จริงดังคาด เมื่อธีรพลกลับไปยังกาดหลวงเพื่อจะพบเจอกับนวล หญิงสาวผู้ที่กุมหัวใจดวงน้อยๆของเขาไว้ก็ไม่อยู่แล้ว แม้จะร้อนใจอยากจะไปร้องเรียกที่หน้าบ้านให้เธอลงมาพบมากเพียงใดก็ตาม แต่ในใจก็รู้ว่าไม่เหมาะสมจึงทำได้เพียงแค่ยับยั้งห้ามใจไว้ ส่วนเรื่องผ้าคลุมไหล่ที่ตั้งใจจะให้ไปก็ต้องเก็บไว้ที่ตัวชั่วคราวก่อน
เมื่อเป็นดังนั้นธีรพลก็ทำได้เพียงเดินคอตกกลับไปที่เกวียน ลากวัวคู่ใจทั้งสองเข้าแอก แล้วจึงเดินทางกลับบ้านไปอย่างเหงาหงอยเศร้าสร้อย
และกว่าที่ธีรพลจะออกจากตัวเมืองเวียงพิงค์ อาทิตย์ก็ลาลับฟ้าไปเสียแล้ว แม้การเดินทางผ่านถนนแก้วนวรัฐจะยังพอมีไฟถนนให้ได้เห็นหนทางอยู่บ้าง แต่หลังจากผ่านชานเมืองไป ทุกทิศทางก็พลันมืดมิดสนิทเป็นแผ่นผืน
เขาอาศัยความคุ้นชินในเส้นทางรวมกับแสงรำไรจากตะเกียงเจ้าพายุส่องนำทางไปจนถึงหมู่บ้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้เวลาล่วงเลยเข้าช่วงสามทุ่มแล้ว
"ธีไปที่ใดมาลูก เหตุใดจึงได้กลับมาเสียดึกดื่น แม่เป็นห่วงลูกมากเลยรู้ไหม?" ทันทีที่เห็นเกวียนถูกลากเข้ามายังลานบ้าน ป้าแก้วกับลุงมั่นที่เฝ้ารอธีรพลอยู่นานแล้วก็รีบเข้ามาหาก่อนเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย
"ขอโทษครับ ป้าแก้ว ลุงมั่น" ธีรพลที่เศร้าใจจากการคลาดไม่ได้พบเจอนวล เอ่ยปากคอตกขอโทษผู้มีพระคุณทั้งสอง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง
"ลูกกับสิงห์ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว ไอ้พวกนั้นมันไม่ใช่คนดีอะไร ปกติก็ท้าตีท้าต่อยเกะกะระรานเขาไปทั่วอยู่แล้ว" ป้าแก้วที่ก็รับทราบเรื่องราวและผู้คนในกาดหลวงเป็นอย่างดี เมื่อรับรู้ว่าธีรพลกับสิงห์ไปมีเรื่องกับไอ้ใหญ่เข้า ก็พานก่นด่าการกระทำไม่รู้จักเกรงกลัวฟ้าดินของอีกฝ่ายเป็นการใหญ่
"โชคดีที่ไอ้ทองใบมันสอนเชิงมวยลูกไว้ตั้งแต่เด็ก ไอ้ใหญ่มันเลยทำอะไรลูกไม่ได้ ลองถ้าเกิดมันทำให้ลูกเจ็บขึ้นมา พ่อจะไปสอนมวยเอาเลือดหัวมันออกให้ดู" ด้านลุงมั่นที่ก็เหมือนโดนเรื่องราวเหตุการณ์ระบาดใส่ จึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือยกเท้าออกท่าออกทางเก้ๆกังๆจนกลายเป็นเรื่องชวนหัวไป
"เก็บขาเอาไว้เดินเถอะ ไอ้แก่" ป้าแก้วที่ละอายเสียจนทนดูท่าทางอันน่าเวทนาของสามีตัวเองไม่ไหว พลันเอ่ยปรามติดตลกขึ้น ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศภายในบ้านผ่อนคลายลงในบัดดล
"พูดถึงไอ้ทองใบ นี่ลูก มีจดหมายจากมันส่งมาถึง" ลุงมั่นที่กำลังนึกขึ้นได้ จึงรีบไปเดินเอาซองจดหมายที่ได้รับมาเมื่อบ่ายจ่าหน้าถึงธีรพลมายื่นให้
"ลุงกำลังจะไปหาเอ็ง"
ธีรพลฉีกซองกระดาษเปิดอ่านข้อความสั้นๆทีละตัวอักษรด้วยความตื่นเต้น เพราะนับตั้งแต่จากกันเมื่อสามสี่ปีก่อน ลุงทองใบผู้ที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขาก็ไม่เคยเดินทางมาพบกันอีกเลย นับว่าข่าวนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เขารับรู้เพียงเรื่องเดียวหลังจากที่เกิดเรื่องราวมากมายในช่วงวันที่ผ่านมา ซึ่งก็พอทำให้บรรยากาศแห่งความผิดหวังบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง
"ดึกแล้ว รีบไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวเถิดลูก" ป้าแก้วแนะ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากช่วยงานลุงมั่นได้พอสมควร ธีรพลก็ขออนุญาตผู้ปกครองทั้งสองห่อข้าวนำเกวียนเข้าเมืองอีกครั้ง และด้วยเหตุการณ์เมื่อวานทางป้าแก้วก็เข้าใจในเหตุผลไม่เอ่ยทัดทานแต่อย่างใด เขาจึงได้รับอนุญาตเดินทางเข้าเมืองไปในบัดดล
เนื่องจากไม่มีของบรรทุกให้ถ่วงช้า การเดินทางครานี้จึงรวดเร็วกว่าเดิมเหลือเพียงสองชั่วโมงเศษก็ถึงกาดหลวงแล้ว ด้วยความร้อนใจ ธีรพลที่รู้สึกผิดเป็นที่สุด จึงรีบเดินไปแอบรอพบนวลที่ฝั่งตรงข้ามของร้านทอง ชะเง้อมองเงาร่างสาวสวยประจำตลาดอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
"มาทำอะไรอยู่ตรงนี้" เสียงอันไพเราะเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นที่ด้านหลัง ทำเอาธีรพลสะดุ้งตัวโยน
ภาพหญิงสาวชาวไทยเชื้อสายจีนในวัยสิบแปดปีที่หน้าตาหมดจดงดงามเสียจนหากใครมาเห็นเข้าก็เป็นต้องตกตะลึงตาค้างไปเสียทุกราย ใบหน้ารูปไข่ ตากลมโต ริมฝีปากเป็นกระจับ สันจมูกที่ดูไม่โด่งสูงจนเกินงาม ผิวพรรณที่ขาวนวลเนียนสะอาดสะอ้าน รวมเข้าด้วยกันเป็นใบหน้าที่พอดีเป็นที่สุด หากจะมากกว่านี้ไปนิดหรือน้อยกว่านี้ไปหน่อยก็จะขาดความสมดุลที่พึงมีตามธรรมชาติเช่นนี้ไป และแม้จะไม่ถึงขั้นงามล่มเมือง แต่เธอผู้นี้ก็กอปรด้วยความเฉลียวฉลาดปนแววตาแห่งความซุกซนน้อยๆ และสง่าราศีที่ไม่อาจมองข้ามดูแคลน
"นวล!"
ด้วยความตกใจ ทันทีที่หันไปพบเข้า ธีรพลก็ราวกับต้องมนต์สะกดอ้ำอึ้งพูดออกไม่เป็นภาษา มัวแต่อึกอักจนตอบออกมาเป็นภาษาคนได้เพียงชื่อของอีกฝ่าย
"เป็นอะไรไป หรือว่าพูดไม่เป็นแล้ว" นวลที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า เพราะธีรพลรู้สึกผิดจึงไม่กล้าเดินเข้าไปพบตรงๆ เธอจึงแอบมาข้างหลังกลั่นแกล้งชายคนสนิทให้สมใจโทษฐานที่เมื่อวานเบี้ยวนัดปล่อยให้เธอรอเก้อ
"คือเมื่อวาน หลังจากส่งผ้าเสร็จบังเอิญไปพบกับไอ้สิงห์เข้า แล้วมันมีเรื่องจึงได้เข้าไปช่วยเหลือจนมาไม่ทันเวลานัด จึงได้คลาดกับนวลไป" ธีรพลเร่งแก้ตัวอธิบายเร็วปรื๋อราวกับท่องหนังสือก็มิปาน
"ใครถาม" โดยที่ไม่ต้องการคำตอบ นวลสวมบทบาทเป็นหญิงสาวที่เจ้าแง่แสนงอน สร้างภาพให้ธีรพลกระวนกระวายใจเป็นที่สุด
"ขอโทษ" เมื่อไม่ทราบจะทำสิ่งใดให้ถูกใจสาวเจ้า ธีรพลก็พลันคอตกหน้าเศร้าเอ่ยหง่อยๆออกไป
"ได้ข่าวมาว่า เมื่อวานไปโปรยเสน่ห์ให้สาวน้อยสาวใหญ่มาหรือ?" หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง นวลก็พลันเอ่ยถามขึ้น
"ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นเลย" ธีรพลพูดตอบเป็นภาษาล้านนาคล่องปร๋อ
"แล้วไป" นวลจบสิ้นพิธีการกลั่นแกล้งแต่พองาม ก่อนจะป้องปากขบขันในกริยากระงกกระเงิ่นของอีกฝ่าย
"เอ๊ะ! นี่นวลรู้เรื่องแล้วใช่ไหม?" ด้านธีรพลที่ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายหลอก เพราะดูไปแล้วนวลไม่ได้มีอารมณ์โกรธเคืองเขาแต่อย่างใด ดังนั้นครั้นพอนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถามออกไป
"แล้วมีผู้ใดในละแวกนี้ที่ไม่รับรู้บ้าง ต่อยตีกันใหญ่โตออกปานนั้น แม่ค้าเขาลือกันให้ทั่ว ว่ามีชายหนุ่มรูปงามมาทำให้ไอ้ใหญ่หน้าคว่ำถึงถิ่น สาวน้อยสาวใหญ่ก็พานเนื้อเต้นอยากเห็นหน้าพ่อเทพบุตรคนนี้กันไปเสียหมด" โดยไม่ตอบกลับแบบตรงๆ นวลใช้วิธีอธิบายขยายความแทนการตอบรับ ซึ่งลึกๆแล้วเธอก็แอบรู้สึกภูมิใจในตัวชายคนสนิทอยู่ไม่น้อย แต่ภายนอกก็ยังแกล้งเป็นทำหน้าเมินเฉยและแอบจิกกัดธีรพลในตอนท้าย
"ที่พบเจอมา ไม่ใช่เรื่องราวดีอันใด ลืมๆไปเสียดีกว่า"
ธีรพลแบมืออย่างจนปัญญาที่ไม่สามารถบังคับไม่ให้ผู้อื่นปั้นเสริมเติมแต่งเรื่องราวจนเกินจริงไปไกลได้ จึงเอ่ยตัดบทให้เรื่องนี้ข้ามผ่านไป
"นี่จะนวล ฉันให้" ทันทีที่เคลียร์ปัญหาคาใจเสร็จ ธีรพลก็พลันหยิบผ้าคลุมไหล่จากในย่ามออกมายื่นส่งให้นวลและรีบเข้าสู่เรื่องหลักที่ค้างคามาตั้งแต่เมื่อวาน
"ผ้าผืนนี้สวยจริงๆ ลายทอก็งดงามยิ่ง แต่ราคาคงสูงไม่เบา ฉันคิดว่า...ไม่น่าจะรับไว้ได้" ดั่งคำพูดที่ว่าของงามย่อมคู่กับหญิงงาม เมื่อนวลพบผ้าคลุมไหล่ก็พลันถูกใจตาเป็นประกายอยากได้มาไว้ในครอบครอง ถึงกระนั้นแม้ผู้อื่นจะตั้งใจนำมามอบให้ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าของชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป
"รับไว้เถิด ฉันอยากให้จริงๆ"
ธีรพลพยักหน้ายิ้มพลางผลักผืนผ้าในมือนวลกลับไป ซึ่งในระหว่างขณะที่นวลกำลังลังเลอยู่นั้นเอง ธีรพลก็พลันแกล้งเอ่ย "แต่ถ้านวลไม่อยากรับไว้จริงๆ ฉันก็จะนำไปให้ผู้อื่น"
"ไม่ได้ ให้ผู้อื่นไปไม่ได้" เมื่อไม่อาจตัดใจได้ นวลก็จึงรีบชักผ้าเข้ามาไว้ในอ้อมอก ส่ายหน้าด้วยกริยาที่ชวนให้ลุ่มหลงงมงาย ซึ่งก็ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นความขวยเขินเอียงอายจากเธอ จนพานทำให้ธีรพลต้องแย้มยิ้มเคลิบเคลิ้มตามอย่างลืมตัว
หลังจากกล่าวขอบคุณกันแล้วเสร็จ ธีรพลและนวลก็พูดคุยสัพเพเหระกันอยู่อีกครู่หนึ่ง พร้อมกับนัดแนะกันว่าจะไปไหว้พระในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงในอีกราวหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ซึ่งจากนั้นธีรพลก็ได้กล่าวบอกลาจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม เดินใจลอยไปพร้อมกับภาพของหญิงสาวที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำเขาไปอีกนาน
เมื่อได้มีโอกาสเข้ามาในเมืองแล้ว ธีรพลที่อยู่ว่างไร้เรื่องราวก็เลยตัดสินใจไปหาสิงห์ เผื่อว่าจะได้ช่วยเกลอรักคิดหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ โดยก่อนอื่นเขาเดินไปตามหาสิงห์ที่ท่าเรือซึ่งเป็นที่ทำงานประจำของอีกฝ่ายก่อน แต่เมื่อไปถึงก็กลับไม่พบเห็นเงาของเกลอรักแต่อย่างใด จึงได้เอ่ยถามเพื่อนร่วมงานของสิงห์ดูจึงได้ทราบว่าวันนี้เขาไม่ได้มาเข้าทำงาน ธีรพลก็จึงได้ตัดสินใจขึ้นเกวียนเดินทางไปยังบ้านเช่าของสิงห์ทางด้านใต้ของเมืองในทันที
หลังจากลัดเลาะตามเส้นทางจนถึงที่หมาย เขาก็ได้หยุดเกวียนลงและเดินตรงไปยังประตูห้องเช่าหลังสุดท้าย ยกมือขึ้นเคาะประตูร้องเรียกสิงห์ แต่ทันทีที่มือกระทบถูก บานไม้ที่ไม่ได้ลงดาลไว้ก็พลันเปิดอ้าออกตามแรง เผยให้เห็นสภาพภายในห้องที่ข้าวของตกแตกกระจัดกระจาย เครื่องเรือนแตกหักพังทลาย ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากการต่อสู้ขัดขืนกันอย่างรุนแรง
ด้วยความตกใจ ธีรพลจึงป้องปากตะโกนร้องเรียกและวิ่งวนหาทั้งในนอก ทั่วบริเวณอยู่หลายรอบ แต่กระนั้นก็ไม่พบร่องรอยของสิงห์แต่อย่างใด พอครั้นจะถามเรื่องราวความเป็นไปจากเพื่อนบ้าน แต่ในละแวกใกล้เคียงก็ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่พึ่งพาตนเอง พยายามค้นหาร่องรอยสืบสาวจากหลักฐานรอยเท้าที่ผสมปนเปกันจนนำไปยังหน้าต่างบานหนึ่งหน้าห้องเช่า ซึ่งเสียบไว้ด้วยกระดาษที่มีข้อความอยู่ภายในแผ่นหนึ่ง
"เกลอเอ็งอยู่กับข้า อยากช่วยก็จงตามทางในแผนที่มา"
ธีรพลอ่านย้ำขึ้นทีละคำ แม้ภายในจะเดือดดาลมากก็ตาม แต่ภายนอกก็ยังพยายามข่มตนให้สงบนิ่ง รักษาสติให้ตั้งมั่น ตรวจดูเส้นทางในแผนที่จำแนกทิศทางจนสามารถนึกสถานที่ขึ้นในใจได้อย่างคร่าวๆ
จากการคาดคะเน เขาคิดว่าผู้ที่จับตัวสิงห์ไปน่าจะเป็นพวกไอ้ใหญ่ที่เสียท่าไปเมื่อวานเป็นแน่ วันนี้พวกมันจึงต้องการมาเอาคืน โดยเป้าหมายกลับกลายเป็นตัวเขาเอง แต่ทั้งๆที่รู้ว่าการไปช่วยเกลอรักในครั้งนี้จะต้องเป็นกับดักที่อีกฝ่ายขุดไว้ล่อให้ตนเข้าไปติด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกเสียจากบุกตรงๆเข้าไปช่วยสิงห์ออกมาเท่านั้น ส่วนจะวางกลยุทธ์ยังไงต่อไปก็คงต้องพลิกแพลงเอาตามสถานการณ์
ตามแผนที่ที่วาดมา สถานที่ที่สิงห์ถูกจับตัวไปนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านเช่าเขาเท่าใดนัก ถ้าธีรพลคาดเดาไม่ผิด เขาคิดว่าจะต้องเป็นหนึ่งในโกดังเก็บสินค้าในย่านสันป่าข่อยเป็นแน่ เมื่อเป็นดังนั้นธีรพลจึงตัดสินใจบังคับเกวียนขี่ข้ามสะพานนวรัฐกลับไปยังฝั่งตะวันออกในทันใด
สำหรับชุมชนย่านสันป่าข่อยนั้นเป็นเขตการค้าที่อยู่ถัดมาทางใต้จากชุมชนย่านวัดเกต โดยมีถนนเจริญเมืองเป็นเส้นทางเดินรถสำคัญผ่ากลางเขตเศรษฐกิจแห่งนี้ และในบริเวณใจกลางเขตก็จะเป็นที่ตั้งของวัดและตลาดที่เปรียบเสมือนดั่งหัวใจสำคัญของย่าน ซึ่งภายในตลาดสันป่าข่อยนี้เองก็จะสามารถหาสินค้าที่นำเข้ามาจากพระนครได้
ส่วนในฝั่งสุดเขตด้านตะวันออกจะมีพื้นที่ติดกับเส้นทางรถไฟ หรือที่ชาวท้องถิ่นมักจะเรียกกันว่า สถานีปลายทาง และเพราะการเข้ามาของเส้นทางรถไฟสายเหนือนี้เอง การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างพระนครและเวียงพิงค์จึงเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว จนนำมาซึ่งความเจริญและส่งผลให้เขตการค้าแห่งนี้คึกคักคึกครื้นเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้จากร้านรวงและโกดังสินค้าที่เปิดขยายอยู่เต็มพื้นที่สองฝากข้าง
เนื่องจากแผนที่ที่ได้มา วาดตำแหน่งแห่งที่ไว้อย่างคร่าวๆ อีกทั้งสถานที่ที่ตั้งยังอยู่ลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยว จึงทำให้ธีรพลต้องมองซ้ายมองขวาค้นหาอยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็มาพบกับโกดังขนาดกลางหลังหนึ่งที่อยู่ลึกสุดซอยซึ่งเบื้องหน้าปลูกไว้ด้วยต้นก้ามปูขนาดใหญ่หนึ่งต้น
หลังจากดูลาดเลาสักระยะหนึ่ง เมื่อเตรียมการพร้อมสรรพดีแล้วธีรพลก็นำเกวียนอ้อมไปจอดริมรั้วทางด้านหลังของสถานที่ซึ่งมีเส้นทางเล็กๆเชื่อมต่อกับซอยที่อยู่ถัดไป ส่วนร่างก็เดินวกอ้อมเป็นวงแสดงตัวอย่างเปิดเผยเดินเข้าตามหนทางไปอย่างกล้าหาญ