webnovel

ความหมางเมิน

ร่างสูงนั้นบังคับยานพาหนะที่คุ้นเคยให้แล่นเลี้ยวไปตามถนนลาดยางที่คดเคี้ยวขึ้นไปบนภูเขาสูง ทิวทัศน์ที่สวยงามและกลิ่นอายของธรรมชาติทำให้เขารู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งใจเหมือนทุกครั้งที่มา

ชายหนุ่มรักที่นี่ ทิวเขาที่สูงใหญ่สลับซับซ้อนนั้นทำให้เขารู้สึกตัวเล็กลงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติ วินรู้สึกใจสงบขึ้นทุกครั้งเมื่อได้มาเยือนสถานที่ที่เขาคุ้นเคยมาแต่เล็กแต่น้อย

"คุณวินหายไปนานเลยนะคับเนี่ย หลังๆนี่บ่ได้ติดรถโฮงงานมาเลยน่อ"

ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีรีบตรงปรี่เข้ามาหา เมื่อเห็นชายหนุ่มจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้บริเวณข้างๆโรงเก็บเมล็ดเชอรี่กาแฟของไร่ที่กว้างใหญ่แห่งนั้น การได้มาพบปะกับชาวไร่ที่คุ้นเคยยังคงเป็นสิ่งที่เขายังคงทำเป็นประจำหลังจากบิดาของเขาจากไป

"ก่อยุ่งๆอยู่อ้าย แล้วเป็นใดพ่อง เก็บถึงไหนละเนี่ย" วินมองเข้าไปในป่าที่ค่อนข้างทึบเบื้องหน้า เห็นบรรดาคนงานกำลังง่วนกับการเก็บเมล็ดเชอรี่ในเนินสูงๆต่ำของป่าที่เขียวชอุ่มแห่งนั้น

"ก่อดีคับ กะว่างวดนี้น่าจะได้หลายอยู่" เจ้าของไร่ตอบขณะพาชายหนุ่มเดินเข้าไปในส่วนของบริเวณไร่ "ปีนี้น้ำดีดินดี ไร่หมู่เฮาออกดอกออกผลดีขนาดเลยคับ"

ทว่าคนตัวสูงกลับมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจ ชาวไร่แถวนี้เก็บเมล็ดเชอรี่ของกาแฟเพื่อส่งให้โรงงานของเขา ส่วนขั้นตอนในการแปรรูปเมล็ดกาแฟหลังจากนั้นจะทำที่โรงงานเขาทั้งหมด

แต่หากโรงงานจะต้องถูกปิด แล้วชาวบ้านจะไปขายเมล็ดกาแฟได้ที่ไหน…

ต๊ะเป็นชาวบ้านที่มาติดต่อขอเช่าที่ดินเพื่อทำไร่กาแฟจากบิดาของชายหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อน ซึ่งบิดาเขายังช่วยชาวบ้านโดยการติดต่อโรงงานคุณวิชิตให้รับเมล็ดกาแฟโดยตรงจากชาวบ้านเอาไปแปรรูปต่อไป ซึ่งเป็นการตอบรับนโยบายของทางจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้ริเริ่มส่งเสริมให้เกษตกรที่อาศัยอยู่ตามหุบเขาเริ่มปลูกกาแฟเพื่อการจำหน่าย

ในตอนเด็กชายหนุ่มได้มีโอกาสตามบิดาขึ้นมาบนดอยบ้างเป็นบางครั้ง ตอนนั้นเขายังไม่ใส่นัก เพราะยังติดเพื่อนและใช้ชีวิตแบบเกเรเถลไถลไปในแต่ละวัน แต่การเสียชีวิตของผู้เป็นบิดาในเวลาต่อมาทำให้ชายหนุ่มจำเป็นต้องขึ้นดอยมาดูไร่พูดคุยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านแทนผู้ที่จากไป ซึ่งวินก็ยังคงให้ต๊ะและชาวบ้านที่มารวมตัวกันเช่าที่ในราคาถูกมากต่อไปเหมือนดังเช่นที่บิดาเคยทำมา

"เอ่อ คุณวินคับ เสร็จเที่ยวนี้แล้วผมอาจจะบ่ยะต่อแล้วนะคับ" เกษตรกรสูงวัยเริ่มต้นเข้าเรื่อง

"อ้าว อ้ายต๊ะ อะหยังครับเนี่ย" วินนึกแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ต๊ะเอ่ยปากเรื่องจะเลิกทำไร่กาแฟ

"ผมแก่แล้วคับคุณวิน ลูกชายมันจะมาฮับไปอยู่โตยในเมือง อีแม่มันก่ออยากไปอยู่ใกล้ลูก" ท่าทางคนตรงหน้าจะไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ

"คุณวินบ่อยากมาทำเองกะคับ ผมหันคุณวินฮักไร่กาแฟอยู่นาคับ"

วินนิ่งไป ชายหนุ่มเองยังไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัว เขาชอบดื่มกาแฟและคุ้นเคยกับกาแฟมานาน แต่เขายังนึกภาพตัวเองมาเป็นชาวไร่กาแฟไม่ออก ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาคลุกคลีอยู่กับเครื่องจักรเสียมากกว่า

ตั้งแต่บิดาของเขาจากไป ด้วยความเหงาและความอ้างว้างอยู่ลึกๆ ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตขลุกอยู่แต่ที่โรงงาน ที่นั่นเขามีเพื่อนร่วมงานหลากหลายวัย และเขาก็มีความสุขที่จะได้ปีนป่ายไปตามเครื่องจักรเครื่องโน้นเครื่องนี้เพื่อดูการทำงานของมันอย่างละเอียด

ประกอบกับคุณวิชิตได้ปล่อยให้เขาได้ทำงานอย่างอิสระแถมยังคอยสนับสนุนในทุกๆเรื่อง วินจึงมีความรู้สึกว่าหากมีโรงงานอยู่ เขาก็ไม่ได้กำลังใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว แต่คนงานทั้งโรงงานคือครอบครัวของเขา…

"นี่หมู่เขามาถ่ายรูปไปยะอะหยังกัน"

เสียงซุบซิบจากกลุ่มคนงานดังขึ้นเมื่อเห็นช่างภาพหนุ่มเข้ามาป้วนเปี้ยนบริเวณโรงงานสองสามวันมานี้

ตั้งแต่ได้มีการประกาศปิดโรงงานออกไป สิปรางค์ก็ไม่ลงไปทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารอีกเลย และความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับดนัยก็พลอยหมางเมินไปด้วย ไม่สิ ไม่เฉพาะแค่ดนัยเลขาคนเคยสนิท หากสาวๆในออฟฟิศคนอื่นๆก็พลอยเฉยชากับหล่อนไปด้วย

หญิงสาวเก็บตัวเงียบในห้องทำงานที่อาคารสำนักงานเป็นส่วนใหญ่ และพยายามตั้งสติบอกตนเองให้ทำงานให้จบ หล่อนรับงานนี้จากปกป้องมาทำแล้วก็ต้องดูแลทำให้เสร็จเรียบร้อยจนถึงที่สุด แผนขั้นตอนการดำเนินการปิดกิจการถูกกำหนดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งก็เป็นหล่อนเองนี่ล่ะที่เป็นคนร่าง และตอนนี้ก็ต้องเป็นหล่อนเองที่จะเป็นคนนำมันมาใช้ปฏิบัติงานจริง

แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ลงไปยังบริเวณส่วนของโรงงาน แต่ในบางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่นในวันนี้ หญิงสาวต้องลงไปกำกับช่างถ่ายภาพเพื่อถ่ายรูปบริเวณต่างๆของโรงงานอีกครั้งสำหรับใช้ในงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

สิปรางค์เห็นกลุ่มคนงานจับกลุ่มกันซุบซิบเป็นกลุ่มๆอยู่ไกลๆ หญิงสาวรู้ดีว่าในช่วงเวลาแบบนี้คงไม่มีใครมีกะจิตกะใจจะทำงานเป็นแน่ เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันคงจะหมดไปกับการจับกลุ่มปรับทุกข์กันไปมา นี่เองที่เป็นสาเหตุที่ทางฝั่งของนายจ้างต้องพยายามปกปิดข่าวของการเลิกจ้างไว้ให้นานที่สุด

อันที่จริงสิปรางค์ยังไม่อยากจะเผชิญหน้ากับใครทั้งสิ้นในขณะนี้ แต่สายตาทุกคู่ที่มองจ้องมาทางหล่อนที่เดียว ทำให้หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปหากลุ่มคนงานหญิงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งป้าฟองหญิงสูงวัยที่หล่อนคุ้นเคยอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

"ตอนเขาลือกัน ป้าก็บ่อยากจะเชื่อ จนคุณวิชิตบอก ป้าก่อเสียใจ๋ คุณสิปรางค์มายะจะอี๊กะหมู่เฮาได้จะได" หญิงสูงวัยรีบเอ่ยขึ้นมาอย่างตัดพ้อ ป้าฟองเคยคิดว่าคนสวนตรงหน้าไม่ใช่คนใจร้ายแบบนี้

"ชั้นพยายามแล้ว แต่ที่บริษัทใหญ่เค้ามีมติยืนยันมาว่าจะต้องปิดโรงงานนี้น่ะค่ะป้า ชั้นเสียใจด้วยจริงๆ ชั้นขอโทษทุกๆคนด้วย" หญิงสาวเอ่ยปากด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ หล่อนเข้าใจความรู้สึกของทุกๆคน

"ทำไมหมู่เขาบ่กึ๊ดบ้าง ว่าหมู่เฮาจะเดือดฮ้อนขนาดไหน" คราวนี้นวลสาวน้อยแผนกคัดเมล็ดเอ่ยขึ้นมาบ้าง

"แม่น พวกคนรวยเขาเห็นแก่ตัวกันขนาด บ่หันใจ๋คนจนบ้างเลย"

"หมู่เฮาบ่ต้องไปยอม เฮาอยู่ตี้นี่มานาน จะมาไล่เฮาไปได้จะได" คนงานหญิงอีกคนตะโกนขึ้นมา

"แม่น แม่น" เสียงสนับสนุนดังเซ็งแซ่

สิปรางค์ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี งานที่ผ่านๆมาของหล่อนที่อเมริกามันไม่ได้นำมาซึ่งความลำบากใจเช่นนี้ ตอนนั้นหล่อนไม่เคยต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับคนงาน หรือหากต้องเผชิญหน้าจริงๆหล่อนก็คงไม่แคร์เพราะไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันใดๆกันทั้งสิ้น หรือหากจะมีการชุมนุมประท้วงอะไรเกิดขึ้นก็จะต้องมีการบอกกล่าวและนัดหมายกันเป็นเรื่องเป็นราว การพูดคุยส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในห้องประชุมกับบรรดาผู้แทนจากแผนกต่างๆ และมักจบลงด้วยดี ไม่มีการยืดเยื้อ

"เดี๋ยวค่ะ ฟังก่อน คือโรงงานนี้ไม่ทำกำไรมานานแล้ว และ..."

แม้หญิงสาวจะพยายามที่จะอธิบาย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมฟัง กลุ่มคนงานหญิงเริ่มบีบวงแคบเข้ามาหาหล่อนเรื่อยๆ และดูเหมือนว่ากลุ่มคนงานกลุ่มอื่นๆที่ยืนอยู่แถวนั้นก็เริ่มจะสนใจเข้ามาร่วมล้อมวงหญิงสาวเอาไว้ด้วย

และก่อนที่สิปรางค์จะทันได้รู้ตัว ก็มีมือแข็งแรงมือหนึ่งมาฉุดหล่อนออกมาจากวงล้อมนั้น

"คุณสิปรางค์ครับ คุณวิชิตเรียกพบ" เสียงคุ้นหูนั้นตะโกนดังขึ้นกลบเสียงเซ็งแซ่ของคนงาน

หญิงสาวเดินถลาออกมาตามแรงฉุดของคนร่างสูงที่คุ้นเคย เขาก้าวเดินนำหล่อนไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ จนเมื่อมาถึงหน้าอาคารสำนักงาน ชายหนุ่มจึงปล่อยมือหล่อนแล้วเดินสวนกลับไปในทิศทางที่เพิ่งจะเดินมาทันที

"วิน เดี๋ยวก่อน!" คนตัวเล็กรีบร้องเรียก

หากชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน เขาโบกมือให้หล่อนจากทางด้านหลัง แล้วรีบก้าวเท้าจากไป…

สิปรางค์ไม่เคยคิดว่าเชียงใหม่ยามค่ำคืนจะมีอากาศหนาวเช่นนี้ หล่อนเกิดและเติบโตที่กรุงเทพ ไม่เคยได้รับรู้บรรยากาศของฤดูหนาวของที่นี่ หญิงสาวกระชับผ้าคลุมไหล่ให้แน่นขึ้นขณะที่ก้าวเท้าไปยังท่าน้ำ วันนี้หล่อนมุดรั้วไม้ไผ่มาเพื่อตั้งใจจะเข้ามาคุยกับวินถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด หลังจากพยายามทำใจให้เข้มแข็งอยู่หลายวัน วันนี้หล่อนพร้อมแล้ว

คนมาเยือนเห็นเจ้าของบ้านนั่งสูบบุหรี่พิงเสาบันไดอยู่ที่เดิมตรงนั้นเหมือนเคย ร่างสูงนั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติง วินกำลังเหม่อมองไปที่แม่น้ำ หากแต่วันนี้ไม่มีเสียงเพลงที่คุ้นหู กีตาร์คู่ใจนอนนิ่งสงบอยู่ข้างๆเจ้าของ ทุกสิ่งดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหว ยกเว้นก็แต่ควันบุหรี่ที่กำลังล่องลอยไปในอากาศอันหนาวเย็นนั้น

สิปรางค์แอบยืนมองใบหน้าด้านข้างของคนที่เคยคุ้นอย่างเงียบๆ แสงไฟสลัวๆดวงเดียวที่ท่าน้ำส่งกระทบสันกรามของชายหนุ่มให้เด่นเป็นเงาเลือนๆ ปอยผมด้านหน้าตกลงมาปิดตาข้างหนึ่งของเขา แต่เขาไม่คิดจะปัดมันขึ้นไป เหมือนว่าเขากำลังนั่งเงียบอยู่ในโลกของตัวเองและไม่สนใจอะไรใดๆทั้งสิ้น

หลังจากหญิงสาวยืนมองเขาเงียบๆเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนจึงเปลี่ยนใจที่จะเดินเข้าไปหาเขา วินดูไม่พร้อมที่จะต้อนรับใคร แม้ใจอยากจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกผิดที่ปิดบังเรื่องนี้ชายหนุ่มมาตลอดก็ยังปักแน่นอยู่ในใจ เอาเข้าจริงหล่อนก็ยังไม่กล้าเข้าไปสู้หน้าเขา

และในขณะที่ผู้มาเยือนตัดสินใจหันหลังจะกลับไปรีสอร์ตนั้น เสียงทุ้มแหบแห้งของชายหนุ่มก็ดังขึ้นเรียบๆ

"ในโลกของธุรกิจ กำไรคงต้องมาก่อนเสมอสินะ"

สิปรางค์ชะงัก รีรอ แต่แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจหันหลังกลับมาทางท่าน้ำ ร่างบางเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยังนั่งพิงเสาบันไดอยู่อย่างนั้น หากตอนนี้เขากำลังหันหน้ามาทางหล่อน สิปรางค์หยุดยืนห่างออกจากชายหนุ่มมาเล็กน้อย ไม่ลงไปนั่งข้างๆเขาเหมือนเคย

"วิน เราขอโทษ…"

เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ตัวหล่อนเองก็ยังไม่สามารถปรับความรู้สึกให้เผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สิปรางค์ยังสับสนกับความเปลี่ยนแปลงของตนเอง ไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าแท้จริงตัวตนของหล่อนเป็นเช่นไรกันแน่

"คนอย่างคุณสิปรางค์คงจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกคนอื่น คุณเกิดมาโชคดี มีทุกอย่างพร้อม ไม่เคยด้อยกว่าใคร"

วินยังคงพูดต่อโดยหน้าตาเรียบเฉย หากน้ำเสียงของเขาดูเศร้าสร้อย วันนี้ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาไม่ใช่ชายหนุ่มนัยน์ตาอมยิ้มอย่างเคยแล้ว

"แล้ววินจะกลัวอะไรล่ะ วินเป็นนายช่างใหญ่ วินเก่ง วินหางานใหม่ได้ง่ายๆอยู่แล้ว" หญิงสาวพยายามที่จะพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น หล่อนไม่อยากรู้สึกผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว

แต่เหมือนยิ่งพูดก็เหมือนจะยิ่งแย่…

"ผมไม่ได้พูดถึงตัวเอง!" ชายหนุ่มเสียงดังขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืน บดขยี้ก้นบุหรี่ลงกับพื้น และก้าวเข้ามาหาหญิงสาวพร้อมจ้องมองหล่อนด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว

สิปรางค์ตกใจ ใบหน้าของชายหนุ่มเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา หญิงสาวไม่เคยเห็นเขาร้องไห้มาก่อน

"ทุกคนเค้ารักโรงงานนี้เหมือนบ้าน มันคือชีวิตของพวกเค้า คุณมาทำลายทุกสิ่ง คุณมาทำลายชีวิตพวกเค้า"

วินพูดต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด นัยน์ตาอันเกรี้ยวกราดของเขายังคงจ้องมองตรงมาที่หล่อน

"แต่ทุกคนเค้าก็ได้เงินชดเชยนี่นา ส่วนงานเดี๋ยวก็หาใหม่ได้" หญิงสาวยังคงแข็งใจและพยายามปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิด นี่มันเป็นเรื่องของธุรกิจ

"คุณไม่เข้าใจ เพราะคุณไม่เคยคิดถึงจิตใจใคร คุณคิดถึงแต่ความก้าวหน้าในอาชีพการงานของตัวเอง คุณคิดถึงแต่ความร่ำรวยของตระกูลตัวเอง"

สิปรางค์อึ้งไป ใบหน้าของวินแดงก่ำและเจ็บช้ำ วินผู้ร่าเริง ชายหนุ่มที่อมยิ้มและอารมณ์ดีอยู่เสมอมา แต่เหมือนว่าวันนี้… วินคนนั้นจะไม่กลับมาอีกต่อไปแล้ว

"วิน เราขอโทษ วิน เราไม่น่ามาที่นี่ตั้งแต่แรกเลย" หญิงสาวเริ่มเสียงสั่น หล่อนไม่เคยเห็นเขาเป็นอย่างนี้มาก่อน วินที่หล่อนรู้จักมีแต่ความสดใสและขี้เล่น

"เราพยายามแล้ว วิน เราพยายามแล้ว แต่เรามันไม่ดีเอง เราไม่เก่งพอ วิน เราขอโทษ เราขอโทษจริงๆ" หล่อนเริ่มสะอื้นด้วยความเสียใจ

"คุณมันเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน" น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดใส่หล่อน "แล้วก็ แมร่ง ไร้หัวใจ เหมือนไอ้พวกคนกรุงเทพทุกคน"

ตอนนี้ชายหนุ่มสับสนไปหมด เขาเอาความโกรธเกรี้ยวทุกเรื่องมาปนเปกัน ทั้งโกรธเรื่องของโรงงาน เรื่องของสิปรางค์ และเรื่องของราณีและณัฐที่ตามมาตอกย้ำเขาอีก

"กลับไปเลย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ!"

แล้วเขาก็หันหลังให้หล่อนเดินกลับขึ้นบ้านไปอย่างรวดเร็ว

"วิน!" สิปรางค์กรีดร้องเรียกชื่อเขา

หญิงสาววิ่งตามไปยื้อแขนเขาไว้ หล่อนไม่ยอม หล่อนต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

"ไม่นะวิน วินฟังเราก่อน เราไม่ได้เป็นอย่างที่วินคิด เราไม่เคยคิดอยากจะทำร้ายคนที่นี่ ใช่ ตอนแรกเรามาที่นี่เพื่อปิดโรงงานจริงๆ แต่เราก็เปลี่ยนใจ เราพยายามช่วยทุกอย่างแล้ว เราทำงานหนักมาก แต่เราก็ทำไม่สำเร็จ วิน เข้าใจเรานะ เราเสียใจจริงๆ วินเชื่อเรานะ เราไม่ได้ตั้งใจอยากจะปิดโรงงาน แต่เรามันโง่เอง วินยกโทษให้เรานะ"

คนตัวเล็กละล่ำละลักพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมา น้ำมูกน้ำตาไหลเกรอะกรังเลอะเต็มใบหน้า หล่อนไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ความเครียดสะสมจากการทำงานหนักหลายเดือนที่ผ่านมา และความผิดหวังในผลที่ได้รับทำให้สติของหล่อนเหมือนจะหลุดไปตามใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

ชายหนุ่มมองมะปรางของเขาด้วยความปวดร้าว วินอยากจะละทิ้งทุกสิ่งเพียงเพื่อจะได้เข้าไปกอดปลอบประโลมหล่อน เขาอยากจะกอดหล่อนให้แน่นที่สุด อยากจะจูบซับน้ำตาหล่อนให้ทั่วใบหน้า

แต่เขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้ปิดบังเขามาตลอด หล่อนตั้งใจจะมาทำลายทุกชีวิตที่นี่ คนที่เขารักทุกคนที่นี่ต้องมาเดือดร้อนเพราะหล่อน

"มะปราง ผมทำใจยอมรับคนที่มาทำลายชีวิตของคนที่ผมรักไม่ได้จริงๆ"

ชายหนุ่มเอื้อมมือของเขามาแกะมือของสิปรางค์ให้หลุดออกจากแขนของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับขึ้นบ้านไป โดยไม่ได้หันมามองหญิงสาวอีกเลย

"วิน…" หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาด้วยความร้าวราน

เขาและหล่อนคงจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป วินพูดถูก เป็นหล่อนเองที่ผิด หล่อนเข้ามาเพื่อทำลายชีวิตของพวกเค้า

สิปรางค์ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงนั้นไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย มันจบแล้ว ความสุข ความสดชื่นที่หล่อนได้สัมผัสเพียงชั่วครู่ในชีวิต มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

เขาเป็นเหมือนสายลมที่พัดผ่านเข้ามา แล้วก็พัดผ่านออกไป…