เรือนสกุลหลง
ห้องโถงของเรือนรับรอง
นายหญิงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของเรือนสกุลหลงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางโถงของห้องซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ้าบ้าน โดยมีฟ่งหลันหลั่นและยายเมิ่งยืนประกบขนาบคนละข้าง
สีหน้าของสตรีทั้งสามดูสงบนิ่ง
"ข้าต้องขออภัยต่อท่านอ๋องและคุณหนู ทุกอย่างมันฉุกละหุกเกินไป สกุลหลงจึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับได้อย่างสมเกียรติ เพราะทางเรามิทราบมาก่อนว่าพวกท่านจะมาเยือนในวันนี้"
แม้หลงฮูหยินจะกล่าวต้อนรับแขกด้วยน้ำเสียงสุภาพ และวางสีหน้าเรียบเฉย แต่ถ้อยคำแฝงเป็นนัยเชิงตำหนิอีกฝ่าย
ฟ่งหลันหลั่นยืนมองสังเกตการณ์นิ่ง ๆ และคุมเชิงรอดูท่าทีของสอง พ่อลูก และนางเองก็คิดไม่ต่างจากฮูหยินเฒ่า
'เฮอะ! สองพ่อลูกคู่นี้ช่างนิสัยเหมือนกันเสียจริง ไร้มารยาทและถือดีว่าตัวเองมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ จะทำอะไรก็ไม่เคยคิดเกรงใจผู้ใด...เสด็จลุง ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะทำตัวเสียเกียรติต่อวงศ์ตระกูลได้ถึงขนาดนี้'
เยี่ยชิงเซียวได้ฟังเจ้าของเรือนกล่าวกับบิดาของตนเช่นนั้น นางก็แสดงท่าทีเดือดดาลไม่พอใจผ่านทางสีหน้าและแววตาออกมาทันที และจังหวะที่นางกำลังคิดจะโต้ตอบกลับไป ผู้เป็นบิดาก็ได้ชิงกล่าวขึ้นก่อน เพราะไม่อยากให้บุตรสาวของตนทำเสียเรื่อง
"ไม่เป็นไรแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ากับบุตรสาวต่างหากที่สมควรเป็นฝ่ายกล่าวขอโทษหลงฮูหยิน บังเอิญว่าพวกเราผ่านมาทางนี้ จึงถือวิสาสะแวะมาเยี่ยมเยียนท่าน โดยมิแจ้งล่วงหน้าให้ทราบ"
เยี่ยอ๋องรู้ดีว่าตนได้ถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิ เขาพยายามข่มความโกรธของตนไว้ ทว่าแววตาอันขุ่นเคืองไม่พอใจที่เผยออกมาก็ไม่อาจจะซ่อนเร้นปกปิดความจริงข้างในใจไว้ได้
หลงฮูหยินจงใจแสร้งคล้อยตามแขกผู้มาเยือน แม้ใจจริงจะรู้ว่าเขากำลังโกหกอยู่
"อืม...เป็นเช่นนี้นี่เอง"
นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อให้เวลาบ่าวรับใช้ได้นำน้ำชาและของว่างมารับรองแขก
เมื่อทุกอย่างถูกนำมาวางลงบนโต๊ะด้านข้างของทุกคนเรียบร้อย ผู้เป็นเจ้าของเรือนจึงได้กล่าวเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
"เดินทางมาเหนื่อย ๆ เชิญท่านอ๋องและคุณหนูจิบน้ำชาให้ชื่นใจก่อนเถิด" จากนั้นนางก็หันไปหยิบถ้วยชาของตน พร้อมกับยกขึ้นดื่มอย่างใจเย็น
เยี่ยอ๋องรู้ว่าควรรักษามารยาทเช่นไร เพราะแม้ว่าสกุลหลงเป็นเพียงสกุลใหญ่ทางด้านการทหาร ไม่มีเชื้อสายของกษัตริย์แต่ก็นับว่ามีเกียรติไม่น้อย เขาจึงหันไปหยิบถ้วยชาซึ่งวางอยู่ด้านข้าง และยกขึ้นดื่มเช่นกัน
ส่วนเยี่ยชิงเซียวกลับมองถ้วยชาและขนมหวานที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะด้านข้างลำตัวด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ สายตาดูหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด
ฟ่งหลันหลั่นเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาและทนดูเงียบเฉยต่อไปไม่ไหว
"ท่าทีของคุณหนูเยี่ย ดูเหมือนว่าจะกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่างนะ อย่าได้กังวล น้ำชาและขนมหวานพวกนั้นเป็นของชั้นดี ไม่ว่าจะเรื่องรสชาติและความสะอาด อีกอย่างสกุลหลงเราไม่ได้มีจิตใจต่ำทรามถึงขนาดแอบวางยาพิษลงไปในอาหารให้ผู้อื่นกินหรอก ท่านสบายใจได้"
สตรีน้อยกล่าวเสียงดังฟังชัด ถ้อยคำชัดเจนทุกคำพูด และในขณะที่เอ่ยออกมา ดวงหน้างามก็ได้จ้องมองไปยังเยี่ยอ๋องด้วยสายตาท้าทาย โดยไม่ได้ยำเกรงหรือหวาดกลัวต่ออำนาจของเขาเลยแม้แต่น้อย
หลงฮูหยินเข้าใจในความรู้สึกโกรธของฟ่งหลันหลั่นเป็นอย่างดี แต่นางจำเป็นต้องกล่าวปรามและดึงสติของสตรีน้อย ก่อนที่เยี่ยอ๋องจะโกรธเกรี้ยวและอาจจะสั่งลงโทษเจ้าตัวได้
"หลั่นเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาทต่อแขก"
สตรีน้อยหันไปผงกศีรษะให้กับฮูหยินเฒ่าเล็กน้อย เพื่อเป็นการขอโทษ และนางเองก็เข้าใจในเจตนานั้นของนายหญิงท่านนี้
ใช่แล้ว! นางไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น มิเช่นนั้นจะเสียการใหญ่ได้
"ขออภัยท่านอ๋องกับคุณหนูที่ข้าได้เสียมารยาทกล่าวล่วงเกินไป เพียงแต่ข้าน้อยเพิ่งถูกคนร้ายลอบวางยาพิษลงในอาหารเมื่อไม่นานมานี้ จนทำให้เกือบตายมาแล้ว จึงแอบผูกใจเจ็บอาฆาตแค้นต่อคนจิตใจต่ำทรามผู้นั้น หวังว่าท่านทั้งสองจะไม่ถือสาหาความ"
น้ำคำจากสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่มช่างกล่าวออกมาได้อย่างเชือดเฉือนใจคนฟังและคนที่กำลังคิดร้ายต่อนางยิ่งนัก
ด้านเยี่ยอ๋องยิ่งได้ฟังคำกล่าวของสตรีน้อย ผิวหนังที่เริ่มมีริ้วรอยแก่ชราของเขา ถึงกับรู้สึกชาไปทั่วใบหน้า
นี่เขากำลังถูกเด็กเมื่อวานซืนลูบคมอยู่สินะ
กระนั้นภายในใจของเยี่ยอ๋องก็ฉุกคิดตามคำพูดของนาง ถึงเรื่องการแอบวางยาพิษลงไปในอาหารที่อีกฝ่ายได้กล่าวถึง
'นี่เซียวเอ๋อร์แอบวางยาพิษลงในขนมหวานตามที่ข่าวลือเล่ามาจริง ๆ อย่างนั้นหรือนี่'
เยี่ยอ๋องนั่งกำหมัดข้างหนึ่งไว้แน่น โดยแอบไว้ภายใต้ชายแขนเสื้อของตัวเอง และไม่ให้ผู้ใดมองเห็น สายตาชำเลืองมองไปทางด้านข้างเล็กน้อย
เพลานี้ผู้เป็นบิดาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตนที่มีต่อบุตรสาวและสาวใช้ของนางเอาไว้
ก่อนหน้านี้คนสนิทของเขาก็ได้เคยบอกเรื่องข่าวลือนี้แล้ว แต่ตนเองกลับไม่ได้ใส่ใจและสอบถามหาความจริงจากคนทั้งสอง เพราะไม่คิดว่าพวกนางจะกระทำเยี่ยงนั้นได้
เยี่ยชิงเซียวร้อนตัวจนเผลอแสดงกิริยาไม่งามออกมา ด้วยการตวาดเสียงดังใส่สตรีน้อยกลับไป
"เจ้าอย่ามาใส่ความข้านะ ข้าไม่ได้หวาดระแวงอะไรอย่างที่เจ้ากล่าวมาเสียหน่อย ข้าเพียงแค่ไม่ได้รู้สึกหิวหรือกระหายอันใดก็เท่านั้น"
ด้านถงเสี่ยวเถาคิดจะห้ามปรามนายสาวของตน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ทั้งหมดในห้องนั้นต่างเห็นอากัปกิริยาเดือดดาล กินปูนร้อนท้องของ เยี่ยชิงเซียวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน จนผู้เป็นบิดาต้องรีบคิดหาวิธีเพื่อแก้ไขสถานการณ์และรักษาหน้าตาของตนอย่างเร่งด่วน
เขาหันไปมองบุตรสาว และกล่าวขึ้น
"ซิงเอ๋อร์ห้ามเสียมารยาทต่อหลงฮูหยิน เพราะอีกหน่อยเจ้าก็จะต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสกุลหลง หากเจ้าทำกิริยาไม่งามเยี่ยงนี้ ก็เท่ากับว่าพ่ออบรมสั่งสอนเจ้ามาไม่ดีพอ"
แม้น้ำเสียงของเยี่ยอ๋องจะฟังดูปกติราบเรียบ แต่แววตาที่เขาสื่อสารออกไปให้กับนาง ช่างสร้างความหวาดหวั่นให้อีกฝ่ายยิ่งนัก
เยี่ยอ๋องจำใจกล่าวตำหนิธิดาของตนต่อหน้าคนสกุลหลง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นมองว่าเขาเป็นคนไม่เที่ยงธรรม ทั้ง ๆ ที่ความจริงก็เป็นเช่นนั้นมานานแล้ว แถมเขาก็ยังไม่วายแอบวางแผนการปูทางให้นาง ด้วยการตอกย้ำกับคนเรือนนี้ว่า ยังไงการสายสัมพันธ์ระหว่างคนสองตระกูลก็จะต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
เสมือนหนึ่งเป็นการมัดมือชกต่ออีกฝ่ายโดยไม่ถามความสมัครใจ
ฟ่งหลันหลั่นได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจทันที สายตาของนางยังคงจ้องหน้าเยี่ยอ๋องตาเขม็ง ในหัวครุ่นคิด
'นี่เสด็จลุง คิดวางแผนดึงตัวหลงอี้หลิงไปเป็นพวก ด้วยการให้บุตรสาวของตน ตบแต่งเข้าสกุลหลงอย่างงั้นรึ ผ่านมาเป็นสิบปี ความโลภของท่านก็ยังมิเคยเปลี่ยนไปเลยสินะ! ว่าแต่ทำไมเราฟังแล้วถึงได้เจ็บปวดใจเยี่ยงนี้ แม่ทัพจอมเผด็จการผู้นั้นจะแต่งงานกับใคร ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราซะหน่อย แม้ว่าพวกเราจะมี...'
อีกฝ่ายเองก็รู้สึกได้ถึงจิตอาฆาตที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัว
ในขณะที่ฟ่งหลันหลั่นกับเยี่ยอ๋อง ต่างฝ่ายก็มองหน้าจ้องตากันและกัน ด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง
คนหนึ่งเต็มไปด้วยความแค้นฝังลึกที่อัดแน่นในอก พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ก็พยายามข่มใจเอาไว้
อีกคนกลับมองสตรีน้อยตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา นัยน์ตากลมโตใสบนดวงหน้างามช่างแสนจะคุ้นตา แววตาอาฆาตเคียดแค้นพานทำให้เขาอดนึกถึงคนผู้หนึ่งไม่ได้จริง ๆ
'ดวงหน้าและสายตาคู่นี้ดูคุ้นเคยนัก ช่างเหมือนแววตาคู่นั้นที่จับจ้องมองข้าในวาระสุดท้ายเสียจริง แต่คงเป็นไปไม่ได้ นางจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ในเมื่อคนผู้นั้นตายไปสิบกว่าปีแล้ว'
เยี่ยอ๋องจ้องมองสตรีน้อยอย่างครุ่นคิด แต่เขาก็ต้องหยุดไว้แค่นั้น เพราะสิ่งที่กำลังคิดอยู่ มันช่างเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย แต่ในขณะที่สายตาของเขามองผ่านไปยังหลงฮูหยิน แสงสะท้อนจ้าบางอย่างตรงผ้าคาดเอวของ สาวใช้แม่ทัพหนุ่ม ก็พุ่งเข้าใส่ตาของเขาเสี้ยวหนึ่งอย่างจังจนเขาต้องหยุดมอง
'ป้ายหยกมรกตนั่นมัน!'
อาการตกใจของเยี่ยอ๋องได้แสดงออกมาผ่านดวงตาที่หรี่ลงทั้งสองข้างอย่างครุ่นคิด สีหน้าซีดเผือด มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้ายังทันทีทันใด สองมือของเขาที่วางอยู่เหนือเข่ากำหมัดเอาไว้แน่น เขาทิ้งเอาหลังพิงเก้าอี้คล้ายหมดแรง จนบ่าวผู้ติดติดตามซึ่งอยู่ข้าง ๆ พลอยตกใจตามไปด้วย
กึก!
"นายท่าน!"
เยี่ยชิงเซียวเห็นเช่นนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ รีบเดินตรงเข้าไปหางบิดาของตนทันที
"ท่านพ่อ ท่านไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ" นางเอ่ยถามบิดาขึ้นอย่างกังวลและตกใจมาก เพราะไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน
"พ่อไม่เป็นไร สงสัยคงแค่รู้สึกเหนื่อยเกินไป"
เยี่ยอ๋องยกมือขึ้นและโบกไปมาเล็กน้อย เขาตั้งใจพูดโกหกต่อบุตรสาวและพยายามฝืนร่างกายพร้อมกับตั้งสติ ทว่าสายตายังคงจ้องมองสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงผ้าคาดเอวของฟ่งหลันหลั่นอย่างไม่วางตา
หลงฮูหยินเองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของสตรีน้อยข้างกายและเยี่ยอ๋องผู้นี้ แต่นางยังคงวางตัวนิ่งเฉยไม่กล่าวคำใดออกมา
ในขณะนั้นเอง บุคคลผู้เป็นตัวแปรสำคัญของสองตระกูลก็ได้เดินย่างเท้าก้าวเข้ามาในห้องโถง และกล่าวเสียงเข้มขึ้นอย่างจริงจัง
"เหตุใดข้าถึงมิทราบล่วงหน้ามาก่อนเลยว่า ท่านอ๋องกับคุณหนูเยี่ยจะแวะมาเยือนท่านย่าถึงเรือนในวันนี้ พวกท่านช่างสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราได้บ่อยครั้งเสียจริง"
ทุกสายตาต่างพากันหันไปมองคนผู้นั้นอย่างพร้อมเพรียง
เฮ้อ....หลงฮูหยินกับยายเมิ่งแอบถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก และในใจต่างก็คิดเหมือนกัน
'เขาช่างรู้งาน มาได้ทันเวลาพอดีเลย'
ส่วนฟ่งหลันหลั่นกลับรู้สึกไม่ยินดีสักเท่าไร ที่เห็นอีกฝ่ายมาปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้ ไม่รู้เป็นเพราะว่าเขามาขัดจังหวะที่นางกำลังจะหาเรื่องสองพ่อลูกคู่นี้ หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่
'ไหนว่าเดินทางเข้าวังหลวง แล้วเขามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง ฮึ! คงไม่ใช่ต้องการที่จะมาพบคู่หมั้นคู่หมายของตนหรอกนะ'
หลงอี้หลิงเกิดอาการเสียวสันหลังวาบเล็กน้อยและรู้สึกแปลกใจกับสายตาขุ่นเคืองไม่พอใจของสาวใช้ ที่กำลังจ้องตาเขม็งมองมาราวกับว่านางจะฉีกเนื้อเขาออกมากินเสียตรงนี้ให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนแยกจากกัน นางยังอารมณ์ดีใส่เขาอยู่เลย
แม่ทัพหนุ่มจึงแสร้งไม่สนใจในอารมณ์นั้นของนางและมองผ่านไปยังสองพ่อลูก
เพลานี้บรรยากาศในห้องโถงภายในเรือนรับรองของสกุลหลง ช่างชวนอึดอัด รู้สึกหายใจไม่ออกยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ประตูและหน้าต่างทุกบานก็เปิดโล่งโจ้งไว้รับลมออกจะปานนี้
สายตาของทุกคู่กำลังจับจ้องมองกันและกัน ทว่าความในใจกลับต่างกันสิ้นเชิง
ความรัก ความแค้น ความระแวดระวังตัว ความหยิ่งทระนง จองหอง
ความสงบเยือกเย็นเฉกเช่นน้ำนิ่งไหลลึก
และแผนการบางอย่างที่ต่างฝ่าย กำลังแอบซ่อนเร้นไว้ในใจของตน
เพื่อรอเวลาอันเหมาะสม
....