บทนำ
ฤดูหนาวในปีหนานฉินที่สองร้อยเจ็ดสิบแปด ปี 278 พระราชบุตรองค์ชายลำดับที่สี่ ฉินยวี่ ฉินอวี้ หลังจากดื่มเหล้าจนเมามายก็วางเพลิงเผาวังหลวงจนเกือบจะทำให้ล่มสลายวอดวาย
ฮ่องเต้ทรงโกรธมากกริ้วหนัก บรรดาขุนนางต่างสะพรึงกลัว
ผู้ตรวจการณ์ของกรมการตรวจตราแห่งราชวงศ์ฉินยื่นรายงานความประพฤติต่อฮ่องเต้ โดยมีเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นผู้นำ ขอร้องให้ฝ่าบาททรงลงโทษพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ฉินยวี่ฉินอวี้อย่างเด็ดขาด
หลูหย่งกล่าวว่า “พระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่เป็นพระโอรสบุตรที่ประสูติเกิดจากองค์ฮองเฮา แต่กลับไม่รู้จักระมัดระวังกิริยาคำพูด สูญเสียไร้ซึ่งคุณธรรม ทำให้การอบรวมสั่งสอนของฝ่าบาทต้องสูญเปล่าและ ฮองเฮาความก็ทรงรักและเอ็นดูของฮองเฮาต้องสูญเปล่ามาก วันนี้หลังดื่มเหล้าเสวยน้ำจัณฑ์ก็สูญเสียซึ่งทรงกระทำเรื่องไร้คุณธรรมถึงกับกล้าวางเพลิงเผาวังหลวง วันพรุ่งหลังจากเสวยน้ำจัณฑ์ก็คงจะสูญเสียพระสติรับรู้ผิดชอบชั่วดี คงจะกล้าทำลายไปถึงเทพเซ่อจี้* กระหม่อมเข้าใจว่าหลังดื่มเหล้าจะทำให้สูญเสียซึ่งนิสัยจึงกล้าทำลายระบบของประเทศชาติบ้านเมือง ราชวงศ์ชสำนักเห็นว่าจะทำให้บรรพบุรุษหลายชั่วคนต้องอับอายมีพระโอรสเช่นนี้ ช่างเป็นที่น่าอับอายแก่บรรพชนนัก หากไม่ลงโทษให้อย่างเด็ดขาด ลูกหลานราชนิกุลจะลอกเลียนแบบ ทำให้เกิดรากเหง้าแห่งความหายนะใหญ่มากยิ่งขึ้นภายหลังอาจจะก่อให้เกิดภัยร้ายที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่า ทิ้งทิ้งภัยพิบัติไว้หลายชั่วคน เห็นทีถึงครานั้นจะสำนึกผิดเสียใจก็คงสายไปแล้วขอรับพ่ะย่ะค่ะ”
วาจากล่าววาจาประณามดังก้องกังวานทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าโต้เถียง
ใบหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ฝ่ามือบีบที่ที่เท้าพระกรจับเก้าอี้ซึ่งที่ทำจากทองแตกด้วยมือเปล่า
เสนาบดีฝ่ายขวากำลังจะเอ่ยปากก็หันไปสนใจสังเกตเห็นฝ่าพระหัตถ์ที่ฝ่ามือที่มีเลือดอาบพระโลหิตของฮ่องเต้ทันที ร่างกายสั่นเล็กน้อยพร้อมกับถอยกลับไปหลังไปก้าวหนึ่ง
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของราชสำนักในท้องพระโรงมีแนวโน้มที่จะตกโอนเอนไปอีกฝั่งในทันที ไม่มีผู้ใดกล้าร้องขอเพื่อพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่แม้แต่คนเดียวอีกต่อไป
ข่าวการเคลื่อนไหวในท้องพระโรงของราชสำนักกระจายไปที่ยังบรรดานางสนมวังหลังอย่างรวดเร็ว ฮองเฮาที่ประทับพักอยู่ที่ในตำหนักตำหนักเฟิ่งหล่วนสีพระพักตร์ใบขาวหน้าซีดในทันที พระหัตถ์มือที่กุมถ้วยชาไม่ต้องใช้แรงก็ถูกบีบแตก พระองคุลีนิ้วเล็กเรียวยาวของพระนางถูกแก้วบาดจนเป็นรอยแผลหนึ่ง ทันใดนั้นฉับพลันโลหิตเลือดสดๆ ก็ไหลออกมา
นางสนมกำนัลที่คอยปรนนิบัติรับใช้ต่างตื่นตระหนก ขุนนางหญิงไม่รอช้ารีบเข้าไปห้ามเลือดให้ฮองเฮา
ฮองเฮาขว้างถ้วยชาทิ้ง ผลักหญิงรับใช้นางกำนัลออกไปและลุกขึ้นยืนยืนอย่างรวดเร็วและรุนแรง กล่าวตรัสอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธว่า “พวกนั้นทำแบบนี้เหมือนบีบบังคับให้ฉินยวี่ฉินอวี้ไปตาย!” กล่าวจบพระนางก็สูดพระปัสสาสะดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น “เตรียมรถรถ! ไปตำหนักจินเตี้ยนวังหลวง!”
เมื่อตรัสอลั่นคำสั่งออกไป เหล่าข้าราชบริพารเด็กรับใช้ในตำหนักตำหนักเฟิ่งหล่วนงต่างหน้าถอดสี
ขุนนางหญิงนางข้าหลวงกล่าวไร้ซึ่งเสียงจะเตือนเสียงแหบแห้งสติ “ฮองเฮาเพคะ นางสนมวังหลังไม่สามารถอาจแทรกแซงราชการแผ่นดินได้ หากพระองค์ท่านหุนหันพลันรงบุกเข้าแล่นไปยังโถงราชสำนักท้องพระโรงเช่นนี้ ท่านอาจจะทรง…”
“กต่อให้็นับว่าฮองเฮาอย่างข้าของตำหนักนี้ถูกฆ่าตายปลด ก็จะไม่ยอมปล่อยให้แผนของหญิงชั่วสองคนนั้นแห่งตำหนักตำหนักอี่ชุ่ยและตำหนักตำหนักอยวี้่ฝูสำเร็จ และก็ไม่อาจยอมให้พวกมันฆ่าบุตรชายลูกชายของข้าแบบนี้” พระสุรเสียงของฮองเฮาแม้จะสั่นเครือ แต่ก็แน่วแน่ในการตัดสินใจอย่างหนักแน่นเด็ดขาด “ฉินยวี่ฉินอวี้เป็นบุตรชายลูกชายเพียงคนเดียวของข้า!”
ขุนนางหญิงนางข้าหลวงหยุดพูดในทันที
ฮองเฮาสะบัดแขนเสื้อและก้าวอย่างรวดเร็วเสด็จออกจากตำหนักตำหนักเฟิ่งล่วงหลวน
ความเยือกเย็นปกคลุมโถงราชสำนักท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างกำลังรอคอยการตัดสินใจของฮ่องเต้ว่าจะทรงลงโทษพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่อย่างไร
แม้จะยังไม่มีพระราชโองการ แต่ทุกคนก็ทราบดีว่าโทษนั้นต้องไม่เบาเป็นแน่ พระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่หากไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง
“เพื่อเป็นการเตือนใจพวกทำชั่ว ขอฝ่าบาทเร่งมีพระราชโองการลงโทษพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปด้วยเถิดด้วยขอรับพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นพระองค์ทรงยังไม่ทรงรับออกคำสั่งจึงกล่าวเร่งเร้าเชิญอีกครั้งหนึ่ง
“หลูหย่ง เจ้าจะรีบร้อนไปไยทำไมเล่า พระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่มีความผิดก็จริง แต่เมื่อก่อนก็มีคุณงามความดีช่วยเหลือผู้อื่น เท่าที่เคยเป็นมาก็ไม่เคยมีเรื่องออกนอกกรอบออกนอกลู่นอกทางอันใด เมื่อวานพระองค์ทรงเมามายเหล้าเผาวังหลวงก็อาจจะเพราะมีสาเหตุเหตุผล ตอนนี้พระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ยังไม่ทรงสร่างเมา ไม่ให้ทรงแก้ตัวใดใดเลยก็ลงโทษเสียแล้ว เจ้าไม่คิดว่ารีบเร่งเกินไปหรือ” ในที่สุดเสนาบดีฝ่ายขวาก็ออกปากเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาทและขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายท่านแห่ใต้เท้างซือหลี่เจียน*หลายท่าน[footnoteRef:1] ต่างเห็นกับตา คนที่วางเพลิงเป็นพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่พระองค์คนนี้แน่นอน ยังมีอันใดปลอมมิจริงพออีกหรือ หรือเจ้าจะกล่าวว่าฝ่าบาทและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ตาฝาดมองผิดคนกันเล่า? คนเมาเหล้า ดื่มเสร็จก็สูญสิ้นคุณธรรม หลังสร่างเมาจะรู้ได้อย่างไรว่าตนทำอะไรลงไปบ้าง ถึงนับว่าเป็นการแก้ตัวแต่ก็หนีความจริงที่ว่าทรงเขาเป็นผู้คนวางเพลิงไม่รอดอยู่ดี” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวด้วยโทสะที่อัดแน่นอยู่เต็มอกอย่างเต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม [1: ]
เสนาบดีฝ่ายขวาย่นคิ้ว กำลังจะโต้แย้ง
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ตบที่จับเก้าอี้ที่เท้าพระกรสีทอง กล่าวตรัสอย่างโกรธกริ้วว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว! พระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ขาดคุณธรรม ที่เราคอยอบรมสั่งสอนไม่ห่างกายเมื่อก่อนก็สูญเปล่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลดขั้นจากพระราชบุตรลำดับที่ดีองค์ชายสี่เหลือให้เป็นเพียงประชาชนสามัญชนและเนรเทศไปยังม่อเป่ย ไม่มีคำสั่ง ก็ห้ามเหยียบเข้าเมืองหลวงอีกแม้แต่ก้าวเดียวกตลอดกาล ไม่สามารถขัดราชโองการได้!”
“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญอายุยืนหมื่นปีพันปี”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายนำเหล่าขุนนางคุกเข่าก้มหน้าพลางตะโกดนเสียงดัง
เสนาบดีฝ่ายขวาหลับตา ใบหน้าสูงวัยซ่อนเร้นความจำใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ได้อย่างแนบเนียน
เมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้ว ก็ไร้ซึ่งทางหนีได้อีกทีไล่ ทุกคนต่างรู้ว่าชาตินี้ของพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ได้จบสิ้นลงแล้ว
ประชาชนสามัญชนคือใคร
ก็คือบุคคลระดับล่างสุดของสังคมที่ต่ำกว่าชั้นล่างสุด
ม่อเป่ยเป็นสถานที่แบบไหน
ก็คือสถานที่ที่หนาวยะเยือกห่างไกลและไร้ความเจริญที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสองพันลี้
ภายในวังหลวงเงียบสงบลงไปชั่วขณะ
“ฝ่าบาทฮ่องเต้ขอรับ ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าขอรับพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ภายในนายหนึ่งขันทีผู้หนึ่งตะโกนขึ้นเสียงดัง
บรรดาขุนนางต่างตกใจและเงยหน้าขึ้นมอง
“นางมาทำไม ให้นางกลับไป!” ฮ่องเต้ทรงมึนงงอึ้งงัน สะบัดชายแขนฉลองพระองค์เสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมาขอเข้าเฝ้า!” องครักษ์ภายในขันทียังไม่ทันที่จะเข้าไปขวาง ฮองเฮาที่ทรงสวมชุดเป็นทางการสีแดงเข้มก็ก้าวพรวดพราดเร็วๆ ถลันเข้ามาในวังท้องพระโรง
“เหลวไหลไปใหญ่แล้วก่อเรื่องวุ่นวาย!” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเห็นฮองเฮาไม่คำนึงถึงการกีดขวางก็ถลันบุกเข้ามาจึงตำหนินางประโยคหนึ่ง
เหล่าขุนนางต่างกลั้นหายใจไม่มีใครกล้าส่งเสียง ถึงจะเป็นผู้ตรวจการขุนนางผู้ซื่อสัตย์ เวลานี้ก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาขัดขวางตำหนิฮองเฮา
ฮองเฮากวาดตาที่เยือกเย็นพระเนตรมองมองบรรดาขุนนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา พระเนตรสายตาเริ่มตวัดมองจากเสนาบดีฝ่ายขวาเคลื่อนไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้าย นิ่งไปชั่วขณะแล้วจึงคุกเข่าลงตัวตรงกลางพระตำหนักตำหนัก กล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “หม่อมฉันสั่งสอนลูกไม่เหมาะสม ดี จึงก่อให้เกิดความผิดครั้งใหญ่หลวง หม่อมฉันขอร้องให้ฝ่าบาทประทานความตายแก่หม่อมฉันเถิดเพคะ!”
สิ้นเสียง ทั้งท้องพระโรงวังต่างตกใจ
ใบหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทรงและลุกขึ้นยืนในทันที ตรัสกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าคือมารดาผู้ให้กำหนดพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ ส่วนเราเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด เจ้าขอให้เราประทานความตายให้เจ้าเช่นนี้ หมายความว่าอยากให้เราฆ่าตัวตายตามใช่หรือไม่ เพราะอย่างไรเสียเราก็สอนลูกไม่ดีถูกวิธี!”
“ฝ่าบาทมิบังอาจ ขอฝ่าบาทระงับอารมณ์โปรดอย่าทรงกริ้ว” เหล่าขุนนางสะดุ้ง ทุกคนต่างหวาดกลัว
ฮองเฮาได้ยินวาจานั้นน้ำตาพระอัสสุชลก็เอ่อคลอดวงตา ตรัสเกล่าวเสียงดังว่า “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ใครบ้างไม่เคยทำผิด เมื่อก่อนก็เคยมีเรื่องที่ลูกชายของตระกูลเสนาบดีฝ่ายซ้ายตีคนจนตายปรากฏขึ้น ในตอนนั้นเพียงแค่จัดการลงโทษสถานเบาๆ เท่านั้น ที่นี่เต็มไปด้วยพลเรือนและทหารตำหนักนี้เต็มไปด้วยขุนนางบุ๋นบู๊มากมาย เหตุใดคนมีผู้ใดถึงกล้ารับรองบ้างว่าตั้งแต่เล็กจนโตลูกหลานจากตระกูลตัวเองจะไม่เคยทำผิด บุตรของข้าหลังดื่มเหล้าจนเมามายก็หลงลืมตนระเริงเผาวัง แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิต หากฝ่าบาทจะลงโทษสถานหนัก หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด ลดขั้นฉินยวี่ฉินอวี้เป็นประชาชนสามัญชน หม่อมฉันยังพอรับได้ ได้แต่แค่ตำหนิเขาที่ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มหัวแข็งเขาอายุยังน้อยเอาแต่ใจตนเอง ดื่มเหล้ามากมายเสียจนลืมตัวเสียกริยา แต่เหตุใดถึงยังต้องทรงเนรเทศเขาไปยังสถานที่หนาวยะเยือกที่ร้างผู้คนเช่นม่อเป่ยด้วยเล่าเพคะ เช่นนี้จะต่างอะไรกับการฆ่าเขาตรงไหนกัน? ฝ่าบาท หม่อมฉันมีบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียวนะเพคะ!”
“ฉินยวี่ฉินอวี้คือสายเลือดของเรากับเจ้า ไหนเลยจะเหมือนลูกของครอบครัวธรรมดาสามัญเล่า? ลูกของครอบครัวอื่นสามารถทำผิดได้หรือ ลูกของเราทำผิดก็ต้องถูกประณาม ประณามทั้งเราทั้งบรรพบุรุษหลายชั่วคน!” พระพักตร์ใบหน้าองค์ของฮ่องเต้น่าเกรงขาม พระสุรเสียงน้ำเสียงเด็ดขาด “เราเอ่ยวาจาออกไปแล้ว จะกลับคำได้อย่างไร? เห็นแก่ที่เรารู้ว่าเจ้ารักลูก แต่เจ้าก็ทำผิดที่หุนหัฉะนั้นเราจะไม่เอาผิดเจ้าเรื่องที่เจ้าบุกเข้ามาในท้องพระโรง นพลันแล่นเข้ามาในวัง เจ้าออกไปเถอะ!”
“ฝ่าบาท!” สีพระพักตร์ขหน้าของฮองเฮาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ทหาร ใครก็ได้ มาพยุงประคองฮองเฮากลับตำหนักตำหนัก!” ฮ่องเต้ไม่ยอมให้ฮองเฮาได้กล่าวอะไรอีก สะบัดพระหัตถ์กวักมือเรียกเสนาบดีฝ่ายซ้าย
องครักษ์ภายในขันทีเดินไปที่ยังฮองเฮาในทันที หมายจะพยุงพระนางออกไป
ฮองเฮาลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปดึงปิ่นหงส์เก้าหางบนศีรษะมาจ่อที่ลำพระต้นศคอของตัวเองพลางทอดพระเนตรมองฮ่องเต้ด้วยความสิ้นหวัง “ฝ่าบาท หากวันนี้มิอาจเอาชีวิตกลับไปได้ทรงถอนรับสั่ง หม่อมฉันก็จะขอตายที่ตำหนักจินเตี้ยนวังแห่งนี้! ถึงอย่างไรลูกชายของหม่อมฉันไปม่อเป่ยก็ต้องตายสถานเดียว ถึงตอนนั้นคนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำ ไม่สู้หม่อมฉันตายเพื่อชดใช้ความผิดเสียก่อนยังจะดีกว่าอยู่แล้ว สู้หม่อมฉันตายก่อนยอมรับผิดและการลงโทษจะได้ไม่ต้องทนเห็นลูกตายก่อนตัวเองไม่ดีกว่าหรือ!”
“เจ้า…” พระพักตร์ใบหน้าของฮ่องเต้ขึ้นสีเขียวเขียวคล้ำขึ้นทันใด
องครักษ์ภายในขันทีถอยกลับไปสองก้าวด้วยความตื่นตระหนก
บรรยากาศในวังท้องพระโรงเปลี่ยนเป็นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันในชั่วพริบตา
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการลดขั้นพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่เป็นประชาชนสามัญชนและเนรเทศไปยังม่อเป่ยเช่นนี้ แม้จะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่โทษนั้นหนักหนาอย่างยิ่ง เกรงว่าหลังจากนี้พระราชบุตรพระราชธิดาและลูกหลานราชนิกุลองค์อื่นจะผูกติดเป็นนิสัย กลัวหัวหดกันไปหมดจนไม่กล้าออกนอกกรอบอีก เมื่อเวลาผ่านไปเกรงว่าทุกคนคงไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นของศีลธรรมจรรยา หนานฉินจะไร้ซึ่งผู้มากพรสวรรค์คนที่กล้าออกนอกกรอบอีก เกรงว่าจะอันตรายต่อคนรุ่นหลังเป็นอย่างมากนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาโค้งตัวออกจากแถว
ฮ่องเต้ได้ยินพระพักตร์ใบหน้าแห่งความโกรธเกรี้ยวก็ลดลงเล็กน้อย ค่อยๆ ประทับนั่งลงพลางมองเสนาบดีฝ่ายขวา “ตามที่เจ้าพูด หมายความว่าวาจาที่เรากล่าวไปควรเป็นโมฆะหรือ?”
“ฝ่าบาทมิบังอาจไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ สัจจะวาจาจะเป็นโมฆะได้อย่างไรเล่าขอรับพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโต้แย้งทันที
สีใบหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เข้มขึ้นเล็กน้อย
“แม้โทษจะหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่หากพูดตามผลที่ตามมาของการวางเพลิงจนเกือบทำให้วังหลวงล่มสลายก็สมควรถูกลงโทษ ในเมื่อฝ่าบาทกล่าววาจาตรัสออกมาแล้ว ก็ไม่ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยเด็ดขาด” เสนาบดีฝ่ายขวามองเสนาบดีฝ่ายซ้าย กวาดตามองฮองเฮาที่จ่อปิ่นปักผมเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิ้หนึ่งชุ่นว เขาพลันก็กลับคำพูด “แต่ว่ากระหม่อมมีคำแนะนำขอรับ พ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อจะเนรเทศไปยังม่อเป่ย ไม่สู้ส่งพระราชบุตรลำดับทีสี่องค์ชายสี่ไปยังเขาไร้นามไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะขอรับ”
กล่าวจบ บรรดาขุนนางก็ส่งเสียงเกรียวกราวฮือฮา
บนโลกหล้ามีคำพูดสืบต่อกันมาสองประโยค นั่นคือ “บนสวรรค์ร่ำรวยด้วยเกียรติยศและวาสนา โลกมนุษย์นั้นดั่งด่านนรกประตูผี”
บนสวรรค์ร่ำรวยเกียรติยศและวาสนาหมายถึงถนนหนทางที่ร่ำรวยและมีเกียรติของเมืองหลวงหนานฉิน ส่วนโลกมนุษย์ดั่งด่านนรกประตูผีหมายถึงเขาไร้นามแห่งม่อเป่ย
ถนนหนทางที่ร่ำรวยและมีเกียรติของเมืองหลวงหนานฉินโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็หมายถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ประตูสูงใหญ่แต่ละบานของตำหนักวังเชื่อมต่อกันแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง
ส่วนเขาไร้นามแห่งม่อเป่ยนั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นจุดเริ่มต้นสถานที่สำหรับที่ราชสำนักใช้ฝึกอบรมกองกำลังป้องกันอย่างลับๆองครักษ์เงาแห่งราชสำนัก ผู้คนที่ถูกเลือกเข้ามาในเขาไร้นาม มีสามเส้นทางให้เลือกเดินคือ ทางที่หนึ่งไม่ถูกคู่ฝึกซ้อมฆ่าตายกลางการฝึก ทางที่สองผ่านการเข่นฆ่าประลองฝีมือกลายเป็นองครักษ์เงาของผู้คุ้มกันราชสำนักที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และทางสุดท้ายไม่สามารถฆ่าคนได้แต่คนอื่นก็ฆ่าตนไม่ได้ ทำได้แค่เฝ้าปกปักษ์รักษาเขาไร้นาม ชั่วชีวิตไม่สามารถออกไปจากที่นั่นี่ได้ชั่วชีวิต
ทั้งสามทางนี้ ไม่ว่าจะทางไหน ก็อธิบายได้ว่าเขาไร้นามไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
เรียกได้ว่าเขาไร้นามเป็นภูเขาแห่งกองกระดูกก็ว่าได้
เมื่อพูดถึงชื่อเขาไร้นามขึ้นมา ทุกคนต่างเสียวสันหลังวาบ
เสนาบดีฝ่ายขวาเสนอเขาไร้นามขึ้นมา แม้แต่ร่างกายพระวรกายของฮ่องเต้ก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ตรัสพูดอะไรอยู่นาน
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า หากการนำพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ไปยังเขาไร้นามก็อาจจะสามารถแก้ไขนิสัยให้ดีขึ้นได้ หากได้เผชิญหน้ากับคุกจิ่วถังแห่งเขาไร้นาม สวรรค์อาจเห็นใจความผิดที่ทำไปวันนี้ ฝ่าบาทอาจทรงเห็นควรว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วกันไปได้ให้อภัยกับเรื่องที่ผ่านมาได้ หากพระราชบุตรองค์ชายสี่ไม่สามารถเผชิญหน้าฝ่าออกมาจากกับเขาไร้นามได้ นั่นก็หมายความว่าไร้ความสามารถ ต่อไปก็คงจะไม่สามารถเป็นใช้ประโยชน์ได้ ฝ่าบาทและฮ่องเฮาก็ไม่ต้องทรงกังวลทุกขพระทัย์ใจอีกพ่ะย่ะค่ะขอรับ” เสนาบดีฝ่ายขวานิ่งไปครู่หนึ่ง เห็นว่าไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดจึงกล่าวต่อไป
ฮ่องเต้ฟังจบก็ทอดพระเนตรมองไปยังฮองเฮา ตรัสถามเสียงเข้ม “ฮองเฮา เจ้าคิดว่าที่เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวเป็นอย่างไรบ้าง”
ฮองเฮาจิตใจพระทัยแฝงไปด้วยความหวาดกลัว มือมือที่กุมปิ่นสั่นเล็กน้อย สิ่งที่เหมือนกันคือม่อเป่ย หากเนรเทศไปม่อเป่ย บุตรชายของนางคงไปไม่ถึงม่อเป่ยก็คงต้องถูกคนแอบลอบฆ่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากส่งไปยังเขาไร้นาม มีฝ่าบาทส่งคนตามไปคุ้มกันตลอดทางต้องไม่มีใครกล้าลงมือแน่นอน หากเคราะห์ดี นางยังสามารถได้บุตรชายของนางคืนมา นี่เป็นโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ นางควรจะคว้ามันเอาไว้ เมื่อคิดได้แบบนี้ นางจึงก็โยนปิ่นทิ้งอย่างรวดเร็วและรุนแรง “หม่อมฉันเห็นด้วยกับที่เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวเพคะ”
“เสนาบดีฝ่ายซ้าย ขุนนางท่านอื่น พวกเจ้าคิดว่าที่เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวเป็นอย่างไร” พระพักตร์ใบหน้าของฮ่องเต้ไม่แสดงซึ่งพระอารมณ์ใดๆ
“กระหม่อมคิดว่าที่เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวมีเหตุผลขอพ่ะย่ะค่ะรับ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองเสนาบดีฝ่ายขวา กล่าววาจาคล้อยตาม
คนส่วนใหญ่ไม่มีใครคัดค้าน
“ถ้าอย่างนั้นก็งั้นตัดสินเช่นนี้แล้วกัน! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่งคนคุ้มกันราชบุตรลำดับที่องค์ชายสี่ไปยังเขาไร้นามแห่งม่อเป่ย หากเขาพึ่งพาความสามารถของตัวเองผ่านคุกจิ่วถังแห่งเขาไร้นามมาได้ เราจะคืนศักดิ์แก่เขาและยังเป็นราชบุตรลำดับองค์ชายที่สี่ของเรา หากเขากลับออกมาไม่ได้ ก็ถือว่าเขาก่อกรรมทำเข็ญเองทำตัวเอง” ฮ่องเต้กล่าวตรัสประโยคเดียวก็สามารถชี้้ขาดคำตัดสินสุดท้ายได้
บรรดาขุนนางก้มหน้า ตะโกนกล่าวว่าฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ทรงพระปรีชาญาณเสียงดัง
อีกด้านหนึ่ง พระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่ซึ่งยังไม่สร่างเมาถูกฮ่องเต้จัดกองทัพคุ้มกันกว่าห้าพันนายไปส่งยังเขาไร้นามแห่งม่อเป่ยทันที
หลังจากฮองเฮากลับไปยังตำหนักตำหนักเฟิ่งหล่วนงก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด ล้มหมอนนอนเสื่อประชวรอยู่บนเตียง ขณะเดียวกันฮ่องเต้ที่รักและเอ็นดูพระราชบุตรลำดับที่สี่องค์ชายสี่มาโดยตลอด วันนี้ก็ล้มป่วยทรงประชวรด้วยเช่นกัน
โรงสำนักหมอแพทย์หลวงวุ่นวายอลหม่านไปชั่วขณะหนึ่ง
เมฆครึ้มปกคลุมเมืองหลวงช่วงเวลาหนึ่ง
ดอกเหมยร่วงหล่นในจวนอิงชินหวาง อ๋อง คนผู้คนหนึ่งได้ยินผลการตัดสินโทษครั้งสุดท้ายของราชสำนักจบก็โพล่งออกมาด้วยความแปลกใจ “คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าหลี่จะแนะนำฝ่าบาทให้ส่งฉินยวี่ฉินอวี้ไปยังเขาไร้นาม นั่นไม่ใช่ที่ที่เด็กน้อยคนนั้นของจวนจงหย่งโหวอยู่ไปหรอกหรือ?”
เขาว่าจบก็มีอีกคนที่เอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ “คุณหนูของจวนจงหย่งโหวไปม่อเป่ยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
คนที่กล่าวคนแรกเงียบไปชั่วขณะ อุทานออกมา “อ้อ ข้าจำผิดไป เป็นพี่ชายฝ่ายหญิงของภรรยาฮูหยินจงหย่งโหวต่างหากที่ป้องกันพรมแดนอยู่ที่ม่อเป่ย สองสามวันก่อนข้าได้ยินมาว่าคุณหนูผู้อ่อนแอที่ถูกเลี้ยงมาในห้องหับสตรีหอมาตลอดผู้นั้นอยากไปเยี่ยมผู้เป็นอาที่อยู่ม่อเป่ย ยังไม่ทันได้ไปก็เป็นไข้ตัวร้อน อ่อนแอนจนราวกับว่าปลูกโรคได้ขนาดนี้ นางจะสามารถไปที่ไหนได้”
คนคนนผู้นั้นฟังแล้วก็ปล่อยวางโล่งใจ “อ่า พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ ไม่เห็นพี่จื่อกุยหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าอาการป่วยของเขาดีขึ้นหรือยัง? แปลกจริงๆ พี่จื่อกุยกับน้องสาวญาติสนิทของเขามักจะป่วยติดกันบ่อยๆ กลับกันญาติพี่น้องห่างๆ กลับฮึกเหิมแข็งแรงฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือที่ผาดโผนพยัคฆ์ หรือว่าฮวงจุ้ยสายเลือดทางตรงของจวนจงหย่งโหวจะมีปัญหา?”
ฮวงจุ้ยมีปัญหารึา? เมื่อก่อนคนที่พูดประโยคนี้ออกมาเคยหัวเราะเยาะ เบะและแบะปากอย่างไม่ใส่ใจ
ในเวลาเดียวกัน นกอินทรีตัวหนึ่งบนเข้ามาในจวนจงหย่งโหว นกอินทรีตัวนั้นบนวนเวียนไปมารอบจวนโหวก่อนจะเข้าไปในสวนจือหลัน
หน้าต่างของสวนจือหลันเปิดอยู่ ข้างในมีเสียงพูดคุยของคนแก่และเด็กหนุ่ม รวมถึงเสียงไอไม่ต่อเนื่องตามกันมาเป็นระยะตลอดเวลา
นกอินทรีตัวนั้นบินเข้าหน้าต่างมาอย่างเงียบๆ ร่อนลงบนไหล่ของคนที่เอนตัวลงพิงข้างเตียง คนผู้คนนั้นเห็นนกอินทรีตัวนี้ก็หยุดไอในชั่วพริบตา มิรอช้ารับกระดาษจดหมายที่ผูกติดกับขาของมันมาเปิดอ่าน
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่กลางห้องเห็นกระดาษจดหมายก็รีบถามทันที “จดหมายเขียนมาว่าอย่างไร”
คนคนนั้นอ่านจดหมาย ยิ้มยินดีก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยใบหน้าสงบนิ่งว่า “น้องสาวบอกว่าสองเดือนหลังจากนี้จะกลับเมืองหลวง”
“กลับเมืองหลวงรึ? แปดปีแล้วนะ ในที่สุดนางก็…สามารถกลับมาได้แล้วหรือ?” ผู้อาวุโสแสดงสีหน้าตื่นเต้น “นางยังว่าอะไรอีก”
คนคนนั้นเงียบไปชั่วขณะ “น้องสาวบอกว่า เมื่อเดือนก่อนนางลงมือทำลายเขาไร้นาม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปบนโลกนี้จะไม่มีเขาไร้นามอีก”
“อะไรนะ?” ผู้อาวุโสลุกขึ้นยืนอย่างไม่อยากเชื่อ กล่าวด้วยเนื้อตัวสั่นๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นที่ราชสำนัก…นางจะทำลายเขาไร้นามได้อย่างไรยังไง? นาง…นางกล้าทำได้อย่างไรกันยังไง?”
“น้องสาวไม่โกหกหรอก” คนคนนั้นนำกระดาษจดหมายยื่นให้กับผู้เฒ่า
ผู้อาวุโสรับจดหมายไปอ่าน เบื้องหน้ามืดสนิท ล้มหมดสติลงไปบนพื้น
แพทย์หมอหลวงของสำนักโรงหมอหลวงแบ่งจากฮ่องเต้และฮองเฮามายังจวนจงหย่งโหวกลุ่มหนึ่ง แล้วช่วงเวลานั้น หมอหลวงก็ขาดถึงคราวขาดแคลน
---
*ซือหลี่เจียน ตำแหน่งขันทีผู้ตรวจและอ่านฏีกาถวายฮ่องเต้
*เทพเซ่อจี้ตลาด เป็นชื่อเรียกของเทพที่ชาวบ้านที่ทำการเกษตรกราบไหว้บูชา เซ่อ หมายถึง เทพถู่เสิน หรือ เทพแห่งผืนดิน จี้ หมายถึง เทพกู้เสิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง การคงอยู่ตลอดกาล