webnovel

บทที่ 6 ค้นหา

"ผมจะรอคำตอบจากคุณ"

มิราวดีเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ชั่วครู่ พอรู้สึกตัวก็รีบขยับตัวถอย

ห่างทันที "เอ่อ ฉันขอตัวก่อนนะคะ"

เมื่อพูดจบหญิงสาวก็รีบเดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างรวดเร็ว

รชตมองคนตัวเล็กเดินจากไปจนลับสายตา จึงเดินออกจากห้องรับแขกขึ้นมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ ไม่นานนักอาโปก็เดินเข้ามา

"ปล่อยโอกาสแบบนี้ไปจะดีเหรอ ฉันเองก็ไม่อยากใช้พลังเยอะนะ รู้ไหมว่าฉันต้องอ่านความทรงจำของเธอ และสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้หล่อนขับมาทางนี้ได้ลำบากแค่ไหน..." อาโปเดินเข้ามาพลางบ่น พลังของเทพก็มีขีดจำกัดในการรับรู้เรื่องราว เพราะฉะนั้นถึงรับรู้เพียงเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ว่าหญิงสาวต้องการย้ายที่ใหม่อย่างเร่งด่วนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ไม่อาจรับรู้ได้

เจ้าไก่สีขาวกระโดดขึ้นนั่งประจำที่เก้าอี้เล็ก

"วันนี้อาหารว่างไม่ได้เรื่องเลยนะ"

"ถ้าเรื่องมากก็ไปทำกินเองสิ" รชตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่...

"หน็อย !" อาโปมองด้วยแววตาขุ่นเคือง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อยปีนิสัยและวาจาก็ยังคงไม่เปลี่ยน เฮ้อ...แต่ก็นะ "แล้วจะทำอย่างไรต่อไป"

ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ยังไงเธอก็ต้องกลับมา"

อาโปหันมองแววตามั่นใจและรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรชต

ครั้นพอเห็นสัญลักษณ์ที่หลังมือแล้วก็เข้าใจทันที

'ให้ตายสิ แต่ก็...ยังดีที่ตามหาเจอสักที'

ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไรเยอะ อาโปเดินออกจากห้องหนังสือมา ครั้นประตูปิดลงก็หันกลับไปมองแล้วถอนหายใจ แทนที่จะรั้งเธอไว้หากว่าอีกฝ่ายเจอเรื่องร้ายแล้วดันถึงคาดไปซะก่อนคงไม่ต้องรอไปอีกร้อยปีหรือยังไงกัน

ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังหาที่พักใหม่ที่ถูกใจไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นมิราวดีจึงหาโรงแรมเพื่อเข้าพักชั่วคราวสำหรับคืนนี้ก่อน สองเท้าก้าวเข้ามาให้ห้องนั่งลงที่ปลายเตียงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า พลางนึกถึงหน้าและรอยยิ้มของแฟนหนุ่ม มันเจ็บมากกว่าการถูกบอกเลิกอีก นี่ไม่มีการบอกเลิกแต่ก็ทำเหมือนว่าไม่ได้รักเธอ

เขาไม่เป็นห่วงความรู้สึกของเธอด้วยซ้ำไป ไม่เลยสักนิด จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาที่พึ่งได้ที่ไหนอีก หากว่ายังมีคนในครอบครัวให้กลับไปละก็ บางทีอาจจะไม่ต้องดิ้นรนหนีเพียงลำพัง เวลาแบบนี้แม้แต่จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตาสักหยด เธออึ้งและเจ็บปวดจนทำอะไรไม่ถูก

เหนื่อยเหลือเกิน

มิราวดีไม่กล้าที่จะนำเรื่องนี้ไปแจ้งความ เพราะไม่มีหลักฐานมากพอและคิดว่าคงทำอะไรพวกมันไม่ได้ มันไม่ต่างจากมาเฟียที่ทำเรื่องใต้ดินสกปรกและมีเงินมากพอที่จะซื้อคนเพื่อปกปิดเรื่องชั่ว ๆ

พอยิ่งมีเวลาคิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น นอกจากจะต้อง ตัดพ้อการกระทำของแฟนแล้วยังต้องมาหนีตายอีก ทำไมเขาถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้

ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นการแสดงงั้นเหรอ

มิราวดีหัวเราะสมเพชให้กับตัวเอง มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมา เธอรู้สึกเจ็บใจ โกรธ อยากจะฆ่าเขาให้ตายมากกว่าเสียใจซะอีก

ทำไมถึงไปรักคนแบบนั้นได้ตั้งหลายปี...

เสียงเพลงในผับและหญิงสาวหน้าตาดีกำลังเต้นยั่วยวน หลายวันมานี้ณัฏฐ์เปลี่ยวเหงาใจอยากจะหาเพื่อนคุยด้วยสักคน จึงออกมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอก กระทั่งหันไปเห็นเป้าหมายที่กำลังเดินเข้ามา นัยน์ตาจับจ้องร่างอรชรในชุดเดรสสีดำ

เขาเฝ้ารอจังหวะที่เธอนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์จึงถือโอกาสย้ายที่ไปนั่งข้าง ๆ

"ขอเหมือนเธอหนึ่งที่ด้วยครับ" เขาสั่งและยิ้มโปรยเสน่ห์ให้

"ผมขอนั่งเป็นเพื่อนด้วยได้ไหมครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนฟัง

อรวรรยาหันมายิ้มหวานให้ พลางส่งสายตาสำรวจชายหนุ่มหน้าตาดี

"ก็...เอาสิคะ"

"ผมชื่อณัฏฐ์นะครับ แล้วคุณชื่อ..."

"อิงอรค่ะ เรียกฉันว่าอิงก็ได้ค่ะ" หญิงสาวยิ้มสวยยั่วชายหนุ่ม สายตาบ่งบอกถึงความพอใจทางหน้าตาของเขาเป็นอย่างมาก "คุณมาคนเดียวเหรอคะ"

"ใช่ครับ" ณัฏฐ์ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นดื่ม พลางเหลือบสายตามองสัดส่วนของหญิงสาวตรงหน้า "เออ...แล้วคุณมาคนเดียวเหรอครับ"

"ค่ะ ฉันแค่อยากมานั่งเฉย ๆ แก้เบื่อน่ะค่ะ" อรวรรยาตอบก่อนขยับตัวโน้มเข้าไปใกล้ชายหนุ่มกระซิบเสียงหวานว่า "คุณอยากจะมาเป็นเพื่อนแก้เหงาของฉันไหมล่ะคะ"

ณัฏฐ์ยิ้มอย่างไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของอีกฝ่าย

"ถ้างั้นเราไปเปลี่ยนบรรยากาศที่อื่นดีไหมคะ" หญิงสาวเชิญชวนอย่างไม่อาย ส่งสายตายั่วชายหนุ่มที่ตอบรับท่าทีของเธอ

"ได้สิครับ"

ณัฏฐ์ลุกขึ้นเดินโอบอรวรรยาออกไป โดยที่ไม่ปฏิเสธคำชวนแสนหวานแต่อย่างใด ในเวลานี้จิตใต้สำนึก ความคิดถูกครอบงำไปเรียบร้อย พลันนึกถึงเรื่องของมิราวดีก็ไม่ได้ย้ำเตือนความรู้สึกผิด ซ้ำยังคิดอีกว่าแฟนเขาไม่ว่างจะมารับรู้เรื่องนี้ได้อยู่แล้ว

อรวรรยาเดินควงชายหนุ่มออกมาจนถึงหน้าประตู ก่อนส่งสัญญาณ

มือให้คนติดตามถอยออกห่าง เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว

ส่วนณัฏฐ์ก็ไม่ได้สังเกตเพราะเอาแต่จ้องหน้าอกอวบอิ่มของหญิงสาวไม่วางตา กระทั่งทั้งสองคนเดินออกมายังลานจอดรถก็มีผู้ชายสองคนใส่ชุด สีดำเดินเข้ามาดักข้างหน้า

"พวกแกเป็นใคร" เสียงแหลมของหญิงสาวเอ่ยขึ้นไม่พอใจ

"เฮ้ย จับตัวมันไป" คนที่อยู่ทางด้านหลังเดินเข้ามา ณัฏฐ์จำหน้า คนนี้ได้ว่าเป็นคนของเฮียโชคชัย

"เดี๋ยวก่อน !" อรวรรยาเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตามอง "พวกแกถอยออกไปถ้าไม่อยากเจอดี"

ณัฏฐ์มองหญิงสาวข้างตัวก็รีบเดินเข้ามาโอบและพูดเสียงหวาน

"คุณอิงใจเย็น ๆ นะ"

คนตัวใหญ่ไม่ได้สนใจผู้หญิงกลับใช้กำลังลากณัฏฐ์ออกมา อรวรรยารู้สึกหงุดหงิดที่ผู้ชายคนนี้กำลังจะถูกแย่งไปจึงลงสัญญาณเรียกคนติดตามที่ยืนห่างออกไปเข้ามาจัดการซ้อมคนทั้งสามทันที

แน่นอนว่าสามคนไม่สามารถสู้คนติดตามที่มีเกือบสิบคนได้ คนหนึ่งหมอบลงกับพื้น อีกสองคนถูกบังคับให้ยืนขึ้นและซ้อมจนใบหน้า ลำตัวฟกช้ำไปหมด ณัฏฐ์เห็นแล้วได้แต่กลืนน้ำลายไม่กล้ามีปากเสียงหรือเอ่ยห้ามอะไร

"อย่ามาให้เห็นหน้าอีก และอย่ามายุ่งกับคนของฉัน เข้าใจไหม !" อรวรรยาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองก่อนจะเดินมาหาณัฏฐ์ที่ยืนอึ้งอยู่ "ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณตกใจ พอดีคุณพ่อชอบให้มีคนติดตามเพื่อความปลอดภัย คุณคงไม่กลัวฉันใช่ไหมคะ"

ณัฏฐ์พูดไม่ออกแต่ก็ยิ้มอ่อยให้หญิงสาว นี่อาจจะเป็นโชคดีที่โชคชัยไม่ต้องมาตามราวีอีกก็ได้ หนี้ก็ได้ใช้หมดไปแล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตามมาอีกทำไม "ไม่เลยครับ คุณเท่และก็สวยมากเลย"

"จริงเหรอคะ" เธอทำสีหน้าดีใจ แล้วเอ่ยถามชายหนุ่มว่า "พวกมันตามคุณทำไมคะ หรือว่าคุณ..."

"ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกมันแค่ตามหาเพื่อนผมไม่เจอ เลยจะมาทำร้ายผม...ผมโชคดีมากที่มีนางฟ้าอย่างคุณมาปกป้อง"

"งั้นเหรอคะ"

หญิงสาวขานรับมองสามคนในสภาพที่ดูไม่ได้อย่างสมเพช

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางขยับตัวโน้มเข้าไปใกล้

"ถ้ายังไงเราไปเปลี่ยนบรรยากาศกันเถอะครับ"

"ไปสิคะ"อรวรรยาตอบกลับก่อนส่งสัญญาณให้ลูกน้องปล่อยสามคนนั้นไป

ณัฏฐ์ควงหญิงสาวขึ้นไปอย่างมีความสุข ช่างโชคดีจริง ๆ หากได้มาเป็นคู่ควงคงไม่มีอะไรต้องกลัว สำหรับคืนนี้เขาจะมอบความพึงใจให้เธอไม่ไปสนใจใครได้อีก...