จวนแม่ทัพ
ในที่สุด วันงานมงคลของหลงอี้หลิงกับเยี่ยชิงเซียวก็มาถึง
จวนแม่ทัพประจำตำแหน่งของแม่ทัพหนุ่มซึ่งปกติจะไม่เคยถูกใช้งานมากนัก นอกจากเอาไว้ใช้รับรองแขก เพราะส่วนมากหลงอี้หลิงจะไปพักอยู่ที่เรือนหลงหลิงของเขา
แต่วันนี้จวนแห่งนี้กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าทุกวัน โคมไฟมงคลสีแดงถูกแขวนประดับประดาอยู่ตรงประตูใหญ่หน้าจวนและบริเวณภายใน
บ่าวไพร่เดินขวักไขว่ไปมาแทบขาขวิด เพื่อเร่งเตรียมงานให้เสร็จก่อนที่ขบวนเกี้ยวส่งตัวเจ้าสาวจะเคลื่อนตัวมาถึง แม้กระทั่งด้านหลังเรือน พ่อครัวหัวป่าก์ได้ถูกเชิญตัวมาจากร้านอาหารภัตตาคารชื่อดังของเมืองหลวง เพื่อมาช่วยปรุงอาหารให้เลิศรสให้กับวันงานสำคัญของหลงอี้หลิง
ห้องโถงใหญ่เรือนรับรองของจวนแม่ทัพ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศภายในห้องที่เต็มไปด้วยโคมไฟและผ้ามงคลสีแดงประดับประดาเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ เก้าอี้ใหญ่สองตัวตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางห้องด้านในสุด โดยมีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดกลางวางตั้งคั่นระหว่างเก้าอี้ทั้งสองตัว
หญิงชราสูงศักดิ์กวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัวไปทั่วทั้งห้องโถงนั้น และกล่าวถามสาวใช้ข้างกายขึ้น
"ยายเมิ่ง เจ้าคิดว่าข้าทำเช่นนี้มันถูกต้องแล้วใช่ไหม งานแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตแท้ ๆ ข้ากลับไม่ยอมทัดทานหรือห้ามปรามหลิงเอ๋อร์ในการตัดสินใจครั้งนี้ของเขาเลยสักนิด"
น้ำเสียงหญิงชราฟังแล้วให้ความรู้สึกเศร้า แววตาดูหม่นหมองไม่มีความสุขเสียเลย ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันมงคลของจวนแม่ทัพ
หญิงชราในชุดสาวใช้ยืนสำรวมกายอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย เข้าใจในความรู้สึกที่อีกฝ่ายกำลังเป็นอยู่ จึงได้พูดปลอบโยนเอหวังอีกฝ่ายจะคลายความกังวลในใจลงได้บ้าง
"นายหญิงทำดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ งานในวันนี้นายน้อยเป็นผู้ตัดสินใจเอง ข้าเองก็เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกของข้าในตอนนี้ก็คงไม่ต่างไปจากท่าน ทั้งห่วงและกังวลใจยิ่งนัก แต่พวกเราคงได้แต่ต้องเชื่อและเคารพในการตัดสินใจนั้นของนายน้อยเจ้าค่ะ"
ยายเมิ่งเป็นสาวใช้ข้างกายของหลงฮูหยินมาตั้งแต่พวกนางยังเป็นสาวสะพรั่ง ดังนั้นในการพูดคุยและสนทนากัน สาวใช้ผู้นี้จึงกล้าพูดในสิ่งที่ใจคิดออกมา โดยที่ไม่กลัวโทษทัณฑ์จากผู้เป็นนาย และที่สำคัญนางก็เป็นข้าทาสที่ซื่อสัตย์เสมอมา
หลงฮูหยินได้ฟังสาวใช้ของตนกล่าวให้กำลังใจเช่นนั้น เจ้าตัวก็ยืนเงียบไป เพราะคำพูดของสาวใช้เฒ่าผู้นี้พูดถูกทุกคำ
ครู่ต่อมาเหมือนหลงฮูหยินจะนึกบางอย่างได้ จึงหันกลับมามองหน้าสาวใช้ของตนด้วยสีหน้าฉงนสงสัย
"ยายเมิ่ง! วันนี้เจ้าได้เจอหน้าหลั่นเอ๋อร์บ้างแล้วหรือยัง เพราะตั้งแต่พวกเราเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ ข้ายังไม่เห็นนางแม้แต่เงา"
ยายเมิ่งส่ายหน้า และตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง
"ข้าเองก็ยังไม่เห็นนางเลยเจ้าค่ะ พูดไปแล้วก็ช่างสงสารนางจับใจ วันนี้คนที่ดูจะเสียใจมากที่สุด คงเห็นจะเป็นสตรีน้อยผู้นั้น"
ยายเมิ่งกล่าวจบก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันที และสังเกตปฏิกิริยาของนายหญิงทันที เพราะตนเพิ่งพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไป
หลงฮูหยินเผยแววตาเศร้าหมองออกมาอย่างชัดเจน
"นี่คงจะใกล้เวลาแล้ว เจ้าไปสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวรอรับแขกเหรื่อได้แล้ว"
หญิงชราสูงศักดิ์พูดตัดบทเพื่อเปลี่ยนประเด็น มิเช่นนั้น จิตใจของนางคงจะหดหู่ไปทั้งวันจนจบงานแน่
"เจ้าค่ะนายหญิง" ยายเมิ่งน้อมศีรษะขานรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เดินปลีกตัวแยกไปทำงานตามที่ได้รับคำสั่ง
เวลาล่วงเลยผ่านไปราวสองก้านธูป และแล้วฤกษ์งามยามดีก็มาถึง
เสียงประทัดจำนวนมากมายถูกจุดขึ้นตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนแม่ทัพดังระงมไปทั่วท้องถนนตรงนั้นเพื่อแสดงการต้อนรับเกี้ยวเจ้าสาวที่เพิ่งเคลื่อนขบวนมาถึง โดยมีเยี่ยอ๋องและซ่งเฉาเกานั่งอยู่บนหลังม้าคนละตัว อยู่ตรงหน้าหน้าขบวน
หลงฮูหยินและยายเมิ่งรวมทั้งญาติฝั่งเจ้าบ่าวได้ออกมายืนต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูอย่างพร้อมเพรียง
เยี่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้าและเดินตรงปรี่มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของหลงฮูหยิน เขาได้กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะจะกลับมายังหญิงชราสูงศักดิ์ตรงหน้า และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยสบอารมณ์
"หลงฮูหยิน วันนี้เป็นงานมงคลของบุตรสาวข้ากับหลานชายของท่าน แต่เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเขายืนอยู่ที่นี่กันล่ะ แม้แต่นายกองคนสนิททั้งสองของเขา ก็ยังไม่เห็นหัวสักคน พวกท่านทำแบบนี้ มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน"
นายหญิงใหญ่ของสกุลหลงได้ฟังคำถามของเยี่ยอ๋อง ทำให้นางรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องตั้งสติ นางจึงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ เพื่อข่มใจเอาไว้ไม่ให้คล้อยตามเขา ก่อนจะเชิดหน้าชูคอสูงขึ้นและปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย พร้อมกับตอบฉะสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงสุขุม ใจเย็น
"เยี่ยอ๋องช่างใจร้อนเสียจริงเชียว ถึงขนาดลืมขนบธรรมเนียมประเพณีที่ว่า เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวห้ามเจอกันจนกว่าจะถึงเวลาเข้าพิธีแต่งงาน มิเช่นนั้นมันจะเป็นลางร้ายได้"
เยี่ยอ๋องรู้สึกหน้าชากับคำตอบนั้นของฮูหยินเฒ่า แต่เขาก็ไม่ได้โต้เถียงนางกลับไป และพลางหันกลับไปทางขบวนเจ้าสาว สั่งให้บ่าวและสาวใช้พาตัวเจ้าสาวลงจากเกี้ยว และเคลื่อนตัวเข้าสู่จวนแม่ทัพทันที
ซ่งเฉาเกายืนมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง และไม่ได้เอาตัวเข้ามาแทรกแซงเหมือนทุกครั้ง และการกระทำนั้นของเขาก็หาได้รอดพ้นสายตาของหลงฮูหยินไปได้
ด้านหลงอี้หลิง ตอนนี้บ่าวไพร่ได้ช่วยเข้ามาแต่งตัวให้เขาจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จังหวะนั้นจางเก่อและเข่อลั่วก็เปิดประตูและเดินตามหลังกันเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวล แม่ทัพหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงได้สั่งให้ทุกคนออกไปก่อน เหลือไว้เพียงนายกองคนสนิท
ทันทีที่ประตูถูกปิดเข้า หลงอี้หลิงก็ได้เปิดฉากการสนทนาขึ้นอย่างร้อนใจ
"ว่าไง! พวกเจ้าตามหาคนเจอแล้วหรือยัง"
จางเก่อกับเข่อลั่วส่ายหน้าทั้งคู่ และตอบขึ้นพร้อมกันเหมือนนัดกันมาก่อน
"ยังเลยขอรับ"
คำตอบของนายกองคนสนิททั้งสองมันได้สร้างความกังวลใจให้กับแม่ทัพของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
จางเก่อเข้าใจความรู้สึกกังวลและร้อนใจที่มันอัดแน่นอยู่ภายในใจ นายน้อยของตนเป็นอย่างดี และกลัวว่าเขาจะขาดสติและตัดสินใจทำอะไรหุนหันพลันแล่นจึงได้ชิงกล่าวเตือนดักทางความคิดของแม่ทัพหนุ่มเอาไว้ก่อน
"นายน้อย ตอนนี้ได้เวลาแล้วขอรับ...ท่านเป็นผู้นำของพวกเรา ข้าขอร้องให้ท่านโปรดออกไปทำหน้าที่ของตัวเองให้จบ ทุกอย่างที่พวกเราทุกคนเตรียมไว้มาอย่างเนิ่นนานมันต้องไม่สูญเปล่า หลังจบจากงานวันนี้แล้ว พวกข้าทั้งสองคนให้สัญญาด้วยชีวิต ว่าจะทำทุกวิถีทาง เพื่อตามหาตัวแม่นางฟ่งให้เจอจงได้"
จางเก่อจ้องหน้าและกล่าวกับแม่ทัพหนุ่มของเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เด็ดเดี่ยว และไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย และหวังในใจว่าแม่ทัพของเขาจะฉุกคิดได้ถึงภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงของพวกเขา
เข่อลั่วไม่รอช้า เขารีบกล่าวเสริมทัพขึ้นอย่างขึงขัง
"จางเก่อพูดถูก นายน้อยไปเข้าพิธีเถิด และโปรดเชื่อใจในตัวนายกองผู้ไม่เอาไหนจอมช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านายคนนี้ ข้ารับปากว่าจะตามหาคนรักของท่านให้เจอภายในวันนี้อย่างแน่นอน ข้าให้สัญญาด้วยเกียรติของชายชาติทหาร"
หลงอี้หลิงได้เห็นแววตาที่มั่นคงและจริงจังของนายกองคนสนิทของทั้งสอง ก็ทำให้เขาดึงสติกลับมาตั้งมั่นในเป้าหมายหลักของเหตุผลในการมีพิธีแต่งงานเกิดขึ้นในวันนี้ แม่ทัพหนุ่มกำหมัดทั้งสองข้างเอาไว้แน่น นัยน์ตาคมกริบมองไปทางด้านหน้า
"พวกเราไปกันเถอะ ไปทำหน้าที่ปกป้องความสงบสุขของบ้านเมือง และปกป้องบัลลังก์ของกษัตริย์ตามหน้าที่ของทหารกล้า"
กล่าวจบแม่ทัพหนุ่มก็เดินตรงไปยังประตูและเปิดมันออก พร้อมก้าวขาข้ามธรณีประตูออกไปจากห้องแต่งตัว สีหน้าเรียบนิ่งตึง ดูสงบเยือกเย็น แต่แววตากับซ่อนประกายเศร้าอยู่ลึก ๆ ในดวงตาคู่นั้น
นายกองทั้งสองขานรับอย่างหนักแน่นพร้อมเพรียงกัน และเดินตามหลังเจ้านายออกไปด้วยสีหน้าและท่าทางเดียวกัน
"ขอรับนายน้อย"
ห้องโถงใหญ่ภายในเรือนรับรองของจวนแม่ทัพ
ตอนนี้เพลาของฤกษ์งามยามดีก็ได้มาถึง ถงเสี่ยวเถาได้ประคองเจ้าสาวเดินตรงเข้ามาภายในห้องโถง โดยมีเจ้าบ่าวยืนรออยู่แล้ว และญาติทั้งสองฝั่งก็นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ประจำตำแหน่งเรียบร้อย
ญาติของทั้งสองฝั่ง รวมทั้งแขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติก็ได้เข้ามารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติและเหล่าขุนนางคนสำคัญได้นั่งลงตรงเก้าอี้ประจำตำแหน่งของบรรดาศักดิ์ของตนที่วางเรียงรายอยู่ขนาบสองข้าง โดยหยวนจูวเย่ได้นั่งเก้าอี้ ถัดจากเฉากงกง ซึ่งเขาเดินมาทางร่วมพิธีแต่งงานในฐานะตัวแทนองค์ฮ่องเต้ ตรงกันข้ามของพวกเขา คือซ่งเฉาเกา
ในขณะที่แม่สื่อของงานกำลังจะเริ่มกล่าวทำพิธี ผู้คุ้มครองของหยวนจูวเย่ก็ได้เดินเข้ามาหาเขาและกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของผู้เป็นนาย
ด้วยนิสัยและประสบการณ์นั่งอยู่ข้างกัน เฉากงกงจึงเป็นคนที่มีหูตากว้างไกล และสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่ไม่ค่อยชอบมาพากลของเก้าอี้ข้างกัน เขาจึงแอบเงี่ยหูฟังการสนทนาของคนทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร ทว่าสีหน้าของหยวนจูวเย่ดูเปลี่ยนไป เหมือนเขามีความกังวลในใจบางอย่างที่หลบซ่อนไว้อยู่ทางเบื้องหลังใบหน้าอันหล่อเหลารูปงามนั้น
หยวนจูวเย่รู้ตัวว่าตัวเองกับลูกน้อง กำลังได้รับความสนใจจากเฉากงกง แต่เขาเก็บสีหน้าท่าทางได้ดี และพลางหันไปโน้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงการทักทายและความเคารพต่อขันทีใหญ่
เฉากงกงเองก็เก็บอาการความสงสัยและอยากรู้นั้นได้เป็นอย่างดี เขายิ้มตอบรับกลับไปให้บุรุษรูปงามอย่างเป็นมิตร
จากนั้นคนทั้งคู่ก็เบนสายตาไปยังตรงกลางห้องทางด้านหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนเคียงข้างกันอยู่
และแล้วแม่สื่อก็ได้กล่าวเริ่มพิธีงานมงคลสมรสของหลงอี้หลิงและเยี่ยชิงเซียวก่อนที่จะเลยฤกษ์งามยามดีไป ท่ามกลางความปลื้มปีติยินดีของญาติและแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ยกเว้นญาติทางฝ่ายเจ้าบ่าว
พวกเขาไม่มีผู้ใดยินดีหรือดีใจกับงานมงคลในครั้งนี้ แต่ทุกคนก็ยังคงต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน
....
เซียงไค 盛開