"เกิดเรื่องใดที่บ้านเกิดเจ้าหรือ?" ท่านขุนลูบปลายคางแล้วเอ่ยต่อ "อย่างไรกัน จงว่ามาเถิด"
"...เรื่องหมองเศร้านั้นเล่าแล้วเกรงจะทำชาเสียรสชาติ ขออภัยท่านขุนผู้อาวุโสด้วยขอรับ"
"เจ้ามาบอกข่าวภายนอกให้ข้าซึ่งอยู่แต่ในเรือนได้เปิดโลกทัศน์ จะเป็นข่าวเสียรสชาติได้อย่างไร" ขุนทหารวัยเกษียณส่ายมือไม่ถือสา ดื่มชาไปพลางมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
"...ที่บ้านเกิดข้าน้อย การเดินทางท่องโพ้นทะเลกลายเป็นเรื่องต้องห้าม ต้าหมิงห้ามไม่ให้พวกเราค้าขายกับชาวต่างชาติ ห้ามพบฝะรังคี ชาวประมงชายทะเลก็ห้ามออกทะเลออกห่างชายฝั่ง ราษฎรเดือดร้อนมากมาย ผู้คนอดอยาก ข้าเองเวลานั้นก็ได้รู้จักกับสหายผู้หนึ่งที่ต้าหมิง ผู้คนต่างเรียกขานเขาเป็นราชาแห่งท้องทะเล การค้าเสรีและการติดต่อเป็นเรื่องที่สมควร จึงชักชวนผู้คนมากมายที่เห็นด้วยกับเขาออกสู่ทะเล มาบัดนี้เขามีเรื่องกับทางการจนสิ้นท่าถูกจับ โทษทัณฑ์ที่ได้คือประหารขอรับ ...สหายผู้นี้สะสมบารมีจนเป็นคนใหญ่คนโต เดิมมีความประนีประนอมเพื่อให้เว้นโทษเขา แต่เพราะสถานการณ์การเมืองในราชสำนักเปลี่ยนไปลงท้ายจึงหัวขาด... ความตายของเขาจะเป็นชนวนทำให้การค้าต้าหมิงวุ่นวายขอรับท่านขุน อีกไม่นานท้องทะเลจะปั่นป่วนวุ่นวายหนักข้อมากขึ้นเป็นแน่"
"เวราหนอ เวรา" ขุนนางผู้เฒ่าได้ฟังก็พึมพำบทสวดแผ่เมตตาเบาๆ สีหน้าครุ่นคิด "เช่นนั้นการค้ากับต้าหมิงต้องระวังให้จงหนักแล้วซี ข่าวนี้เป็นประโยชน์นัก ขอบน้ำใจเจ้าหนา หลินต้าว"
"ต้าหมิงวุ่นวาย แต่สองแควรุ่งเรือง ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนานำข่าวร้าย มาแจ้งท่านขุนทราบในห้วงเวลาอันเป็นมงคลวิเศษเช่นนี้เลย ขอท่านขุนโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย"
"ไม่เป็นไรหรอก ข่าวสารของเจ้าเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง อีกประการเจ้าก็ช่างมาถูกวัน... วันนี้วันดียิ่งนัก ยินเสียงบรรเลงมโหรีหรือไม่ บัดนี้พระโอรสองค์ใหม่ของสองแควประสูติกาลแล้ว ย่อมเป็นเรื่องมงคลหาที่สุดมิได้"
"...ยินว่านานแล้วซิขอรับ กับข่าวดีเช่นนี้ในเมืองสองแคว"
"ใช่ นับแต่พระองค์ดำก็ผ่านมาห้าขวบปีมาแล้ว" ชายชราดื่มชาแล้วพูดต่อ "ถ้าลูกข้ามีหลานอีกคน คงจะให้ไปเป็นพระพี่เลี้ยงเป็นพระสหายอีกเช่นเดียวกัน"
"บ้านท่านเป็นขุนนางน้ำดี ไม่แปลกใจที่ลูกหลานจะจำเริญในหน้าที่การงาน หลินต้าวขอดื่มให้ท่านขอรับ"
ทั้งสองหัวเราะพูดคุยสารทุกข์ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าของเด็กชายมัดจุกวัยเยาว์ก็ตรงหรี่มาทางพวกเขา