บรรยากาศในวิหารมาคุดุดันอยู่นานจนเสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงันเหล่านั้น
"ขออภัยที่เรามาช้า ท่านยมโลก"
ร่างสูงยาวราวสามเมตรปรากฏขึ้นให้เห็น คนเบื้องหน้าเป็นชายร่างอรชรสวมเสื้อผ้าสีขาวครีมไร้เครื่องประดับ แต่แค่ใบหน้าพริ้มเพราก็ทำเอาสิ่งรอบกายดูไร้ค่าแล้ว บนศีรษะมีวงแหวนสีทองลอยวนอยู่ ด้านหลังก็มีปีกถึงสี่คู่คล้ายกับรูปปั้นที่เห็นในวิหารเก่า
"เจ้าคือผู้ถูกสาปให้เป็นอมตะจากท่านเทพแห่งความเมตตาองค์ก่อนสินะ น่าสงสารเสียจริง ทั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยแท้ๆ"
เทพผู้เมตตาเดินเข้าไปหาอีคอน และกำลังลูบหัวให้เขา แต่ก็ถูกยมโลกพูดขึ้นขัดเสียก่อน
"มิใช่คนผู้นั้นหรอกขอรับ เป็นสตรีที่ยืนอยู่ไม่ห่างต่างหาก นางถูกสาปในเป็นอมตะ ทำให้วิญญาณนางสูญหายไปจากสารบบ อันเป็นปัญหาที่ข้ากำลังตามแก้อยู่ตอนนี้"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง" เทพผู้เมตตาเดินเข้าไปหานางแล้วแบมือออกมา "เจ้าวางมือของเจ้าไว้บนมือข้า ข้าจะรับคำสาปนั้นคืนมาเอง"
"เจ้าค่ะ"
ไลลาวางมือลงบนมือท่านเทพก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกดึงออกจากจิตวิญญาณไป ไม่นานสิ่งที่ถูกดึงไปนั้นก็ได้หยุดลง
"นับจากนี้ไปเจ้าจะไม่ใช่มนุษย์อมตะอีกแล้ว จงใช้ชีวิตที่เหลืออย่างระมัดระวังตัวเอาไว้ด้วย"
ไลลาไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่านางจะได้กลับไปใช้ชีวิตต่อหรือ "ท่านเทพเจ้าคะ แต่ข้ามีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้ว ทำไมไม่ให้ข้าตายไปเสีย ยังไงข้าก็สมควรตายมาหลายพันปีแล้ว นั่นมันเป็นชะตากรรมที่ข้าสมควรได้รับ"
ท่านเทพนิ่งเงียบลงก่อนจะกุมมือของนางเอาไว้ "ข้าเข้าใจว่าความเชื่อของวิหารคือการไม่ขัดขืนโชคชะตาไม่ว่าจะเลวร้ายมากแค่ไหน จะโอบรักความไม่สมบูรณ์ของโลกใบนี้ไว้จนกระทั่งตายจาก ข้าเองก็เป็นนักบวชผู้เคยเชื่อมั่นในความเชื่อนั้นจนกระทั่งตายจาก แต่ความตายของข้านั่นกลับสร้างบาปกรรมใหญ่หลวงให้คนที่ข้ารัก เขายอมสังหารข้าเพื่อให้ข้าไม่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายเบื้องหน้า ความตายของเราทั้งคู่นั้นทำให้ข้าตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วความเมตตาของข้านั้นมีไว้เพื่ออะไร หากมีแล้วต้องทำให้คนที่รักเป็นทุกข์แล้วตกอยู่ในนรกแทนข้า ข้าคงไม่ต้องการเช่นนั้น เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วข้าจึงได้ตั้ง ปณิธานใหม่ ต่อให้มีความเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว ก็ควรมีเมตตาต่อตัวเองบ้าง หากว่าต้องพบเจออุปสรรคและโชคชะตาอันโหดร้ายแล้ว จงใช้ความเมตตาต่อตัวเองนั้นทำให้ตนรอดโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อที่ตนจะได้สร้างคุณประโยชน์ให้โลกสืบไป ตัวเจ้าเองก็สามารถทำได้ เจ้ากลับไปใช้ชีวิตครั้งนี้ถือว่าได้รับความอภัยจากความผิดทั้งหมดที่เจ้าก่อ และจงสร้างความดีและความสุขเพื่อตนเองและคนที่รักจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง"
ไลลาได้ฟังอย่างนั้นก็เริ่มคิดใหม่ และจะลองตั้งปณิธานใหม่อย่างที่ท่านเทพกล่าว
"ข้าจะกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่าเลยเจ้าค่ะ"
ท่านเทพอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปล่อยให้นางกลับไป ไลลาวิ่งกลับมิติเดิมทันทีโดยไม่รออีคอน สวนอีคอนก็ยืนจ้องหน้าท่านเทพไม่ขยับไปไหน
"เจ้าไม่กลับรึอีคอน" ยมโลกออกปากไล่
เมื่อเห็นฮาวเวอร์ไม่ไหวติ่งเขาก็เปิดมิติขึ้นเองแล้วให้มิตินั้นกลืนเขาออกไป
"ไม่ว่าจะคาเอลคนไหนก็ทนเสน่ห์น่าหลงใหลของท่านไม่ได้เลยนะขอรับ" ยมทูตกล่าวขึ้นมา
"ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ขนาดท่านยมโลกยังคุยกับข้าได้ปกติเลย" ท่านเทพกล่าว
"ใช่ที่ไหนกันล่ะขอรับ ที่เห็นเขาตอบโต้ได้อยู่นั้นจริงๆ แล้วมันเป็นโหมดอัตโนมัติขอรับ"
"ถ้างั้น… ข้าก็คงมาถามข่าวคราวเรื่องปีศาจลักจิตไม่ได้สินะ"
"เรื่องนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจับได้เลยขอรับ แถมวิญญาณผู้สูญหายของเหล่าลูคัสก็มีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทางเราก็พยายามติดต่อไปทางผู้คุมนรกแล้ว แต่เขาหนีไปยังขุมนรกลึกทำให้ตามจับตัวได้ยาก ท่านก็รู้ใช่ไหมล่ะขอรับว่าขุมนรกยิ่งลึกยิ่งกลับมาเกิดยากแถมจะถูกนำไปจุติในความมืดได้ง่าย ถ้าเขาเอาเหล่าวิญญาณเหล่านั้นไปด้วย โลกทั้งหลายจะมีคาเอลชั่วมากขึ้นเมื่อไม่มีความรักให้ใฝ่ถึง"
"เฮ้อ น่าเหนื่อยใจกับวิญญาณแยกของสองเราเสียจริง"
"ช่วยไม่ได้นะขอรับ ก็ท่านเป็นวิญญาณแยกรุ่นแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมา"
อีคอนกลับมายังโลกเดิมที่ตัวเองจากมา เขายังอึ้งงันกับสิ่งที่เห็นอยู่ เทพที่มีรูปลักษณ์งดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้ แต่ก็ช่างสมถะรักษากิริยาและความเงียบสงบ ดูแล้วช่างน่านับถือ
'พวกเรากลับเข้าไปดูอีกรอบดีไหม'
'อย่าใช้มิติพร่ำเพรื่อเลยขอรับ บางทีถ้าเราเอาวิญญาณหลงทางกลับไปอีกได้ ก็คงได้เจออีก'
'งั้นเราไปหาวิญญาณหลงทางกันดีกว่า'
'อื้ม'
เมื่อคิดเช่นนั้นจิตทั้งสองก็ตั้งมั่นที่จะเดินทางออกไปนอกถ้ำจนคนที่ยังอยู่นั้นถึงกับสงสัย
"นั่นเจ้าจะไปไหน? " ฟอสเตอร์ถาม
"ข้าจะกลับแล้วขอรับ"
"แล้วเจ้าไม่จัดการข้าแล้วรึไง? "
"เดี๋ยวข้าส่งคนมาสู้ด้วย หากเจ้ายังมาราวีคนในเขตข้าไม่เลิก"
"ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ปกครองเขต ให้ข้าไปอยู่กับเจ้าด้วยได้ไหม? ตอนนี้ข้ากลับมาเป็นคนแล้ว ถ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไปคงได้อดตายแน่ๆ "
"หา? เจ้าจะไปอาศัยอยู่กับมันทำไม จำไม่ได้แล้วรึว่าพวกมนุษย์ทำอะไรกับเจ้าบ้าง แถมเขตปกครองของอมนุษย์มันก็มีแต่มารเห็นแก่ตัวปกครองกันทั้งนั้น เจ้าคิดว่าไปอยู่กับมันแล้วจะรอดกว่าอยู่กับข้างั้นหรือ? "
"อย่างน้อยก็ไม่ต้องฟังเจ้าบ่นก็แล้วกัน"
ไลลาวิ่งไปหาอีคอนก่อนจะเดินนำทางออกจากถ้ำไป อีคอนเองก็เดินตามหลังทิ้งให้ฟอสเตอร์อยู่ด้านหลังกับสมบัติมากมายไม่มีใครเหลียว ปล่อยให้เหลือเพียงตัวคนเดียวในถ้ำเปลี่ยวกลางพงไพร
เมื่อทั้งสองเดินออกจากถ้ำ จาคอบก็มารอรับอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นมีสตรีผู้นั้นติดมาด้วยก็ได้แต่สงสัย จึงได้ถามออกไป
"นายท่านขอรับ สตรีผู้นั้นเป็นมนุษย์อมตะไม่ใช่หรือขอรับ ท่านจะพานางกลับไปด้วยหรือขอรับ"
"ใช่ เพราะข้าน่าสงสาร นายท่านของเจ้าก็เลยจะพาไปอยู่ด้วย" ไลลาชิงตอบก่อน"
"แล้วเรื่องมังกรล่ะขอรับ? "
"ฟอสเตอร์เป็นแค่มังกรอันธพาล ปล่อยเขาไปก่อน หากว่าเขาก่อเรื่องอีก นายท่านของเจ้าก็จะส่งคนมากำราบเขาเอง"
จาคอบยังไม่ทันได้ฟังจากปากของลูกพี่ ไลลาก็พูดแทรกขึ้นก่อน เขาหันไปมองหน้าอีคอนอีกที
"ตามนั้นแหละ"
อีคอนพูดอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเดินหน้าไปต่อ แต่ไลลากลับทักท้วงขึ้นมาก่อน
"พวกเจ้าเดินทางไปตรงนั้นมันอันตรายนะ ถ้าไปทางเลียบแม่น้ำจะปลอดภัยกว่า"
คนทั้งสามออกเดินทางเลียบแม่น้ำตามที่ไลลาแนะนำ และไม่พบสัตว์ร้ายเข้าโจมตีอย่างทางที่ตัวเองผ่านมา แม้จะต้องเดินอ้อมไปหน่อย แต่ก็เดินทางได้เร็วอย่างไม่ต้องแวะไปสู้กับใคร
"ท่านฮาวเวอร์ ทำไมท่านถึงไม่เอาสมบัติของฟอสเตอร์มาด้วยล่ะเจ้าคะ ข้านึกว่าท่านมาเพราะตามล่าหาสมบัติเสียอีก"
"ถ้ามีมันก็ดีนะขอรับ แต่ว่าถ้าขโมยมามันจะไม่ดี แถมที่เขตปกครองส่วนใหญ่จะใช้แรงงานแลกกับเสบียงและนำเสบียงไปแลกกับอย่างอื่นต่อ เรียกได้ว่าเขตปกครองของข้ายังไม่มีเงินตราไว้แลกเปลี่ยนเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีงานหรือสินค้าเป็นของตัวเอง การซื้อขายจึงยังไม่เกิดขึ้น เพราะงั้นหากว่าเอาเงินเข้ามา คนที่นั่นจะใช้จ่ายลำบากหากนำไปหาซื้อแลกกับอย่างอื่นไม่ได้ ตอนนี้เรากำลังสร้างฐานความรู้แล้วค่อยกระจายเป็นอาชีพให้เด็กๆ ก่อน ส่วนผู้ใหญ่ก็จะให้ทำงานแลกเสบียงอาหารเพื่อสร้างความรู้ และนำไปต่อยอดเป็นสินค้าต่างๆ ได้" อีคอนตอบ
"พอถึงตอนนั้นเจ้าจะมาชิงสมบัติจากฟอสเตอร์ไปหรือ? "
"ไม่ใช่หรอกขอรับ หากเรามีสินค้าเป็นของตัวเองก็สามารถนำเงินจากอาณาจักรอื่นเข้าเขตปกครองได้ หากเงินจากการค้านั้นไหลเวียนเข้าออกง่ายมากขึ้น ทางเราก็จะมีคลังสมบัติเป็นของตัวเองไว้สร้างธนาคารกลางเพื่อรับจ่ายเงินตราและสร้างสกุลเงินเป็นของตัวเอง จากนั้นข้าจะเก็บภาษีส่วนกลางไว้บำรุงเขตปกครองให้พัฒนาขึ้น อำนวยความสะดวกให้คนทุกอาชีพได้ใช้ชีวิตอย่างสบายจนสิ้นอายุขัย"
ทุกประโยคทุกคำพูดนั้นถูกฮาวเวอร์สั่งราวกับเป็นจิตอีกหนึ่งเสียงที่เขาได้ยิน ไลลาได้ฟังอย่างนั้นก็ทำหน้าเหวอก่อนพูด
"โอ้ ข้าไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่ถ้าเจ้าไม่คิดจะราวีฟอสเตอร์ข้าก็เบาใจแล้วล่ะ"
"แล้วเจ้าทิ้งเขามาไม่เป็นห่วงเขารึ? "
"ก็เป็นห่วงอยู่หรอกนะ แต่ฟอสเตอร์แข็งแกร่งอยู่แล้ว หากมีข้าอยู่ด้วยอาจกลายเป็นตัวถ่วงให้เขา แถมตอนนี้ข้าได้เริ่มต้นใหม่แล้ว ข้าก็อยากจะสร้างวิหารท่านเทพแห่งความเมตตาไว้บูชาแล้วคอยแนะนำผู้อื่นไปในทางที่ดี"
อีคอนได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับตาตื่นขึ้นมาทันที ถ้าหากมีวิหารในการปกครองแล้วล่ะก็ อาจลดความบาดหมางเก่าระหว่างทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็เป็นได้ เพราะถึงแม้จะมีกฎเกณฑ์เป็นข้อบังคับ นั่นก็แค่ทำให้ชีวิตอยู่ง่าย แต่ไม่ใช่น่าอยู่ขึ้น
"เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยนะ ถ้าหากมีคนคอยรับฟังความทุกข์ผู้อื่นและแนะนำให้เห็นผลของการทำดีและทำชั่วได้ อาจสร้างความเข้าใจในชีวิตมากขึ้นและเลือกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น"
'เจ้าคิดจะสร้างลัทธิบูชาท่านเทพแห่งความเมตตารึ ชิ ข้าไม่ชอบให้ใครมาชื่นชมความน่ารักของลูคัสนอกจากข้า แต่ถ้าจะทำก็อย่าให้น้อยหน้าเทพองค์อื่นเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดนะ!'
ฮาวเวอร์กล่าวอย่างหนักแน่นก่อนที่ทั้งคู่จะเดินมาถึงนครฮาวเวอร์ ทหารเมื่อเห็นอีคอนเดินมาพร้อมหญิงสาวมนุษย์ก็รีบวิ่งไปบอกโทมัสให้เขาเดินมาดู โทมัสเดินมาเห็นสตรีรูปโฉมงามกับอีคอนก็หรี่ตามองเจ้าชายอาณาจักรตัวเองอย่างมีเลศนัย
"ยินดีต้อนรับกลับขอรับนายท่าน" โทมัสกล่าว
"อืม ระหว่างข้าไม่อยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นไหม? "
"ก็มีเรื่องเกิดขึ้นบ้างตามประสาคนจำนวนมาก แต่ว่าลาติโนก็จัดการทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้วขอรับ"
"ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว"
"แต่ว่านายท่าน สตรีข้างหลังท่านนั้น…"
"นางเป็นแม่ชีที่คอยเผยแผ่คำสอน ข้าฟังนางแล้วรู้สึกศรัทธาจึงพากลับมาด้วย"
"ศรัทธา? "
โทมัสทำหน้าสงสัยก่อนจะปล่อยอีคอนให้เข้าไปพักผ่อน สองวันหลังจากนั้นก็มีก้อนหินขาวขนาดใหญ่ถูกนำเข้ามาในนครฮาวเวอร์ หลังจากนั้นทั้งฮาวเวอร์ทั้งอีคอนก็สลับจิตกันไปมาวนเวียนอยู่กับก้อนหินก้อนนั้นจนหลายอาทิตย์ผ่านไป
ในนครฮาวเวอร์ที่ด้านหนึ่งของตัวเมืองมีวิหารถูกสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตร ที่ใจกลางวิหารนั้นมีเสาสูงถูกปกคลุมด้วยผ้า และในวันนี้ทุกคนจะได้เห็นประติมากรรมวิจิตรศิลป์ที่เขาสู้อุตส่าห์สร้างขึ้น ผ้าคลุมนั้นถูกปลดออกต่อหน้าสาธารณชน เผยให้เห็นรูปปั้นหินอ่อนสีขาวนวลรูปทรงคล้ายทั้งบุรุษทั้งสตรีมีปีกถึงสี่คู่อยู่ด้านหลัง ใบหน้างดงามสมส่วนอมยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอย่างอิ่มเอิบ สองมือแบเบื้องหน้าราวกับกำลังให้หรือรับอะไรสักอย่าง ริ้วรอยผ้าพลิ้วบางราวกับของจริงก็ไม่ป่าน คนที่ได้มองต่างตกตะลึงก่อนที่ฮาวเวอร์จะดันหลังของไลลาเข้าไปคำนับต่อหน้ารูปปั้นเทพ
จากที่ฮาวเวอร์คอยพร่ำสอนให้นางทำกิริยางดงามไม่ให้เสียหน้าการเป็นผู้เผยแผ่คำสอนของท่านเทพแห่งความเมตตา หรือจะเรียกอีกนัยว่าการขายตรง รูปปั้นที่ฮาวเวอร์อุตส่าห์ตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือนี้ก็เพื่อสร้างภาพจำติดตาให้คนที่มาเห็นเกิดความเชื่อถือ และสุดท้ายหน้าม้าเข้าร่วมลัทธิบูชาเพื่อเผยแผ่ต่อ
"ข้าไลลาแห่งนครฮาวเวอร์ ขออัญเชิญเทพแห่งความเมตตาให้มาสถิตยังรูปปั้นองค์นี้ ที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมแรงศรัทธาที่มีต่อท่าน จากนี้และตลอดไป"
เมื่อกล่าวจบก็มีแสงลอดออกมาจากด้านบนส่องประกายหินขาวให้สว่างยิ่งกว่าเดิม ผู้คนในละแวกนั้นต่างนั่งแบมือไปด้านหน้าแบบเดียวกับที่ไลลาทำ แน่นอนว่าฮาวเวอร์ได้เตรียมแผนการนั้นกับลาติโนให้เปิดช่องทางรับแสงในตอนที่ไลลากล่าวจบ สาเหตุที่เขาทำเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าฮาวเวอร์มีใจนับถือคำสอนของใครแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อย่างปรนเปรอท่านเทพด้วยการหาผู้ศรัทธาเข้าลัทธิมานับถือลูคัสจำนวนมากๆ
เอวามองภาพการกระทำนั้นก็ได้แต่เหนื่อยใจ ขนาดตัวเองเป็นเทพตัวเป็นๆ อยู่ตรงนี้ยังไม่มีใครคิดจะบูชาอย่างที่ฮาวเวอร์ทำเลย แต่ต้องยอมรับตามจริงว่า รูปปั้นเทพแห่งความเมตตาดูงดงามกว่ารูปปั้นเทพองค์เดียวกันที่เคยเห็น
"หรือว่าจะผลัดเปลี่ยนความเป็นเทพไปแล้ว แต่ก็สมควรแล้วล่ะ เทพแห่งความเมตตาคนก่อนชอบบีบบังคับให้ผู้อื่นทำตามใจตนจนไม่สนหลักความถูกต้องที่ควรจะเป็น เพราะงั้นถึงได้ร่วงจากระดับสูงลงระดับต่ำแล้วจึงถูกส่งไปกำเนิดเพื่อทำการทดสอบใหม่"
"มามา มามา"
เด็กน้อยตื่นจากนอนกลางวันก็คลานเข้ามาหาเทพธรณี เขาอุ้มเด็กคนนั้นไว้บนตักพลางลูบหลังเบาๆ ให้เขาผ่อนคลาย ถึงเขาจะไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะเลี้ยงดูเด็กๆ แต่ว่าก็รู้สึกเปลี่ยวใจที่ต้องมองเด็กเหล่านี้เติบโตเพียงลำพัง
"เจ้าตุ้ยนุ้ยนี่โตขึ้นจากวันที่ข้ามาตั้งเยอะเลย"
เอวามองไปทางต้นเสียงเห็นราชานรกนั่งอยู่ไม่ห่าง เขาเอื้อมมือมาจับมือน้อยแล้วโยกไปมา
"เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? "
"เมื่อครู่นี้เอง"
เขาพูดทั้งหันไปสบตาอีกคน เอวามองตาเขาอย่างไม่หลบหลีกอย่างก่อน แต่กลับเป็นเขาเองที่หลบสายตานั้น
"ดูเหมือนเด็กในนี้จะน้อยลงกว่าเดิมเยอะเลยนะ พวกมันตายหรือยังไง"
"ไม่ใช่หรอก เด็กบางคนมีพ่อแม่เดิมที่เคยเอามาวางไว้พากลับไป เด็กที่เหลือนี้เป็นเด็กที่ไม่มีใครมาเอาไปเลี้ยง"
"เจ้าก็เลยรับเลี้ยงเสียเองน่ะหรือ? "
"ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กพวกนี้เกิดมาก็เป็นเพราะข้าด้วย"
"งั้นก็เป็นเพราะข้าไม่ต่าง ให้ข้าช่วยดูแลบ้างนะ ถึงแม้ข้าจะช่วยไม่ได้ตลอด แต่จะมาอีกครั้งแต่นอน"
เอวายังคงมองมาที่เขา โดยที่เขาไม่หันมาสบตากลับ เอวาคิดว่าบางทีเขาอาจจะเริ่มรู้สึกผิดแล้วที่ทำเรื่องไม่ดีหลายอย่างให้เกิดขึ้น
"เจ้าทำความดีอย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะขึ้นสวรรค์หรือ? ไม่ใช่ว่าท่านอยากไปจุติในความมืดหรือราชานรก"
ราชานรกหันมามองเอวาอีกครั้งทั้งสีหน้ากระอักกระอ่วน ตอนเขายังหลับก็พร่ำบอกรักเสียคล่องปาก แต่พอเขาตื่น คำพูดทุกอย่างก็ถูกกลืนลงในลำคอ
"ข้าคงคาดคั้นกับปณิธานของเจ้ามากเกินไปสินะ ข้าขอโทษด้วยถ้าหากทำเจ้าลำบากใจ"
"เจ้าช่วยเรียกข้าว่า เคียน ได้ไหม เผื่อวันใดที่ข้าไม่ได้เป็นราชานรกแล้ว เจ้าจะได้มีชื่ออื่นให้เรียก"
"เคียน? ได้สิ แต่ทำไมเจ้าต้องเลิกเป็นราชานรกด้วยเล่า"
"เอวา… ข้าตะ ตก หลุม เอ่อ อา รัก เจ้าน่ะ"
"ระ เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วล่ะ เจ้าจะบอกข้าทำไม"
ถึงจะได้ยินจากความทรงจำเก่ามาบ้าง แต่พอได้มาฟังต่อหน้าก็ต้องรู้สึกเขินขึ้นมา เคียนเองพอเห็นว่าเอวาหน้าแดงก็รู้สึกประหม่าขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะตอนบอกรักขณะที่อีกฝ่ายหลับ เขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจความรู้สึกฝ่าย แต่พออีกฝ่ายรับรู้แล้วแสดงสีหน้าขัดเขินก็ทำเขาวางตัวไม่ถูกแถมหัวใจเขาเต้นเร็วยิ่งกว่าออกสงครามอีก
"เพราะข้า… รักเจ้าก็เลยอยากทำดีเพื่อจะได้อยู่กับเจ้านานๆ แต่ว่าฝั่งเจ้าเองหากทำความดีมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าก็จะถูกเลือกให้เข้าสู่แสงสว่างและไม่กลับมาอีกเลย ข้าถึงได้ทำให้เขามีความผิด จึงได้กักขังเจ้าไว้ ข้าขออภัยที่เห็นแก่ตัวโดยไม่นึกถึงเจ้าก่อน"
"เรื่องนั้น… ข้าโกรธมากนะ เพราะงั้นเจ้าต้องรับผิดชอบดูแลเด็กพวกนี้เป็นเพื่อนข้า เจ้าเข้าใจใช่ไหม"
เอวาเกือบจะให้อภัยเขาแต่ก็ต้องถือทิฐิไว้ก่อน ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่เขาเองก็อยากรู้จักเคียนมากกว่านี้ มากกว่าที่จะปล่อยไปเช่นกัน
"ถ้าเป็นเรื่องนั้นข้าจะพยายามมาดูแลพวกเขาบ่อยๆ นะ"
ทางฝั่งฮาวเวอร์ เมื่อสร้างลัทธิลูคัสได้สำเร็จก็เริ่มตามงานที่เคยสั่งให้คนในปกครองไปทำ สิ่งนั้นคือของเครื่องใช้ต่างๆ นอกจากทำไว้ใช้เองในเมือง ก็เตรียมไว้ไปส่งให้อาณาจักรอื่นด้วย หากว่าเดินทางไปอาณาจักรที่ไปกลับได้ง่ายอย่างโพราเท็สก็คงไม่มีปัญหาให้ฮาวเวอร์ต้องมาตรวจสอบ แต่ว่าการขนส่งครั้งนี้จะเป็นการส่งไปยังอาณาจักรอาเรียดที่ซึ่งต้องบุกเบิกเส้นทางใหม่อย่างเลี่ยงที่จะปะทะกับมารเขตอื่นไม่ได้
ฮาวเวอร์สั่งคนเก็บมัดสัมภาระไว้เรียบร้อย และกำลังจะเตรียมออกรถม้า แต่ว่าก่อนที่ฮาวเวอร์จะเดินทางกลับมาคลื่นลมถาโถมเข้ามาใส่อย่างกับมีพายุ เมื่อมองไปบนฟ้าก็เห็นเป็นกิ้งก่ายักษ์กำลังบินลงจอด
"นี่เจ้ายังไม่เข็ดใช่ไหมถึงได้กล้ามาเหยียบที่นี่อีก"
ฮาวเวอร์ตะโกนด่า แต่เมื่อฟอสเตอร์ไม่ได้พูดตอบโต้อะไรจึงดูท่าทีของอีกฝ่ายก่อน
"เขตปกครองเจ้ากว้างขวางดีนะ มีแต่พื้นที่โล่งๆ ไม่มีบ้านเรือนเลย"
"หา? จะมาสอดแนมรึไง ใครให้มาถาม"
"ข้าแค่วิเคราะห์ดูว่ามันน่าอยู่รึเปล่า"
"ทำไม? เจ้าจะมาอยู่ในการปกครองของข้ารึไง แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ถ้าเจ้าจะอยู่กับข้าจะต้องให้ข้าขึ้นขี่หลังและบินขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นก็ตีลังกาสิบตลบก่อนจะบินขึ้นไปอีกแล้วควงสว่านหมุนตัวเป็นเกลียวดิ่งลงมากจากนั้นค่อยโฉบบินเหนือเมฆใต้อาทิตย์สีทอง…"
"อืม"
อีคอนนั่งอยู่บนหลังมังกรที่กำลังตีลังกาสิบตลบแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นก็ควงสว่านลงมาเกือบถึงพื้น
'อ้าาาาาาาาาา ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ววววววว อ้าาาาาาาาาา'
'...'
ฮาวเวอร์สติแตกอยู่ในจิต ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าคนที่มาสวมร่างแทนตอนนี้จะรู้สึกยังไง แถมที่พูดไปตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเอาจริงมากแค่ไหน อีคอนมองภาพใกล้ลับขอฟ้าละลานตาด้วยสีทองสว่าง
'อย่างน้อยเขาก็ทำอย่างที่เจ้าบอกทุกอย่างล่ะนะฮาวเวอร์'
มังกรลงจอดที่ไร่สวนในเขตนคร อีคอนกระโดดลงจากหลังเขาก็เริ่มพูดเรื่องที่ฮาวเวอร์ต้องรับผิดชอบ
"นับจากนี้ไปเจ้าก็มาอยู่ที่นครฮาวเวอร์ได้ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ"
"งั้นข้าอยู่ตรงไหนได้"
"ข้าจะให้คนสร้างที่พักให้เจ้าที่นอกรั้วฝั่งเหนือ เพราะตรงนั้นข้าจะขยายพื้นที่เป็นชุมชนนักเดินทางด้วย"
"แล้วพวกเจ้านอนกันตรงไหน? "
"ใต้พื้นดินของที่นี่ แต่ว่าเจ้าอาจจะเข้าไปลำบากเพราะข้างในมันค่อนข้างแคบเกินไปหน่อย"
ฟอสเตอร์เดินเข้ามาก่อนจะกลายร่างเป็นอมนุษย์ล่อนจ้อน อีคอนมองร่างมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาก็เห็นเป็นภาพชายวัยสามสิบมีเส้นผมสีน้ำตาลแดงกับเขามังกรอยู่บนหัว
"ร่างนี้ของข้าเข้าไปนอนใต้ดินได้หรือเปล่า"
"ถ้าร่างนี้ก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวข้าจะส่งคนหาที่พักไว้ให้เจ้า"
'เดี๋ยวสิอีคอน ข้าพวกเราเอาเจ้านี่ไปขนสินค้าที่อาณาจักรอาเรียดล่ะ แล้วให้เจ้านั่นปลอมตัวแล้วเดินทางเข้าไป'
'ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะช่วยคุยให้'
"ฟอสเตอร์ เจ้าสนใจจะไปส่งของกับข้าที่เมืองอาเรียดไหม? "
"ไม่ ข้าไม่ชอบถิ่นพวกมนุษย์"
อีคอนถอนหายใจแล้วกำลังจะเดินไปที่รถม้า แต่ฟอสเตอร์ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
"แต่ถ้าจะให้ไปก็ไปได้"
'แล้วจะเล่นตัวเพื่อ? '
ฮาวเวอร์และทหารอีกสามนายขนของขึ้นบนหลังฟอสเตอร์ก่อนจะนั่งลงบนหลังมังกรอย่างหวาดๆ แต่เมื่อทหารมองไปทางฮาวเวอร์แล้วเห็นเขายังนิ่งได้อยู่ทั้งที่ยังเด็กกว่าก็เริ่มสงบใจลง แต่หารู้ไม่ว่าฮาวเวอร์ตัวจริงกรีดร้องในใจจนจะประสาทเสีย มังกรบินมาหยุดอยู่ที่ป่าไม่ไกลจากอาณาจักรอาเรียด คนทั้งห้าก็แปลงโฉมเป็นพ่อค้าพากันเดินเข้าที่ทางเข้าของอาณาจักร
หนังสือเดินทางจากโพราเท็สถูกกางออกแสดงตัวตนให้คนหน้าประตูได้เห็น
คนทั้งห้าเดินเข้าไปในเมืองพลางมองสำรวจที่ทางก่อนจะสะดุดตาเข้ากับโรงแรมไว้พักผ่อน ด้านในทำจากไม้เก่าๆ มีโต๊ะเก้าอี้วางให้คนนั่งทานอาหารกันประปราย อีคอนหยิบถุงเงินเหรียญเซโรขึ้นมาจ่ายสำหรับสามห้อง เขาหนึ่งห้อง ฟอสเตอร์กับทหารอีกหนึ่งห้อง และทหารสองคนนอนอีกห้อง เมื่อแจกกุญแจไปแล้วก็ให้ไปล้างเนื้อล้างตัวกันก่อนจะมาทานอาหาร
อีคอนเข้ามานอนหลังทานอาหารมื้อค่ำไปแล้ว ห้องแคบๆ มีหน้าต่างกับถังน้ำหนึ่งใบ อีคอนล้มตัวนอนลงอย่างหมดแรง สองตาปิดสนิทไปพร้อมกับแสงจันทร์ที่เริ่มส่องสว่าง
กลางดึกของคืนนั้นประตูห้องไม้เก่าคร่ำครึถูกเปิดออกทั้งที่ด้านในยังล็อกอยู่ ฮาวเวอร์นั่งมองคนเข้ามา เห็นเป็นชายร่างใหญ่โตไม่คุ้นตาเดินเข้ามา พอมันเห็นฮาวเวอร์ยังตื่นอยู่ก็ชะงักไป แต่พอมองเขาแล้วเห็นว่าอัปลักษณ์และอ่อนแอก็เดินเข้าไปต่อ แล้วง้างดาบเตรียมฟัน ดาบยังไม่ทันถึงตัวเจ้านั่นก็ล้มลงกับพื้นเสียก่อน
ฮาวเวอร์ดีดลูกดอกยาพิษตะขาบเข้าตัวมันจนมันเป็นอัมพาตชั่วคราว ก่อนจะกระโดดไปหาหน้าต่างอีกห้อง เขาเห็นฟอสเตอร์ยืนอยู่เหนือร่างของใครบางคนก็กระโดดถัดไปอีกและเห็นว่านายทหารที่พามาหลับอยู่บนคานไม้ตามคำสั่ง
โรงแรมแห่งนี้เป็นซ่องโจร ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาจนถึงตอนที่ทานอาหาร พวกมันวางยาประหลาดให้เขากิน แต่เพราะร่างกายฮาวเวอร์เป็นอมตะทั้งยังทนพิษจึงไม่เป็นอะไร ฟอสเตอร์เองก็เหมือนจะไม่ต่าง ส่วนทหารธรรมดานั้นถูกพิษเต็มๆ ฮาวเวอร์เข้าไปตรวจสอบก็ไม่พบความผิดปกติของร่างกายจึงจับทั้งสองคนนอนราบกับพื้น กันไม่ให้ร่วงตกลงมาคอหัก แต่สัมภาระที่ทั้งสองคนเคยเฝ้าได้หายไปแล้ว ฮาวเวอร์เปิดประตูออกไปหาคนขโมยทันที ในห้องโถงกลางร้านจะมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังค้นของที่เขาขนมา ฮาวเวอร์กระโดดลงไปกลางโต๊ะ พวกมันก็เด้งตัวหนีทันที แต่พอมองแล้วเป็นคนแคระพวกมันก็หัวเราะร่าพลางหยิบมีดขึ้นมาจะฟันกันทุกคน ฮาวเวอร์หลบมีดนั้นด้วยความเร็วสูงแล้วค่อยเตะกระแทกพวกมันจนสลบไปทีละคน เมื่อกำจัดตัวการทั้งหมดจนครบแล้วก็เอาข้าวของสัมภาระขึ้นไปเก็บที่ชั้นบนในห้องของตัวเอง
ทุกการเคลื่อนไหวของฮาวเวอร์เมื่อครู่ ถูกจับตามองจากที่มืดไม่ไกล เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฮาวเวอร์ยังจับการเคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีตัวตนอยู่ มันมองเขาอย่างนั้นจนกระทั่งเขาเดินจากไป