webnovel

1052

บทที่ 1052 : ไต้อ๋องสั่งข้าตระเวนเขา!

ที่สวนสนุก

ทางทิศใต้มีเวทีอยู่แห่งหนึ่ง ผู้คนพากันล้อมมุงมากขึ้นทุกขณะ

พิธีกรเป็นหญิงสาวรุ่นเยาว์ ไม่ได้สวยเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็นับว่าหน้าตาดี อีกทั้งน้ำเสียงก็ฟังดูราวกับเป็นผู้ประกาศมืออาชีพ จางเย่คลุกคลีอยู่ในสายอาชีพนี้ เมื่อเจอคนสายงานเดียวกัน ก็ย่อมสามารถหยั่งรู้ระดับของอีกฝ่าย หญิงสาวระบายรอยยิ้มสดใส ยกไมค์ขึ้นกล่าว “สวัสดีท่านผู้ปกครองทุกท่าน น้องๆ หนูๆ ทุกคนนะคะ ฉันคือพิธีกรจากผู้ประกาศรายการวิทยุสถานีกลางช่องเด็ก เอวี๋ยนเมิ่งค่ะ ทุกท่านจะเรียกฉันว่าเสี่ยวเอวี๋ยน หรือเสี่ยวเมิ่งก็ได้นะคะ”

ด้านล่างเวทีมีคนที่รู้จักเธออยู่

“หา? เอวี๋ยนเมิ่งเหรอ?”

“ช่องเด็กวิทยุสถานีกลาง?”

“ฉันรู้จักเธอ!”

“จริงด้วย ฉันฟังรายการของเธอกับลูกทุกวันเลย”

“นี่กิจกรรมอะไรน่ะ ทำไมมีวงดนตรีกับเครื่องดนตรีด้วยล่ะ

ผู้ชมต่างให้ความสนใจอย่างยิ่ง

เอวี๋ยนเมิ่งยิ้มบางๆ “เนื่องในโอกาสวันเด็กนานาชาติ เราเลยจัดรายการพิเศษขึ้น ซึ่งขณะนี้พวกเราจะทำการถ่ายทอดเสียงสดส่งสัญญาณตรงถึงสถานีวิทยุไปพร้อมกันนะคะ” จากนั้นก็หันมองนาฬิกา “อีกประมาณสิบห้านาทีจะเริ่มแล้ว ดังนั้นฉันจำต้องขอความร่วมมือจากทุกท่านสักครู่ สัปดาห์นี้กิจกรรมของพวกเราเป็นการประกวดร้องเพลงค่ะ จะให้เด็กๆ ขึ้นมาร้องเพลงบนเวที หรือจะมาทั้งครอบครัวก็ได้เช่นกัน พวกเราได้เชิญวงดนตรีอาชีพมาเพื่อเล่นดนตรีให้กับทุกท่าน และยังมีอาจารย์สอนร้องเพลงจากสถาบันดนตรีถึงสามท่านที่จะมาเป็นกรรมการผู้ให้คะแนน ทุกครอบครัวที่เข้าร่วมจะได้รับรางวัลสมนาคุณ รางวัลสำหรับสามอันดับแรกจะยิ่งเป็นของรางวัลชิ้นใหญ่ ทุกท่านอย่ารอช้าค่ะ ขอเชิญรีบเข้ามาลงทะเบียนกันได้เลยนะคะ”

ของรางวัลตั้งวางเรียงรายอยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว

กรรมการทั้งสามยกมือโบกทักทายทุกคน

“ประกวดร้องเพลงเหรอ?”

“มีรางวัลด้วย?”

“โห ถ่ายทอดเสียงสด?”

“เรื่องจริงรึเปล่าเนี่ย? ส่งสัญญาณสดไปวิทยุสถานีกลางช่องเด็กเหรอ?”

จางเย่กวาดมองทีมงานและอุปกรณ์ติดตั้งรอบๆ ก็รู้ว่าเป็นเครื่องมือส่งสัญญาณเสียงสดของจริง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยทำงานอยู่สถานีวิทยุมาก่อน จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากรายการวิทยุสถานีอย่างช่องเด็กคิดจะเชิญศิลปินระดับจางเย่ไปเป็นแขกรับเชิญ ยังต้องจ่ายค่าตัวออกงานให้เขาด้วยซ้ำ

เด็กหลายคนส่งเสียงร้องตื่นเต้น

“น้องหมีตัวเบ้อเริ่มเลย!”

“แม่จ๋า หนูอยากได้อันนี้ค่ะ!”

“พ่อๆ พวกเราไปประกวดกันเถอะ!”

“หนูก็อยากไป!”

“ดีๆๆ งั้นเราไปกัน!”

“พวกเรามาลงทะเบียนครับ!”

“พวกเราก็มาลงทะเบียนด้วยค่ะ!”

“จะได้ออกรายการวิทยุจริงๆ ใช่ไหม?”

“ร้องเพลงอะไรก็ได้ใช่รึเปล่า? งั้นฉันขอลงทะเบียนด้วยนะคะ!”

เหล่าผู้ปกครองและเด็กๆ ต่างกระตือรือร้นให้ความสนใจ

แต่จางเย่กลับไม่คิดสนเท่าไร อย่าว่าแต่ออกรายการสดทางวิทยุเลย ต่อให้เป็นการออกรายการสดทางทีวีเขาก็ผ่านมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

“ไปกันได้แล้ว” จางเย่บอกเฉินเฉิน

แต่เธอกลับไม่ขยับ

จางเย่หันกลับมา “ทำอะไรอยู่น่ะ?”

เฉินเฉินยกมือ ชี้ไปยังของรางวัลที่หนึ่ง “จางเย่ หนูอยากได้ไอ้นั่น”

จางเย่เซพรืด “เธอรู้ไหมว่าไอ้นั่นมันเรียกว่าอะไร?”

เฉินเฉินพยักหน้า “รู้ น้องหมียักษ์”

นั่นเป็นของรางวัลที่ไม่เลวเลย รางวัลที่หนึ่งคือของเล่นจากภาพยนตร์แอนิเมชันเด็กเรื่องหนึ่งของโลกใบนี้ นับว่าเป็นรางวัลชิ้นใหญ่ และดูเหมือนจะเป็นรุ่นลิมิเต็ดด้วย แม้มีเงินก็ไม่แน่ว่าจะหาซื้อได้

จางเย่งุนงง “ตอนนี้เธอไม่ชอบดูการ์ตูนแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินเฉินหันมองเด็กคนอื่นที่กำลังดึงแขนพ่อแม่ตัวเองอย่างเอาแต่ใจ มีหลายคนอยากได้น้องหมียักษ์รุ่นลิมิเต็ดตัวนั้น

เฉินเฉินกระตุกแขนจางเย่ทีหนึ่ง “จางเย่ หนูก็อยากได้เจ้านี่เหมือนกัน”

จางเย่ขำ “งอแงอะไรของเธอ เห็นคนอื่นอยากได้เธอก็เลยอยากได้ด้วยรึไง?”

เฉินเฉินผงกศีรษะ “ชนะให้ที!”

จางเย่มองเธอ “เธอร้องเพลงเป็นเหรอ?”

“เป็น”

“จริงน่ะ?”

“แต่ไม่เพราะ”

“นั่นเขาเรียกว่าไม่เป็น!”

“...อ้อ นายร้องเป็นไหม?”

“เฮอะ ฉันร้องเป็นไหม? ตลกน่า ฉันเนี่ยเหรอจะร้องไม่เป็น! แต่การประกวดนี่ไม่เห็นน่าสนใจเลย เธอรู้รึเปล่าว่าค่าตัวออกงานประกวดฉันเท่าไร? ร้องหนึ่งเพลง ไม่ให้ค่าตัวสักล้านสองล้านละก็อย่าฝัน แล้วฉันต้องไปทุ่มเพื่อหมีผุๆ ตัวหนึ่งเนี่ยนะ?

จางเย่ไม่ได้คุยโม้แต่อย่างใด ตอนนี้สถานะของเขาเป็นเช่นนี้จริงๆ

จางเย่ดึงเธอ “ไปได้แล้วน่า”

เฉินเฉินไม่ขยับ มองพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง

เด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าขวบคนหนึ่งกำลังงอแงเอาแต่ใจกับพ่อแม่ “ป่ะป๊า ม่ะม้า หนูจะเอาหมียักษ์! จะเอาหมียักษ์!”

พ่อยิ้มฝืด “แต่ป่ะป๊าม่ะม้าร้องเพลงไม่เพราะนี่คะ”

เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตาคลอเบ้า “หนูไม่สน หนูจะเอาหมียักษ์!”

พ่อกัดฟัน “ตกลงค่ะ ลูกสาวของป๊าขอมาทั้งที ไม่ไหวก็ต้องไหว ป๊าจะไปลงชื่อ!”

เด็กหญิงส่งเสียงร้องดีใจออกมา “เย้ ป่ะป๊าสุดยอดเลย!” แล้วก็จุ๊บแก้มผู้เป็นพ่อหนึ่งที

ฝ่ายแม่ใช้มือตีพ่อเด็ก แต่ปากกลับคลี่ยิ้ม “คุณอย่าขึ้นไปขายหน้าเลยน่า”

ผู้เป็นพ่อตบอกตัวเอง “เพื่อลูกสาวของผม จะขายหน้าก็ยอม!”

เฉินเฉินได้แต่จ้องมองพวกเขาตาไม่กะพริบ

เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นรู้สึกถึงสายตาของเฉินเฉิน จึงหันมองมาอย่างแปลกใจ “พี่สาว พี่ก็อยากได้หมียักษ์เหรอ? งั้นพี่ก็ให้ป่ะป๊าของพี่ไปแข่งสิคะ” เธอชี้จางเย่

เฉินเฉินกล่าว “ฉันไม่มีป่ะป๊า”

เด็กหญิงร้องเอ๋ “ทุกคนต้องมีป่ะป๊าสิ”

เฉินเฉินได้แต่มองเธอ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก “ฉันไม่มี”

เมื่อพ่อแม่คู่นั้นได้ยินเข้าก็รีบวางร่างลูกสาวลง แล้วหันมากล่าวกับชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดข้างกายเฉินเฉิน “ขอโทษด้วยนะครับคุณ คำพูดเด็กไม่รู้ประสา ต้องขอโทษด้วยจริงๆ!”

จางเย่ยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”

ผู้เป็นแม่หลุดปากถาม “แล้วพ่อแม่ของเด็กคนนี้ละคะ?”

จางเย่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกระซิบ “เสียแล้วทั้งคู่ครับ”

เธออุทาน “ปากฉันนี่นะ ขอโทษด้วยค่ะ!”

เฉินเฉินยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร

จางเย่ก้มมองดวงตาเธอ เมื่อนึกถึงสภาพจิตใจของเด็กน้อยคนนี้ ก็พลันรู้สึกขมปร่าคล้ายมีบางสิ่งเสียดแทงในใจ เขาจึงย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วกล่าวกับเฉินเฉิน “เจ้าหมียักษ์นั่น เธออยากได้จริงเหรอ?”

เฉินเฉินพยักหน้า “อืม”

จางเย่ดีดนิ้วเปาะ “ตกลง” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน “งั้นวันนี้ฉันจะทุ่มสุดตัว จะชนะและเอาหมียักษ์ตัวนั้นมาให้เธอให้ได้!”

ในเวลาพริบตา เขาก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นฮึกเหิม!

ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน จางเย่สองเท้าก้าวเดินไปลงชื่ออย่างมั่นคง!

ไม่กี่นาทีให้หลัง

การถ่ายทอดสัญญาณเสียงสดก็เริ่มต้นขึ้น

เอวี๋ยนเมิ่งยืนอยู่บนเวที กล่าวอย่างสดใส “สวัสดีค่ะทุกท่าน นี่คือรายการวิทยุสถานีกลางช่องเด็ก ฉันคือพิธีกรเอวี๋ยนเมิ่ง ขณะนี้ฉันอยู่ที่สวนสนุกนครหลวง ที่นี่กำลังจะมีการประกวดร้องเพลงในอีกไม่กี่นาทีนี้ค่ะ ตอนนี้จำนวนผู้ทะเบียนมีกันถึงสิบสามทีมแล้ว ทางเราจะขอ…”

ในขณะนั้น ทางสถานีวิทยุก็เริ่มส่งสัญญาณกระจายเสียงไปพร้อมกัน

……

ที่บ้านของจางเย่

พ่อกำลังทำความสะอาดห้อง แล้วบังเอิญไปเจอวิทยุเก่าเครื่องหนึ่ง

เขาถาม “ที่บ้านมีถ่านกระดุมไหม? เบอร์ห้า”

แม่ส่งเสียงจิ๊ “จะเอาไปทำไม?”

พ่อ “จะดูว่าเสียหรือยัง ถ้าเสียจะได้ทิ้ง”

เมื่อใส่ถ่านเสร็จเรียบร้อย ก็ลองหมุนหาคลื่นดู

พ่อ “ยังใช้ได้จริงด้วย”

แม่พูดขึ้น “เดี๋ยวก่อน สถานีเมื่อกี้ ช่องเด็กของวิทยุสถานีกลางใช่รึเปล่า? กระจายเสียงสดจากสวนสนุกเหรอ? เย่น้อยก็พาเฉินเฉินไปที่นั่นนี่? มีประกวดร้องเพลงงั้นเหรอ?”

พ่อเร่งเสียง “ฟังหน่อยซิ! เธอว่าเย่น้อยกับเฉินเฉินจะไปประกวดไหม?”

แม่เบ้ปาก “ลูกเราเสียงแย่อย่างนั้น ร้องเพลงได้ที่ไหนเล่า”

……

บนเวที

ครอบครัวแรกก้าวขึ้นมาบนเวทีแล้ว

“กระต่ายน้อยเด็กดี”

“เปิดประตูทีสิจ๊ะ”

“ไม่เปิดๆ หนูไม่เปิด”

นี่คือเพลงเด็กในนิทานเรื่องหนึ่งที่จางเย่เคยเผยแพร่สมัยยังอยู่สถานีวิทยุ ในตอนนั้นมีเสียงตอบรับดีมาก คนมากมายต่างร้องเป็นกันหมด

ครอบครัวนี้ร้องได้ธรรมดา แต่ก็ได้รับเสียงปรบมือเชียร์ดังสนั่น!

ครูดนตรีจากสถาบันสอนดนตรีทั้งสามคนนั้นก็ยิ้มให้ พลางปรบมือ

จากนั้นก็เป็นทีมที่สอง

ทีมที่สาม

พ่อของเด็กผู้หญิงที่พูดคุยกับเฉินเฉินเมื่อสักครู่ได้ขึ้นไปเป็นทีมที่เจ็ด พออยู่บนเวที เขาก็แสดงอาการประหม่าอย่างหนัก มือที่ถือไมค์สั่นเทิ้ม ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการถ่ายทอดสดทางวิทยุ คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เมื่อขึ้นเวทีแทบทุกทีมจึงต่างมีอาการแบบนี้คล้ายๆ กัน

เด็กหญิงตะโกน “ป่ะป๊าสู้ๆ! ป่ะป๊าสู้ๆ!”

ยิ่งได้ยินเสียงของลูกสาว ผู้เป็นพ่อกลับยิ่งตัวเกร็งแข็งทื่อ จับไมค์ร้องเพลงเด็ก ประสานไปกับวงดนตรี

ร้องได้...แย่มาก

เรียกได้ว่าเพี้ยนแหลก

แต่เด็กหญิงกลับปรบมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ตะโกนบอก “ป่ะป๊าเก่งจังเลย!” ดึงมือแม่ “ม่ะม้าคะ ป่ะป๊าเก่งจังเลยค่ะ!”

แม่ของเธอยิ้ม “ใช่แล้วจ้ะ ป่ะป๊าของหนูเก่งที่สุดเลย”

เฉินเฉินมองดูเด็กผู้หญิงคนนั้นกับพ่อแม่ของเธออย่างเงียบงัน

จางเย่ทนมองภาพนี้ไม่ไหว เขาจงใจเคาะศีรษะเฉินเฉินทีหนึ่ง “ตาฉันแล้ว ฮ่าๆ ดูให้ดีนะ”

เฉินเฉินมองเขา “นายจะไหวเหรอ?”

จางเย่ยิ้มกว้าง “คอยดูให้ดีก็แล้วกันน่ะคุณหนู”

เอวี๋ยนเมิ่งมองลงมาด้านล่างเวที “ขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทีมที่แปดบนเวทีค่ะ”

จางเย่จูงเฉินเฉินไปตรงตำแหน่งใกล้เวทีที่สุด ปล่อยมือเธอแล้วกระโดดขึ้นเวทีไปด้วยเสียงหัวเราะร่า พอทุกคนเห็นเครื่องแต่งกายของเขาก็เป็นต้องตาค้าง ในวันที่แดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้ยังจะมีคนบ้าใส่ทั้งแว่นดำทั้งผ้าปิดปากอีก?

เอวี๋ยนเมิ่งเองก็มองเขาอยากแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน เธอยื่นไมค์ส่งให้

นักดนตรีคนหนึ่งถาม “คุณจะร้องเพลงอะไรครับ?”

จางเย่ดึงผ้าปิดปากลง “ขอเคาะจังหวะให้ผมก็พอแล้วครับ” เขาเข้าไปคุยกับคนเหล่านั้น อธิบายสิ่งที่ตนต้องการอยู่ครู่หนึ่ง

นักดนตรีเหล่านั้นความจริงก็ไม่ได้เป็นมืออาชีพมากนัก พอฟังแล้วก็ยังมึนงงเล็กน้อย

หมายความว่ายังไงกัน?

นายจะร้องเพลงที่แต่งเองเหรอ?

นายเป็นใครกันเนี่ย?

เฉินเฉินแหงนหน้ามองจางเย่บนเวที

ด้านข้าง มือเล็กๆ ข้างหนึ่งกระตุกเธอ “นั่นป่ะป๊าพี่รึเปล่า?”

เฉินเฉินหันมา พบว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนเดิม เธอกล่าว “ไม่ใช่”

ด้านล่าง มีคนจ้องมองชายหนุ่มแว่นดำแล้วรู้สึกฉุกใจ

“เอ๊ะ?”

“มีอะไรเหรอ?”

“คนคนนี้ดูคุ้นๆ จัง!”

“อ๊ะ จริงด้วย!”

ในที่สุด ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว

จางเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ย้อนนึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ร้องเพลงไม่เป็นแวบหนึ่ง เขากระแอมคอให้โล่ง จงใจดัดโทนเสียงให้ต่างไปจากโจ๊กเกอร์ ระหว่างนั้น เมื่อสบตากับเฉินเฉิน ในใจเขาก็ปวดแปลบขึ้นมา เฉินเฉิน อย่าเสียใจไปเลยนะ ถึงพ่อกับแม่ของเธอจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีป้าใหญ่ของเธอไม่ใช่เหรอ? แล้วก็ยังมีฉันอยู่อีกทั้งคนไม่ใช่หรือไง? ถึงฉันจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเธอ แล้วก็ไม่รู้ ทั้งไม่เข้าใจว่าการเป็นพ่อคนมันเป็นยังไง แต่ฉันคนนี้ขอรับรองกับเธอเลยว่า ไม่ว่าเมื่อไรยามใดก็ตามที่เธอต้องการ ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ!

เชื่อฉันสิ!

ฉันจะอยู่ข้างกายเธอแน่นอน!

เพราะงั้น ร่าเริงเถอะ!

เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น!

เป็นเสียงเคาะจังหวะแบบเพลงพื้นบ้าน!

จางเย่ยกไมโครโฟน ทันทีที่เขาเปล่งเสียงร้อง ทุกคนก็ต้องตกตะลึง

“ตะวันต้องส่องแยงเข้าตา” [1]

“นกน้อยร้องเพลงมาให้ฟัง ข้าคือหนึ่งคนผู้สุดขยัน ไม่ใฝ่ฝันตามติดหญิงกากี!” เขาชี้นิ้วยังหน้าอกของตน

ทุกคนล้วนอึ้งงัน

เพลงอะไร?

นี่มันเพลงอะไรกัน?

เพลงแต่งใหม่? นายแต่งเองเหรอ?

พิธีกรเอวี๋ยนเมิ่งเองก็อ้าปากค้างไปเช่นกัน!

จางเย่ก้าวมาตรงหน้าเวที เอื้อมมือไปหยิบดอกไม้ดอกหนึ่งในกระเช้า

“ไม่ต้องถามข้ามาจากไหน”

“ไม่ต้องถามว่าข้าจะไปที่ใด”

“ข้าจะเด็ดดอกไม้แสนงาม”

“นำมาให้แด่องค์หญิงน้อย!”

เขาก้มลงทัดดอกไม้ประดับไว้บนศีรษะของเฉินเฉิน ก่อนจะออกแรงดึงเธอขึ้นมาบนเวที แล้วต่อด้วยงอฝ่ามือช้อนตัวเธอ ใช้เรี่ยวแรงที่ทำให้คนต้องตกใจอุ้มเฉินเฉินขึ้นมานั่งบนไหล่ซ้ายด้วยมือข้างเดียว

เฉินเฉินตัวแข็งค้าง!

จางเย่หัวเราะ พลางร้องด้วยเสียงสูง

“ไอ้หยา เกือบลืมไปเลย!”

“ไต้อ๋องสั่งข้าเดินยามดอย”

“จึงคอยท่องทั่วแดนมนุษย์”

“ตีกลองให้มันก้อง”

“เคาะฆ้องให้ดังทั่ว”

“ชีวิตกลั้วไปด้วยทำนอง”

“ไต้อ๋องสั่งข้าเดินยามดอย”

“จับสอยถังซัมจั๋งมาทำอาหาร”

“น้ำในธารเขานี้ หวานล้ำเกินใคร ไม่ต้องไปอิจฉาคู่รักเทพเซียน! ”

ทันใดนั้น ทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงร้องเชียร์!

พวกเด็กเล็กๆ ต่างพากันตื่นเต้นสนุกสนาน!

พวกผู้ปกครองเองก็ฟังอย่างเมามัน!

สนุกชะมัดเลย!

เพลงนี้สนุกเป็นบ้า!

กรรมการทั้งสามต่างนิ่งทึ่ง!

นักดนตรีทั้งวงก็อึ้งไป!

เชี่ย นี่มันประกวดเพลงสำหรับงานวันเด็กเองนะ เพลงอะไรของคุณเนี่ย? มารดาคุณเถอะ แต่งเพลงได้มืออาชีพเกินไปไหม?

……

ที่บ้าน

แม่สะดุ้ง “เอ๊ะๆๆ เสียงนี้มัน?”

พ่อตกใจ “ลูกเราเหรอ?”

แม่ร้อง “เขาพาเฉินเฉินไปประกวดจริงเหรอเนี่ย?”

……

ค่ายเพลงแห่งหนึ่ง

ผู้จัดการแผนกหนึ่งเปิดวิทยุฟังเล่นๆ ในออฟฟิศ ฉับพลัน เพลงนี้ก็โผล่ขึ้นมา ทำให้เขาและผู้ช่วยผู้จัดการอีกคนต่างพากันตะลึง!

“เพลงนี้?”

“นี่ใครน่ะ?”

“ร้องก็งั้นๆ แต่เพลงนี้มัน…”

“เธอเคยฟังรึเปล่า? นี่คือเพลงอะไร?”

“ไม่เคยได้ยินเลยครับ เพลงแต่งใหม่งั้นเหรอ?”

……

บนเวที

จางเย่ยื่นไมค์จ่อที่ปากของเฉินเฉิน เขารู้ดีว่าเฉินเฉินนั้นเฉลียวฉลาด

เฉินเฉินมองเขา อ้าปากร้องอย่างเกร็งๆ “ตะวันต้องส่องแยงเข้าตา นกน้อยร้องเพลงมาให้ฟัง”

จางเย่หัวเราะเสียงดังแล้วร้องท่อนต่อไป “ข้าคือหนึ่งคนผู้สุดขยัน ไม่ยึดมั่นมัวเมาหญิงกากี!”

“ไม่ต้องถามข้ามาจากไหน”

“ไม่ต้องถามว่าข้าจะไปที่ใด”

“ข้าจะเด็ดดอกไม้แสนงาม”

“นำมาให้แด่องค์หญิงน้อย!”

ขณะร้อง จางเย่ก็ยื่นมือไปเด็ดดอกไม้มาอีกหนึ่งดอก บิดก้านแล้วเสียบไว้บนศีรษะของเฉินเฉิน!

เฉินเฉินพลันหัวเราะออกมา

เป็นเสียงหัวเราะอันเบิกบานใจและแสนสนุกสนาน

จางเย่เพิ่งเคยเห็นเธอหัวเราะแบบนี้เป็นครั้งแรก...เป็นครั้งแรกจริงๆ!

พอชายหนุ่มเห็นดังนั้น ก็ยิ่งเปล่งเสียงร้องอย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้น เขาเริ่มขยับตัวเต้นไปมา โยกศีรษะอย่างสุขใจซึ่งแลดูแล้วชวนให้ตลกขบขัน

แต่ทั้งที่ท่าทางนั้นน่าขบขันมาก ทว่าพ่อแม่และลูกสาวครอบครัวที่ได้คุยกับคนทั้งสองเมื่อครู่กลับหัวเราะไม่ออก เพราะพวกเขาทราบว่าชายผู้สวมแว่นดำคนนั้นไม่ใช่พ่อของเด็กหญิง และยังทราบอีกว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว แล้วในชั่วขณะนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ นัยน์ตาพวกเขาก็แดงรื้น พวกเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังน้ำตาไหล!

รู้สึกซาบซึ้ง!

ยิ่งกว่านั้นคือความชื่นชม!

จางเย่เขย่าเฉินเฉินที่อยู่บนหัวไหล่ หัวเราะไปพลางเปล่งคำร้อง

“ไต้อ๋องสั่งข้าตระเวนเขา”

“จึงเข้าท่องทั่วแดนมนุษย์”

แล้วเฉินเฉินก็ร้องขึ้นมาพร้อมกัน

“ตีกลองให้มันก้อง”

“เคาะฆ้องให้ดังทั่ว”

“ชีวิตกลั้วไปด้วยจังหวะเพลง”

“ไต้อ๋องสั่งข้าตระเวนเขา”

“จับเอาถังซัมจั๋งมาทำอาหาร”

“น้ำในธารเขานี้ หวานล้ำเกินใคร ไม่ต้องไปอิจฉาคู่รักเทพเซียน!”

เสียงปรบมือระเบิดออก!

เสียงร้องเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ!

นี่ไม่ใช่เพลงสำหรับเด็ก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพลงง่ายๆ ที่ไว้ร้องให้เด็กฟังแน่นอน เนื้อเพลงนี้แฝงไว้ด้วยความรักอันไร้ข้อแม้ของคนสองคนที่รักกัน ไม่ว่ารักนั้นจะเป็นในรูปแบบคนรัก บิดามารดา มิตรสหาย หรือรูปแบบใดก็ตาม ความลึกล้ำของบทเพลงนั้น ทำให้แม้กระทั่งพวกผู้ใหญ่ยังรู้สึกสะท้านสะเทือน!

==========

[1]《大王叫我来巡山》ไต้อ๋องสั่งข้าลาดตระเวนเขา เป็นเพลงที่ปรากฏในภาพยนตร์ล้อเลียนเรื่องไซอิ๋ว ปี2015 ซึ่งมีไมค์ พิรัชต์ นักแสดงชาวไทยรับบทเป็นตือโป๊ยก่าย บทเพลงนี้ต้นฉบับเนื้อร้องและทำนองโดยจ้าวอิงจวิ้น มีจังหวะสนุกสนาน จึงเป็นที่นิยมนำไปแปลงเนื้อเป็นเพลงตลกขำขัน

Next chapter