webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · Thành thị
Không đủ số lượng người đọc
30 Chs

กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลังจากวีรภัทราโดนคุณปู่ณรงค์ฟาดงวงฟาดงาใส่ด้วยถ้อยคำที่ดูถูกเธอ เธอก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรมากนัก เนื่องจากคุณปู่ทำแบบนี้กับเธอมาตั้งแต่เธอยังเด็ก

ตกบ่ายใกล้เวลาอาหารเย็น เสียงฝีเท้าจากใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในบ้าน ทำให้วีรภัทราหันกลับไปมอง ปรากฏว่า เป็นป้านุช แต่ที่น่าแปลกใจคือมีคุณหญิงวิไลรัตน์ และอัคราวิชญ์ตามเข้ามาด้วย เธอยืนอึ้งอยู่สักครู่ ก็ยกมือขึ้นไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทั้ง 2 คน ส่วนสามีเธอนั้นไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เพราะตั้งแต่วันที่เขาเจอเข้ากับณัฐชานนท์ในห้องนอนเธอ เขาก็เลี่ยงที่จะคุยและเปิดประเด็นกับเธอ

ป้านุชเห็นวีรภัทรายืนทำหน้างงใส่ จึงอธิบายขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า "พอดีป้าไปหาคุณหญิงที่บ้าน แล้วหลานวีโทรมา ก็เลยชวนทุกคนมากินข้าวที่บ้านเรานี่ไง"

"ค่ะ" วีรภัทราตอบรับ และสีหน้าก็คลายความกังวลขึ้น

"ไปนั่งกันเถอะค่ะ" วีรภัทราชวนให้ทุกคนมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น

นี่เป็นครั้งแรกที่อัคราวิชญ์ได้มาบ้านของวีรภัทรา เขามองไปรอบ ๆ บ้านอย่างพินิจพิจารณา และสังเกตทุกอย่างรอบตัวจนป้านุชสังเกตเห็น จึงบอกให้วีพาชมบ้าน หลังจากที่ทั้งคู่เดินชมกันเสร็จก็กลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิม ส่วนวีขอตัวเข้าไปช่วยทำครัวกับป้า แต่พอเธอเดินเข้าไปในครัวก็ถูกป้าไล่ออกมา เพราะป้าอยากให้เธอได้คุยและสนิทสนมกับครอบครัวสามีเธอเร็ว ๆ และอีกอย่างก็เป็นมารยาทที่จะต้องมีคนหนึ่งในบ้านคอยอยู่รับแขก เธอจึงจำเป็นต้องเดินออกมานั่งที่เดิม

"อ้าว หลานวีไม่ต้องช่วยคุณพี่เขาแล้วเหรอจ้ะ" คุณหญิงวีไลรัตน์เห็นวีรภัทราเดินคอตกกลับมานั่ง จึงถามขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เศร้านิดหน่อยที่ไม่ได้ทำอาหารด้วยค่ะ" วีรภัทราตอบกลับด้วยน้ำเสียงปนเศร้านิด ๆ

"จ้ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์ตอบรับอย่างเอ็นดูในความน่ารักของวีรภัทรา และยิ้มน้อย ๆ ออกมา

"ลูกคินน์ชวนหลานวีคุยด้วยสิ" คุณหญิงวิไลรัตน์เปลี่ยนเป้าหมายไปคุยกับอัคราวิชญ์แทน

"ครับ" อัคราวิชญ์สีหน้าเรียบเฉย และตอบเสียงนิ่ง ๆ กลับไป

"คุณกินข้าวเที่ยงหรือยัง" อัคราวิชญ์ถามออกไปด้วยเสียงราบเรียบ

"ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ" วีรภัทราตอบ และถามกลับอย่างมีมารยาทกลับไป

"อืม" อัคราวิชญ์ตอบสั้น ๆ กลับไป โดยไม่มองหน้าวีรภัทราแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นพวกเขาก็เงียบไป ทุกอย่างดูอึมครึมขึ้นทันตา จนกระทั่งป้านุชเดินออกมาจากห้องครัว และชวนทุกคนไปกินข้าวกัน ทุกคนจึงลุกขึ้นตามคำเรียกของป้า พอเดินไปถึงโต๊ะอาหารคุณหญิงวิไลรัตน์รีบบอกให้อัคราวิชญ์ไปนั่งข้างวีรภัทรา ทำให้เขาต้องเปลี่ยนทิศทางเดินและนั่งลงอย่างเซ็ง ๆ

"มากินข้าวกันจ้ะ" ขณะเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนไม่กล้าหยิบจับอะไรของอัคราวิชญ์และวีรภัทรา ป้านุชจึงรีบพูดเชิญชวนเพื่อทำลายบรรยากาศนี้

คุณหญิงวิไลรัตน์ที่มองเหตุการณ์ออกไม่แพ้กัน ก็รีบพูดต่อว่า "ใช่จ้ะ กินกันเถอะ"

จากนั้นทุกคนจึงหยิบช้อนส้อมขึ้นก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่ปริปากพูดกัน จนป้านุชทำลายบรรยากาศเงียบนี้ลงด้วยการถามคำถามที่ทำให้ทั้งอัคราวิชญ์และวีรภัทราสำลักอาหารที่เข้าปากออกมา

"แล้วนี่ทั้งคู่วางแผนจะมีลูกเมื่อไหร่เหรอจ้ะ" ป้านุชถามออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ทั้งคู่ไอออกมาเล็กน้อย และกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไปอย่างยากลำบาก แล้วพูดต่อว่า "ยังไม่ได้คุยกันครับ" อัคราวิชญ์ตอบกลับอย่างนิ่ง ๆ

"ค่ะ พวกเรายังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ" วีรภัทราพยายามตอบให้นิ่มนวลที่สุด เพราะกลัวว่าป้านุชและคุณหญิงวิไลรัตน์จะสงสัยกัน แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาที่ผู้ใหญ่มองกลับมา พวกเขาสังเกตเห็นถึงความห่างเหินของทั้งคู่ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งอยู่ร่วมชายคาแค่อาทิตย์เดียว

"ลูกคินน์ได้มีคิด ๆ ไว้บ้างหรือเปล่าจ้ะ" คุณหญิงหันไปมองหน้าอัคราวิชญ์ และเปลี่ยนคำถามที่จะถามแทน

"ยังเลยครับแม่ ผมมีงานที่จะต้องเร่งทำอยู่ครับ" อัคราวิชญ์ตอบเลี่ยง ๆ กลับไป

"งานอะไรเหรอจ้ะ แม่ก็เห็นว่ายอดขาย กำไรบริษัทก็ดีอยู่นะ" คุณหญิงวิไลรัตน์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจความหมายที่อัคราวิชญ์ต้องการจะสื่อ

"คือผมได้วางแผนกับทีมการตลาดว่าจะขยายตลาดไปที่อเมริกา และพอดีช่วงที่ผ่านมาก็มีคุย ๆ กับทางบริษัทคู่ค้ามาบ้างครับ แต่ถ้าจะต้องดำเนินการจริง ๆ ผมจะต้องไปทำด้วยตัวเองที่โน่นครับ" อัคราวิชญ์อธิบายให้คุณหญิงวิไลรัตน์อย่างใจเย็นกลับไป

"แล้วไปนานแค่ไหนจ้ะลูกคินน์" คุณหญิงวิไลรัตน์ถามต่อ

"อืม... อย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่างานจะลงตัวเมื่อไหร่" อัคราวิชญ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับคุณหญิงวิไลรัตน์พลางนึกคำพูดไปด้วย

"แล้ว... ยังงี้หลานวีจะทำยังไงล่ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์โพล่งออกไปด้วยความกังวลในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่

"ก็อยู่ที่นี่แหละครับแม่" อัคราวิชญ์พยายามคุมเสียงในการตอบกลับให้เป็นปกติที่สุด ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่หายเคืองวีรภัทรากับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนเลย

"แล้วแบบนี้เอาหลานวีไปช่วยด้วย ดีไหมจ้ะ" ป้านุชที่นั่งฟังมาสักพักแล้ว พอเห็นจังหวะก็พูดเสริมเข้ามา หวังให้ทั้งคู่ได้อยู่ใกล้กัน

"คงไม่ได้ครับ เพราะที่นี่ก็มีงานที่วีต้องทำด้วย" อัคราวิชญ์ตอบปฏิเสธแบบทันควัน

"แล้วทั้งคู่เพิ่งจะแต่งงานด้วย ห่างกันแบบนี้ ป้าคิดว่าจะทำให้เราสนิทกันยากขึ้นนะ" ป้านุชพยายามแหย่ต่อด้วยคำพูดที่ชวนให้คิด

ระหว่างที่อัคราวิชญ์นั่งนิ่งคิดอยู่นั้น คุณหญิงวิไลรัตน์ก็ถามขึ้นมาว่า "แล้วลูกคินน์จะไปเมื่อไหร่จ้ะ"

"อาทิตย์หน้าครับแม่" อัคราวิชญ์เลือกที่จะตอบคุณหญิงวิไลรัตน์ก่อน เพราะยังคิดไม่ตกเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่

"เร็วเหมือนกันนะคะเนี่ย" ป้านุชพูดขึ้นพลางพยักพเยิดกับคุณหญิงวิไลรัตน์ เมื่อคุณหญิงเห็นสัญญาณจากป้าก็พูดต่อ

"นั่นสิ แล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานของลูกคินน์และหลานวีล่ะจ้ะ" คุณหญิงวิไลรัตน์พูดกระทุ้งใส่กลางใจของทั้งคู่ ทำให้พวกเขานั่งเงียบยิ่งกว่าเดิม

คุณปู่ณรงค์ที่กำลังป้อนข้าวคุณย่ากัลยาณีเห็นว่าคุยวนแบบนี้คงไม่จบง่าย ๆ เลยพูดแทรกขึ้นมาว่า "ช่างเขาเถอะ เด็กมันยังไม่อยากมี จะไปบังคับมันทำไม เกิดไปเจอคนใหม่ที่ดีกว่า พวกเขาจะได้เลิกกันง่าย ๆ ไง"

หลังจากคุณปู่ณรงค์พูดจบก็ลุกขึ้นพาคุณย่ากัลยาณีออกจากโต๊ะอาหารไปพักผ่อน ปล่อยทิ้งให้ทุกคนนั่งอึ้ง พูดไม่ออกกันเลยทีเดียว ส่วนคุณปู่ใหญ่อย่างคุณปู่ธนเดชที่สมองเสื่อมมาหลายปีแล้วนั้นก็นั่งกินข้าวไปอย่างไม่รับรู้อะไร กลายเป็นฉากหนึ่งในละครเหมือนมุขตลกร้ายเลยก็ว่าได้

ป้านุชจึงรีบพูดเปลี่ยนเรื่องทันที เมื่อเห็นเหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้น "งั้นตอนนี้มาตั้งใจทำงานกันก่อน ส่วนเรื่องลูกก็เอาที่หลาน ๆ สบายใจเลยละกัน" พอทุกคนได้ยินประโยคนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วยพลางกินข้าวต่อให้หมดจาน

หลังจากจบมื้อเย็นวันนี้ ความตึงที่ได้รับจากผู้ใหญ่ในบ้านวีรภัทรา ทำให้อัคราวิชญ์เงียบหนักยิ่งกว่าเดิม ระหว่างขับรถกลับบ้านพร้อมเธอ พอพวกเขาลงจากรถยนต์คันหรูเรียบร้อย และกำลังเดินผ่านห้องรับแขก เธอก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาจนเขาหยุดเดิน

"วีขอโทษคุณด้วยนะคะ สำหรับเรื่องปู่และก็เรื่องลูก" วีรภัทราพูดด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

"ไม่ต้องขอโทษหรอก" อัคราวิชญ์ตอบสั้น ๆ และเดินไปกดลิฟต์ต่อ

"ยังไงวีก็ต้องขอโทษค่ะ เรื่อง...ลูก วีคิดว่า..." วีรภัทรากำลังจะพูดอธิบายอัคราวิชญ์ว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้มาก ไม่จำเป็นต้องทำตามที่ผู้ใหญ่พูด แต่ลิฟต์ดันเปิดออกพอดี และเขาเองก็ไม่อยู่รอที่จะฟังด้วย เลยทำให้เธอต้องหุบปากลงทันที

วีรภัทราเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นอย่างช้า ๆ แต่ก่อนที่จะเดินขึ้นไป เธอก็ไปหยิบน้ำดื่มเพื่อไปนั่งผ่อนคลายตรงระเบียงกว้างที่อยู่หน้าประตูห้องนอนเธอ ระหว่างที่เธอนั่งจิบน้ำและคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่บนเก้าอี้นุ่มนั้น ก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หลังจากที่เขาพบว่าณัฐชานนท์อยู่ในห้องนอนเธอ และการดูแลที่พิเศษเกินกว่าเพื่อนปกติ

วันรุ่งขึ้นที่วีรภัทราดีขึ้นแล้ว เธอตัดสินใจจะกลับมาคุยกับอัคราวิชญ์ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดกัน แต่จังหวะที่เธอเห็นเขาก้าวขาเข้ามาในห้องรับแขก และเธอก็นั่งรออยู่แล้วนั้น ก็พูดขึ้นทันทีว่า

"คุณ คือว่า... เรื่องเมื่อวาน คุณเข้าใจผิดนะคะ" วีรภัทราพูดออกไปอย่างเกร็ง เพราะสายตาที่เขามองมาช่างเย็นชากับเธอมาก และไม่มีทีท่าจะอยากคุยด้วย แต่เธอจำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน จึงตัดสินใจพูดต่อไป

"ตอนที่คุณเจอคุณนนท์ เขาเพิ่งเดินเข้ามาคุยกับวีแค่เพียง 5 นาทีเท่านั้น หลังจากคุยไปสักพักเขาก็ขอตัวเข้าห้องน้ำ และวีก็ป่วยอยู่เลยนอนพัก ไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นค่ะ" วีรภัทราพูดอธิบายยืดยาวจนอัคราวิชญ์พูดกลับมาเพียงประโยคเดียวที่ทำเอาเธอเจ็บตรงขั้วหัวใจ

"ผมไม่สนใจ" อัคราวิชญ์พูดจบอย่างไม่แยแส และกำลังเดินไปขึ้นลิฟต์อย่างเช่นเคย ก็ถูกวีรภัทราเดินมาดักข้างหน้าไว้ แล้วพูดต่ออีก

"งั้นวีขอเบอร์คุณไว้ได้ไหมคะ เผื่อวันไหนที่จำเป็นต้องติดต่อ วีจะได้ติดต่อคุณได้" วีรภัทราตั้งใจจะขอเบอร์อยู่แล้วหลายวัน แต่ก็ไม่มีจังหวะสักที จึงใช้โอกาสนี้ แม้มันจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ก็เถอะ ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ได้เบอร์ เพราะเขายังอารมณ์เสียเรื่องเธออยู่ และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปโดยที่พวกเขาไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่วันเดียว จนวันหยุดที่วีรภัทรากลับไปเยี่ยมบ้าน เธอรู้สึกเหมือนอะไร ๆ กำลังจะเป็นใจให้ จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องนอนเขาเพื่อขอเบอร์โทรอีกครั้ง หลังจากที่วันนั้นเธอโดนปฏิเสธไป

หลังจากวีรภัทราทบทวนความคิดในวันนั้นเสร็จ เธอก็ไม่รีรอเวลา ทำตามความคิดที่ตั้งใจไว้ทันที เธอยืนรออยู่สักพัก อัคราวิชญ์ก็เดินมาเปิดประตูพร้อมชุดคลุมอาบน้ำสีดำและกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมอยู่

"คุณมีอะไร" อัคราวิชญ์ถามห้วนขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย

"ก็...เรื่องเบอร์โทรที่วีขอคุณวันนั้นไงคะ ไหน ๆ คุณก็เห็นแล้วว่าผู้ใหญ่ของพวกเราต้องการให้มีลูกขนาดไหน วีก็ต้องมีเบอร์คุณไว้ เผื่อฉุกเฉิน จะได้ตอบตรงกันค่ะ" วีรภัทราพยายามพูดด้วยเหตุผล พลางใช้เท้ายันประตูไว้ กลัวอัคราวิชญ์ปิดหนี

"ไม่จำเป็นหรอก ยังไงแม่ผมคงไม่มาถามคุณเรื่องนี้อีกแล้ว" อัคราวิชญ์ตอบปัดอีกเช่นเคย

"ได้ไงคะ ให้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ บอกเบอร์หน่อยค่ะ" วีรภัทราพูดพลางล้วงมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่พอล้วงมาเสร็จประตูก็ถูกปิดลงเกือบจะทันที ทำให้เธอโมโหและตะโกนโวยวายกลับไป

"ถ้าคุณไม่ให้เบอร์ก็ไม่เป็นไร วีเขียนเบอร์ไว้ในกระดาษแล้ว" วีรภัทราพูดด้วยความโมโหเสร็จก็สอดกระดาษใบเล็ก ๆ ที่เตรียมไว้ใต้ประตูห้องนอนของอัคราวิชญ์

พออัคราวิชญ์เห็นกระดาษที่เขียนตัวเลขเบอร์โทรศัพท์ด้วยลายมือน่ารักของวีรภัทรา เขาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้กับความพยายามที่เธอทำให้ แต่มันก็ยังมีเรื่องตะขิดตะขวงใจที่ทำให้เขาไม่สามารถวางใจลงได้ และเขาก็ไม่อยากจะคิดว่าตัวเองเห็นใจเธอ และอยากจะดูแลเธอมากขึ้น เขาได้แต่เถียงในใจว่า ตัวเองทำตามหน้าที่ก็เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกแบบอื่นเจือปนอยู่

ส่วนวีรภัทราที่หงุดหงิดกับความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของอัคราวิชญ์ ทำให้เธอเดินกระฟัดกระเฟียดกลับห้องไปอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายให้เย็นขึ้น หลังจากนั้นเธอก็มานั่งทอดถอนหายใจอยู่ที่เก้าอี้ตัวโปรด และผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างอ่อนล้าทั้งกายและใจ

ปัญหาที่เกิดจากป้านุชและคุณหญิงวิไลรัตน์ รวมถึงคุณปู่ณรงค์สร้างความอึดอัดใจจนวีรภัทราเลือกที่จะไม่เริ่มบทสนทนาก่อน ความจริงแล้วเธอไม่เคยแม้แต่จะคิดสักครั้งเดียวที่จะมีลูกกับอัคราวิชญ์ เธอแค่คิดว่าการประคองชีวิตคู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก แต่กลายเป็นว่าเรื่องบานปลายยิ่งกว่าเดิม เหตุเกิดจากความต้องการที่พวกผู้ใหญ่พยายามยัดเยียดให้ทั้งเธอและเขา เธอไม่แน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร ทั้งยังเหลือเวลาอีกไม่กี่วันที่เขาจะอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกันนี้ เขาสามารถทิ้งปัญหานี้ไปได้อย่างสบายใจ โดยปล่อยให้เธอตัดสินชะตาชีวิตตัวเองเพียงลำพัง ส่วนเธอนั้นคงไม่สามารถหาข้ออ้างใด ๆ มาแก้ตัวหรือจะหาเหตุผลดี ๆ สักข้อ ตอนนี้เธอก็ยังนึกไม่ออกเลยสักนิด

แต่แล้วเรื่องที่ทำให้ตกใจก็ยังไม่หมด วีรภัทราตื่นนอนและลงมาทำอาหารตามปกติ แต่สิ่งที่เธอเจอคือกระดาษแผ่นหนึ่งที่อัคราวิชญ์เขียนทิ้งไว้ วีรภัทราจึงหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านด้วยความสับสนในใจ

"หลังจากผมเคลียร์งานเสร็จ คงไม่ได้กลับบ้านแล้ว อย่างที่คุณรู้ว่าผมต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศ ดังนั้นถ้าคุณอยากใช้รถยนต์คันไหนก็หยิบกุญแจได้เลย ผมวางไว้ที่โต๊ะในห้องรับแขกแล้ว และเรื่องสำคัญคือ ถ้าคุณเจอใครคนใหม่ที่คุณรัก และคุณอยากจะไปก็บอกผมได้เลย ผมจะยินดีกับคุณมาก" อัคราวิชญ์ยังคงทิ้งท้ายประโยคชวนให้คิด

วีรภัทราไม่รู้ว่าที่อัคราวิชญ์เขียนแบบนี้ต้องการไล่เธอไปให้พ้นหน้า หรือแค่บอกให้เธอสบายใจกันแน่ อะไรคือความรู้สึกในใจของเขากันนะ เธอได้แต่คิดวนเวียนอยู่ในบ้านตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถามเขาแล้ว เพราะเขาไม่คิดที่จะทิ้งเบอร์ติดต่อให้เธอไว้เลยสักนิด

ความคิดที่สับสนในใจของคน ๆ หนึ่ง

คำตอบที่ตรงไปตรงมาโดยไม่ได้กลั่นกรอง

ทำเอาใจเจ็บเลย

memento_mori_7964creators' thoughts