

"ก็แค่นี้ จะอายทำไม"

เหมยกุ้ยเข้าใจได้ว่าอีกคนหมายถึงผ้าอนามัย จึงได้ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนต้องพูดหลบๆซ่อน เหมยกุ้ยเหลือบตามองอีกคน แต่เฟยเจินไม่ตอบ

"จริงๆถ้าจะอายที่ซื้อให้ก็เอาเงินมาก็ได้ เดี๋ยวฉันไปซื้อเอง"

"ฉันเอามาให้ เพราะมันซื้อไม่ได้ ผ้าซับระดูแบบพร้อมใช้มันยังไม่มีขายในสยาม พี่ชายฉันคนที่เปิดคลับ เขาไปซื้อมาจากต่างประเทศ เอามาให้พวกสาวๆที่คลับเขาใช้ ก็เลยไปขอมาให้"

"อย่างงั้นก็ขอบใจนะ แล้วนี่จะให้ทำงานอะไรต่อ"

"เธอทำงานเร็วไปหน่อย ฉันคิดต่อไม่ออก ว่าจะให้เธอทำงานกระไรดี"

"ฉันทำงานดีขนาดนี้ จะพาฉันไปสมัครงานที่โรงงิ้วได้รึยัง"

"ใจคอนี่จะอยู่โรงงิ้วให้ได้เลยหรืออย่างไร เขาต้องฝึกเล่นกันตั้งแต่เด็กๆ เธอเคยฝึกหรือ"

"ไม่เคยหรอก แต่ฉันซ่อมเสื้อผ้างิ้วเป็นนะ ที่คณะเขารับคนซ่อมเสื้อผ้ามั้ย"

"เขามีอยู่แล้ว อาจจะมีเป็นสิบคนด้วยกระมัง อีกอย่าง ทำงานให้ฉันมันไม่ดีตรงไหน"

"ก็บอกไปแล้วว่าชอบงิ้ว"

"เช่นนั้นก็กลับบ้านฉัน ไปอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย วันนี้โรงงิ้วของเฮียมีแสดง เดี๋ยวพาไปดู"

"จริงหรอ"

เหมยกุ้ยตอบกลับด้วยดวงตาแวววับ

"จริง"

"เสียเงินดูมากรึเปล่า"

แต่นิสัยขี้งกของเหมยกุ้ยก็มาห้ามเธอไว้ทุกที

"โรงงิ้วพี่ฉัน ฉันพาไป ก็เข้าได้แบบไม่ต้องเสียเงิน"

"จริงหรอ ขอบคุณนะเฮีย"

"เออๆ ไปอาบน้ำไป เหม็นจะแย่"

"จะไม่เหม็นได้ไง งานก็หนัก เหงื่อก็ออก"

"บ่นมากฉันจะไม่พาไปโรงงิ้ว"

เท่านั้นล่ะ เหมยกุ้ยถึงกับวิ่งแจ้นออกจากร้านไปทางบ้านของอีกคนทันที

แต่พอมาถึงตอนเย็นที่เฟยเจินจะพาอีกคนไปโรงงิ้ว เหมยกุ้ยก็กลายร่างเป็นเจ้าหนูจำไม ที่ถามนู่น ถามนี่ไม่มีหยุด

"นี่ๆ แถวนี้โรงงิ้วเยอะรึเปล่า"

"ไม่แน่ใจ แต่ฉันว่าสิบแห่งเป็นอย่างต่ำ บางที พวกคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดแสดงชั่วคราวบ้างเป็นบางโอกาส แต่โรงงิ้วที่ตั้งถาวรก็น่าจะนั่นล่ะ สิบเป็นอย่างต่ำ ยังไม่นับพวกที่เล่นในบ่อนเบี้ย"

"โห เยอะจัง แล้วแบบนี้ ไม่แย่งลูกค้ากันหรอ ทั้งชาวสยาม ทั้งชาวจีน"

"งิ้วที่คนแถวนี้เล่นเป็นงิ้วแต้จิ๋ว เพราะคนจีนที่เข้ามาในสยาม เป็นพวกจีนแต้จิ๋ว แต่งิ้วที่มาจากเมืองจีน เป็นงิ้วแบบอื่น"

"งิ้วเจี่ยอิมหรอ"

เหมยกุ้ยถาม เพราะตัวเธอเอง ด้วยความที่ชอบ เลยเคยศึกษามาบ้าง ถึงได้รู้ว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีงิ้วแค่แบบเดียว

"เธอรู้"

เฟยเจินหยุดเดิน แล้วหันมาถาม

"รู้จัก แต่ไม่มีโอกาสได้ดู"

"ไม่เคยดูเลยหรืออย่างไร"

"ก็เคยบ้าง พวกที่เล่นฟรีตามงานตรุษจีน ไม่ก็กินเจ"

"คณะใหญ่ๆ เขาก็เล่นแบบไม่ต้องเสียค่าเข้าชมในช่วงเทศกาลทั้งนั้น บ้างก็ถือว่าทำทาน"

เฟยเจินเดินต่อ แต่เดินไปได้สักพัก หญิงสาวที่เดินอยู่ข้างๆก็ถามขึ้นมาอีก

"แล้วเมื่อวานนายไม่ได้ไปดูหรอ ถึงมีเวลาว่างไปนั่งดูฉันต่อยมวยน่ะ หรือว่าดูจนเบื่อ"

เหมยกุ้ยพูดใส่ด้วยน้ำสียงประชดประชัน เพราะยังเคืองอีกคนไม่หาย

"เมื่อว่าเขาเล่นถวายเจ้า ฉันก็ไม่ได้ไปดู"

"อะไรนะ มีเจ้ามาดูด้วยหรอ ใครหรอ"

เหมยกุ้ยถามขึ้นมา เพราะไม่คิดว่าคนในรั้วในวังสยามสมัยก่อนจะชอบดูงิ้ว แต่กลับได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากอีกคน

"เจ้า ที่หมายถึงเจ้าในศาลเจ้า ไม่ใช่เจ้านาย"

"อ้าว"

"งิ้วทุกคณะ รอบแรกน่ะเขาจะไปเล่นกันที่ศาลเจ้าเก่า เป็นการถือเคล็ด ว่าจะทำให้งิ้วประสบความสำเร็จดี ให้ได้เงินโข"

"แล้วอย่างพวกงิ้วที่นายบอกว่ามาจากเมืองจีนนี่ เขาทำด้วยมั้ย"

"ทำ งิ้วคณะไหนมาเล่นแถวสำเพ็ง แถวทรงวาด ก็ต้องมาเล่นถวายที่ศาลเจ้าเก่าทั้งนั้น เอ้า ถึงแล้ว"

เฟยเจินหยุดเดิน ก่อนจะชี้ไปทางแถบสังกะสีที่ปิดไว้ มีประตูบานกว้างพอให้คนเดินเข้าไปข้างใน และโต๊ะขายตั๋ว เหมยกุ้ยมองตามมือที่อีกคนชี้ ก็ถึงกับต้องตาโต เพราะเพียงแค่มองจากข้างนอก ก็รู้ว่าเวทีคงจะใหญ่มากโข

"นี่เขาเล่นเรื่องอะไร"

"ไม่แน่ใจ แต่ฉันคิดว่านางพญางูขาว เพราะช่วงนี้ใกล้ไหว้บ้ะจ่าง"

"ก็จริง คงเพราะมันมีตอนที่นางพญางูขาวกินเหล้าจนคืนร่างตอนวันไหว้บ้ะจ่าง"

"เธอนี่รู้เยอะกว่าที่ฉันคิด"

"ก็บอกแล้วว่าชอบ เลยรู้เยอะ"

"แต่ก็ไม่มีเงินไปดูอีกตามเคย"

"ก็จริง จะเข้าไปได้รึยังล่ะ"

"เราไม่ได้จะเข้าทางนี้"

เฟยเจินพูดพร้อมกับชี้ไปทางประตูที่คนทั่วไปซื้อตั๋วเข้าไปนั่งดู

"อ้าว มันมีทางเข้าอื่นหรอ"

"เดี๋ยวฉันไปหาเฮียที่หลังโรงก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเข้าจากทางนั้นพร้อมเฮีย"

"ไปทำอะไร"

"มันเป็นบ้านพี่ชายฉัน ฉันก็จะไปนั่งเล่นอย่างไรเล่า อีกตั้งนานกว่างิ้วจะเริ่ม เอาเธอไปแนะนำตัวด้วย เผื่อพี่ชายฉันจะสนใจ"

"จริงหรอ"

"จะไปหรือไม่เล่า หากไปก็รีบตามมา"

เมื่อเดินตามอีกคนเข้าไปในตรอกเล็กๆข้างทางเข้าโรงงิ้ว จนถึงบ้านหลังใหญ่ข้างหลังแล้ว เหมยกุ้ยจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหนังสือในห้องของคุณพ่อตัวเอง จึงได้เขียนไว้ว่า สมัยรัชกาลที่หก กิจการงิ้วรุ่งเรืองมาก มันเป็นอย่างไร

ฝากผลงานเรื่อง ณ ทรงวาดด้วยนะคะ

สามารถพูดคุยกับนักเขียนได้ทาง twitter:@littlelzybeez หรือ #ณทรงวาด นะคะ หรือจะพูดคุยกันทางคอมเม้นก็ได้นะคะ

* ผ้าซับระดู หรือผ้าอนามัยในสมัยก่อน พบหลักฐานการเข้ามาขายในประเทศไทยครั้งแรกช่วงปีพ.ศ. 2468 โดยเซตติ้งของนิายเรื่องนี้อยู่ที่ปีพ.ศ.2455

ทั้งนี้หากผิดพลาดด้านข้อมูลประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

- สมุทรา -

samuthracreators' thoughts
Chương tiếp theo