webnovel

15-3 口是心非 ปากอย่างใจอย่าง

หาใช่ว่าบุรุษเทพปีศาจหลงใหลในกายทิพย์รูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นเพราะว่าอาเป้ยไม่เคยเอ่ยปากชมผู้ใดบนเทวโลกว่ารูปงามนอกเสียจากเทพอู่เฉิน...

ยามนี้นางจึงตกอยู่ในสภาพทุลักทุเล สะบัดปลายเท้าขึ้นเหินเวหาด้วยวิทยายุทธ์ของนาง

ต้องคอยหนีอสูรราตรีซึ่งเหาะเหินในอากาศได้ ก็ว่ายากเย็นเหลือคณา มันกำลังไล่ตามนางอย่างบ้าคลั่ง นางยังต้องคอยหลบพลังอัคคีพิโรธของเทพปีศาจที่ซัดต้นไม้ล้มลงด้วย

แน่ล่ะ... เปลวอัคคีไม่ว่าเป็นประเภทใดของเทพอู่เฉินไม่สามารถทำร้ายนาง ทว่าต้นไม้สูงเสียดฟ้าเหล่านั้นหากล้มลงมาทับนางได้ถูกบี้แบนแต๊ดแต๋!

โชคยังเข้าข้างนาง เมื่อในอีกครู่หนึ่ง เทพอู่เฉินเริ่มควบคุมพลังหยินได้คงที่ สติสัมปชัญญะกลับมาหลังจากที่ท่านโมโหนางพอสมควร

นับว่าการฝึกฝนในหลายวันมานี้ไม่สูญเปล่า ทั้งที่โดยปกติแล้วเทพปีศาจช่ำชองเพียงการปล่อยพลังทั้งหมดออกไป มุ่งเน้นการทำลายล้างเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ การฝึกใช้เวทเพื่อรักษาฟื้นฟูเช่นนี้ไม่ใช่งานถนัดนัก

เทพอู่เฉินสามารถใช้ฝ่ามือเพียงข้างเดียวรักษานางแม้ว่านางจะหนีตะขาบอยู่ด้วย

ทันใดนั้นเอง! อสูรราตรีกลับกลายเป็นตะขาบร่างสูงใหญ่มหึมากว่าเรือนของบิดามังกร ขาอันมากมายเหล่านั้นเริ่มขยับไปในทิศทางเดียวกันในอากาศ คมเขี้ยวของมันมีขนาดใหญ่เท่ากลุ่มเมฆบนฟ้า

ให้ความรู้สึกน่าสยดสยองสำหรับอาเป้ยผู้ไม่ถูกกับสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้เอาเสียเลย นางรู้สึกขนลุกขนชันทุกครั้ง นางเคยวิ่งหนีมันบนโลกมนุษย์มาก่อน ถึงขั้นว่าอาจารย์ฮุ่ยหมิงมาพบนางเข้ายังถูกอาจารย์ต่อว่า สั่งห้ามมิให้นางสิ้นลมหายใจเพราะเจ้าพวกนี้ ด้วยเหตุว่าศิษย์สำนักเทียนหลงไม่เคยมีผู้ใดสิ้นลมหายใจอย่างไร้เกียรติ

"แต่นี่ ๆ ตะขาบบ้าดีเดือดนี่มันตัวใหญ่คับฟ้านะท่านอาจารย์ ข้าจะต่อสู้กับมันอย่างไรเล่า!"

อาเป้ยสบถลั่น นางได้แต่หวังว่าจะรอดชีวิต ขณะเทพอู่เฉินกระโจนกายขึ้นสู่อากาศเพื่อพุ่งตรงไปหาเป้าหมายคือขาของนาง หากใช้เวทหยินรักษานางเพียงอย่างเดียวก็เป็นเรื่องที่ทำได้ ติดเพียงแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย

"ท่าน... อสูรรูปงาม เดี๋ยวก่อน ๆ ข้ามีคนรักแล้วท่าน... ได้โปรด เลิกตามตอแยข้าเสียที"

"อาเป้ย! เจ้าอยู่นิ่ง ๆ!"

"จะให้ข้าอยู่นิ่งท่านก็ทำอะไรให้ว่องไวสิ พ่อตะขาบนี่จะเขมือบข้าลงท้องอยู่แล้ว แล้ว... ขาของท่านยั้วเยี้ยขนาดนี้ ท่านเคยนับข้าตัวเองหรือไม่!? ท่านลองนับเสียก่อนว่าท่านมีกี่ขาค่อยมาเจรจากับข้า"

พิษที่แล่นกระจายไปทั่วร่างทำให้นางเริ่มพร่ำเพ้อ ทะเลาะวิวาทกับตะขาบ นางกระโดดไปมาเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของตะขาบสีแดงร่างใหญ่โต พร้อมด้วยวาจาร้ายกาจของนางโดยไม่ใช้เวทใด ๆ

ตะขาบราตรีเกือบฝังคมเขี้ยวของมันกลางลำตัวนางเสียแล้วหากนางถีบขาขึ้นอากาศไม่ทัน มันตั้งใจจะงาบนางเข้าไปเป็นอาหารเย็นของมัน! นางว่ามันจะต้องเข้าใจภาษามนุษย์เป็นแน่

"ข้าเพียงปรารถนาจะถักทอรองเท้าอันงดงามสานด้วยเวทสีทองอร่ามให้ท่าน เร็วเข้า! ท่านอยากได้ของขวัญล้ำค่าจากข้าหรือไม่ ได้โปรดตอบข้ามาพ่อตะขาบรูปงามจอมทึ่ม ท่านมีขาทั้งหมดกี่ขา!?"

อาเป้ยโวยวาย นางเริ่มรู้สึกถึงพิษสงของตะขาบราตรี สัตว์อสูรตระกูลไฟซึ่งนางเคยอ่านตำรามาบ้างว่ามันแสนจะร้ายกาจ บัดนี้สองขาของนางอ่อนแรง สูญเสียการควบคุมทิศทาง ล้มกลิ้งลงไปกับพื้นหญ้า ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินจะกระโดดตามนางติด ๆ ฟาดฝ่ามือใส่รอยเขี้ยวบริเวณข้อเท้าของนางเพื่อดูดพิษออก

เวทสีดำลอยจากเท้าของนางในลักษณะกลุ่มควัน ส่วนหนึ่งถูกขับออกจากผิวหนังผ่านไอเวท ทว่าอีกส่วนหนึ่งนั้นยังคงไหลเวียนอยู่ในโลหิตของนาง

ก่อนหน้านี้นางขยับตัวมากไปสักหน่อย เท่ากับว่าพิษซึมเข้าสู่กระแสโลหิตของนางจำนวนหนึ่ง

นั่นอาจเป็นแผนการของอสูร ผู้เห็นว่านางไม่โต้ตอบมันแม้สักน้อยเอาแต่กระโดดหนี ในเมื่อนางถือว่าเป็นการฝึกฝนของเทพอู่เฉิน ยังบอกให้พยัคฆ์อัคคีเข้าไปนอนในเรือนเสีย ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของเทพ เจ้าเหลียนเหลียนเลยทำได้เพียงแอบชะเง้อคอมองตามดูนาง เผื่อว่านางอาจต้องการความช่วยเหลือในสถานการณ์คับขัน

ครู่หนึ่งนั้น อสูรกับอสูรมองหน้ากัน คล้ายกับว่าจะสื่อสารกันได้

อาจมีเพียงพยัคฆ์อัคคีที่ล่วงรู้ว่าอสูรตนนี้ไม่ใช่อสูรธรรมดา ตะขาบตนนี้มีพละกำลังและเวทอสูรในระดับเทียบเท่าปีศาจ เมื่อไล่ต้อนเหยื่อให้อ่อนกำลังลงด้วยร่างอันใหญ่โตโอฬาร โดยที่มันไม่ได้จะกลืนนางลงท้องจริง ๆ ทว่ารอจนกระทั่งพิษซึมซาบเข้าสู่กระแสโลหิตในปริมาณหนึ่ง มันจึงหยุดการโจมตี ขยับขามากมายนั้นลงจากเวหา เหยียบยืนบนพื้นหญ้า

ตะขาบอัปลักษณ์น่าขยะแขยงกลายเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ในอาภรณ์สีขาวบางที่พาดบ่ากว้าง ครึ่งผืนนั้นหลุดหล่นลงกองอยู่บนหน้าท้องเป็นลอนหนา เผยให้เห็นมัดกล้ามเรียงตัวกันด้วยโครงสร้างร่างกายอันสมบูรณ์แบบ

ใบหน้าอันงามสง่าปานหยกสลัก ผมดำขลับยาวประสะโพกดูนุ่มสลวยเช่นผมของอิสตรี ทั้งดวงตาคู่เรียวรี คิ้วเข้มหนาที่เรียบขนานอย่างลงตัวรับกับปลายจมูกโด่งเป็นสันคม เทพอู่เฉินยืนนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจเท่ากันกับนาง

อาเป้ยนั่งกะพริบตาปริบ ๆ เมื่ออสูรรูปงามนั่งยองลง เอื้อมมือมาสัมผัสข้อเท้าของนาง บริเวณที่มันฝังคมเขี้ยวเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

"เจ้าอยากลองนับดูหรือไม่ว่าข้ามีกี่ขา? แม่นาง... ข้าปรารถนาจะได้ครอบครองรองเท้าถักสานด้วยมือของเจ้า หากว่าเจ้ายินดีถักทอมันให้ข้า หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด... อาเป้ย"

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าองอาจนั้นทำเอานางอ้าปากค้าง! นางคิดว่าเทพฮ่าวหรานเพียงยั่วโทสะบุตรชายเพื่อการฝึกฝน ตัวนางก็มิใช่สตรีหลายใจ หลงใหลในบุรุษรูปงามเสียเมื่อไร

แต่เทพฮ่าวหรานไปตามหาอสูรตนนี้ใส่ขวดแก้วมาได้อย่างไร?

"เจ้า... อสูรชั้นต่ำ... ปล่อยมือจากสมบัติของข้า"

ในน้ำเสียงเข่นเขี้ยวขู่ฟ่อประกาศกร้าว อาเป้ยพลันหันไปทางเทพอู่เฉินซึ่งหยุดยืนอยู่ข้างกายพร้อมเปลวอัคคีในดวงตาคู่คม อสูรราตรียังคงไม่ยอมปล่อยมือจากข้อเท้านุ่มนวลของนาง...

นางคาดการณ์ว่า...

หายนะมาเยือนเทวโลกชั้นดินแล้วล่ะ!