ซุปเห็ดสมุนไพรที่ถูกปรุงขึ้นอย่างเรียบง่ายส่งกลิ่นหอมอบอวลในกระท่อมกลางป่าลึก ความร้อนที่แสนอบอุ่นของซุปช่วยบรรเทาความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นขณะที่วิคตัสนั่งอยู่หน้าหม้อปรุงยา
เห็ดสีแดงที่นำมาทำอาหารนั้นสามารถพบได้ตามโพรงไม้ชื้นใกล้เคียง เมื่อกลิ่นหอมเริ่มลอยไปทั่วห้องจิตใจของเขาก็เริ่มรู้สึกสงบ พ่อมดหนุ่มดื่มน้ำซุปที่มีเพียงเห็ดสีแดงเป็นส่วนผสมหลักเพื่อประทังความหิวของเขาระหว่างรอผลทดสอบของน้ำยาสมุนไพรแก้พิษหมายเลข 4
ขณะที่ซุปเห็ดในหม้อเริ่มเดือดอย่างช้า ๆ วิคตัสก็เริ่มจัดเตรียมส่วนผสมสำหรับการปรุงน้ำยาสมุนไพรแก้พิษด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง
เขาหยิบกลีบดอกคเวนท์สีม่วงสดใสสองกลีบขึ้นมาและสังเกตถึงความละเอียดอ่อนของกลิ่นหอมสดชื่นที่ลอยอยู่ในอากาศ
เขาเด็ดกลีบลงในหม้อก่อนจะหยิบลำต้นของเห็ดขี้ขลาดที่มีสีเขียวขุ่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกับลายเส้นของสายฟ้าผ่าและเริ่มหั่นมันเป็นชิ้นเล็ก ๆด้วยมีดที่คมกริบ
เสียงตัดเห็ดดังเป็นจังหวะและน้ำมันจากเห็ดเริ่มซึมออกมาจากชิ้นที่หั่นหลังจากเสร็จสิ้นเขาจึงเริ่มใส่ลำต้นทั้งหมด 13 ชิ้นนั้นลงไปในหม้ออย่างระมัดระวัง
เมื่อส่วนผสมทั้งหมดเริ่มหลอมรวมกันวิคตัสจึงก้มลงใกล้ ๆหม้อเพื่อสัมผัสความร้อนที่เกิดขึ้น เขาหยดน้ำค้างจากยอดดอกโรสแมรี่ลงไป 3 หยด เมื่อหยดน้ำสัมผัสกับความร้อนในหม้อปรุงยามันจะส่งเสียง ** ฟู่ ฟู่ว** เป็นสัญญาณว่าต้องใช้ไฟสีเหลืองอำพันเพื่อต้มโพชั่นนี้ต่อไปเป็นเวลา 9 นาที
"กลีบดอกคเวนท์ 2 กลีบ ผสมกับลำต้นเห็ดขี้ขลาดในอัตราน้ำเดือด 145 องศาคงที่ หากเพิ่มน้ำค้างจากยอดดอกโรสแมรี่ 3 หยดจะได้ประสิทธิภาพมากที่สุดโดยใช้เวลาต้มโพชั่น 9 นาทีด้วยไฟสีเหลืองอำพัน . . ."
ปากกาขนนกสีเขียวฟูฟ่องจดบันทึกทุกคำพูดของวิคตัสลงไปในคัมภีร์สมุนไพรอย่างระมัดระวัง
หลังจากการลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็พบวิธีปรุงน้ำยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงขึ้นในชื่อที่ถูกตั้งอย่างปราณีต(?)
'Kvent's Remedy No. 4'
น้ำยานี้ไม่เพียงแต่ช่วยขจัดพิษที่เกิดจากพืชทั่วไปแต่ยังสามารถลดอาการอักเสบของบาดแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
วิคตัสรู้สึกตื่นเต้นกับความสำเร็จนี้ถึงแม้จะมีความเหนื่อยล้าสะสมจากการทดลองที่ไม่เป็นผล แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ
ทุกๆวันเขาพยายามทำให้ตัวเองยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมสมุนไพรและการปรุงยาเพื่อไม่ให้มีเวลานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกหนักหน่วง การทดลองปรุงยาชนิดใหม่ๆจึงกลายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกหนีจากความคิดที่รุมเร้า
ในขณะที่เขาตั้งใจทำงานและศึกษาเรื่องราวของพืชและสมุนไพรที่อยู่รอบตัวความตื่นเต้นและความมุ่งมั่นจากการค้นพบสิ่งใหม่ๆได้ช่วยให้เขาสามารถก้าวผ่านความเศร้าโศกนี้ไปได้
วิคตัสจ้องมองไปที่หม้อที่เต็มไปด้วยน้ำยาซึ่งยังมีไอระเหยอบอวลอยู่ในอากาศขณะเดียวกันก็รู้ว่าการทดลองนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เขาพัฒนาตนเองแต่ยังทำให้เขามีความหวังใหม่ในอนาคตอีกด้วย
...ยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัวเลยแฮะ!
.
...
.
.
...
.....
- ชนเผ่าดอร์ส แห่งทุ่งราบตะวันออก -
ภายใต้รั้วไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างล้อมขึ้นเพื่อแสดงถึงอาณาเขตของชนเผ่าดอร์สซึ่งเป็นอีกชนเผ่าหนึ่งที่เก่าแก่ทางฝั่งตะวันออก
กระโจมหนังสัตว์สภาพน่าสังเวชจำนวนมากที่ตั้งขึ้นเบียดเสียดกันอยู่ภายในคือที่อาศัยของพวกเขา
ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่จะสวมเพียงกระโปรงหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มอึมครึมบนร่างกายพวกเขาจะมีลวดลายสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าดอร์สสำหรับทาสที่ถูกใช้เป็นแรงงานในเผ่าจะสวมชุดกระโปรงที่ทำจากหญ้าแห้งหรือบางคนอาจเปลือยเปล่า
บริเวณรอบๆกระโจมเหล่านี้ไม่เคยเงียบสงบยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กและทาสดังขึ้นเป็นครั้งคราวแต่กลับไม่มีใครสนใจพวกเขาซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้คนที่นี่
เดินลึกเข้าไปผ่านลานจัตุรัสจะพบกับกระโจมหนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านในที่นั่นคือที่พักของนักบวชหญิงชราประจำชนเผ่าดอร์ส
หลังจากการกลับมาพร้อมข่าวสารที่น่าตกใจของไคออร์ส สีหน้าของนักบวชชราและหัวหน้าเผ่าก็ดำมืดลงราวกับว่ามีใครเป็นหนี้เกลือพวกเขาหลายสิบกระสอบ
บรรยากาศภายในกระโจมหนาแน่นไปด้วยความวิตกกังวลหญิงสาวในเผ่าซึ่งมักจะมีสีหน้าแจ่มใส ต่างหลบตาไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะรู้ว่าข่าวนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชุมชน
"เจ้าแน่ใจหรือไม่ไคออร์สว่าสิ่งที่พบเป็นความจริง? เรื่องนี้ไม่อาจทำผิดพลาดได้เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าคำสาปแห่งนั้นไม่เคยเป็นเรื่องดี?"
เสียงเคร่งขรึมของผู้นำเผ่าดังขึ้นแหวกความเงียบภายในกระโจม
คำพูดของเขานั้นเรียบง่ายแต่ไคออร์สสามารถเข้าใจได้ดีถึงความจริงจังของเรื่องนี้ สายตาของผู้นำเผ่าแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และความหนักใจที่สะสมมานานเขาเคยเผชิญกับความสูญเสียและภัยพิบัติจากป่าคำสาปนี้มาก่อน
"ข้าเห็นมันด้วยตาตนเองมีพลังแปลกๆอยู่ที่นั่น..และมันกำลังเคลื่อนไหว!! " ไคออร์สตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นพยายามสะกดอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นในอก
ผู้นำเผ่าและนักบวชชราหันมาสบตากันอย่างรู้ใจ ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาแต่ความเข้าใจระหว่างพวกเขากลับชัดเจนกว่าคำใดๆ
ทั้งคู่ตระหนักดีถึงอันตรายพลังที่เขาได้ยินไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม มันอาจเป็นภัยที่คุกคามทั้งเผ่า และการเพิกเฉยอาจหมายถึงความพินาศโดยสิ้นเชิง
ดวงตาของนักบวชชราส่องแสงวูบวาบขึ้นในความมืด
"เราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วยิ่งปล่อยไว้นานอาจส่งผลอันตรายต่อเรา !! "
เสียงกระซิบของนักรบในเผ่าค่อยๆดังขึ้น แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกตื่นตระหนกแต่พวกเขายังมีความหวังในการรวมพลังกันเพื่อหาทางรับมือกับภัยคุกคามนี้
" หรือควรส่งนักรบออกไปที่นั่น? เพื่อตรวจสอบและนำข้อมูลกลับมา "
นักรบคนหนึ่งเสนอ
"ไม่... จะต้องมีแผนที่รอบคอบสำหรับเรื่องครั้งนี้ เราจะไม่เสี่ยงชีวิตของสมาชิกในเผ่าโดยไม่มีการเตรียมการใดๆ "
ผู้นำเผ่าตอบเสียงต่ำ
บรรยากาศในกระโจมตึงเครียดและเต็มไปด้วยความคาดหวังทุกคนรู้ว่าการตัดสินใจในคืนนี้อาจส่งผลต่ออนาคตของพวกเขาไปตลอดกาล
"แสงนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร หลังจากนั้นเจ้าเห็นสิ่งผิดปกติอย่างอื่นอีกหรือไม่?"
หญิงชรานักบวชหันมาถามต่อด้วยความสนใจเพื่อหาเบาะแสเสียงของเธอแฝงไปด้วยความวิตกกังวลแววตาที่จ้องมองไปยังไคออร์สแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ในกระโจมที่สร้างขึ้นอย่างแน่นหนามีเพียงแสงจากคบไฟที่ส่องสว่าง ช่วยเพิ่มบรรยากาศลึกลับและน่าเกรงขามแผ่นหนังสัตว์ผืนใหญ่ถูกแขวนไว้ตรงทางเข้าเพื่อใช้ปิดกั้นลมหนาวจากภายนอก เสียงลมที่พัดผ่านทำให้เกิดเสียงหวีดหวิวและบรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน
"ข้าเห็นเงาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในป่า มีเสียงกระซิบที่ไม่สามารถเข้าใจได้…" ไคออร์สเริ่มเล่าเสียงสั่น "มันเหมือนมีบางสิ่งกำลังมองมาที่ข้าและข้ารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก"
หลังจากที่ได้ยินรายละเอียดทั้งหมดสีหน้าของนักบวชหญิงอูม่าก็บิดเบี้ยวอย่างสยดสยองด้วยความกลัว คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน ขณะที่อุ้งมือของเธอจับที่ผ้าคลุมสีดำที่เธอสวมอยู่
" ลางร้าย! นี่ต้องเป็นสัญญาณจากวิญญาณในป่าอาถรรพ์ที่ออกมาเตือนพวกเราอย่างแน่นอน! "
เสียงของอูม่าดังก้องภายในกระโจม เสียงหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยอำนาจทำให้สมาชิกในเผ่าต่างเงียบฟังด้วยความตื่นตระหนก
"เราต้องทำพิธีสังเวยเพื่อขัดขวางภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้!" เธอกล่าวต่อ ขณะสายตาคมกริบของเธอกวาดมองไปทั่วราวกับกำลังรวบรวมความเห็นชอบจากทุกคน
"เพื่อให้พิธีนี้ได้ผลสำเร็จเราต้องรวบรวมพลังจากทุกคนในเผ่าและใช้สมุนไพรที่มีพลังขับไล่ความชั่วร้าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด...เราต้องมีเครื่องสังเวยที่เหมาะสม! "
คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ฟังได้อีกครั้ง บางคนเริ่มหันมองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่นบรรยากาศภายในกระโจมอึดอัดและตึงเครียดแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำคัดค้านออกมา
อูม่าสูดลมหายใจลึก ก่อนประกาศออกมาด้วยเสียงอันหนักแน่น
"เราต้องใช้ชีวิตของทาสเป็นเครื่องสังเวย มีเพียงพลังวิญญาณที่จะช่วยปกป้องเราได้!"
"หากไม่ทำเช่นนี้เราอาจพบกับโทษทัณฑ์ที่รุนแรง ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา! ข้าจะไม่ปล่อยให้จิตวิญญาณของเราไร้การปกป้อง ข้าต้องการใช้พวกมันมาเป็นทาสสังเวยบรรเทาความโกรธแค้นของเทพอสูร!"
คำพูดของอูม่าทำให้บรรยากาศในกระโจมหนาวเหน็บขึ้นในขณะที่ทุกคนรู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา และคำประกาศของเธอทำให้เกิดการพูดคุยกันอย่างตื่นตระหนก
ทันทีที่ได้ยินคำว่า "พิธีสังเวย" หัวหน้าเผ่าเดอลุสส่งสายตาไปยังไคออร์สเพื่อเตรียมสั่งการแววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความหนักใจและความมุ่งมั่นในการตัดสินใจที่จำเป็นต้องทำ
ฤดูหนาวใกล้เข้ามาถึงและแรงงานทาสในเผ่าที่สามารถใช้เป็นเครื่องสังเวยตอนนี้เหลือไม่มากนัก หากต้องเดินทางไปยังตลาดแลกเปลี่ยนเกรงว่าจะใช้เวลามากเกินไป
ความกดดันจากการมาถึงของความหนาวเย็นทำให้หัวใจเริ่มหนักอึ้งเขาจึงตั้งใจส่งไคออร์สและกลุ่มนักรบในเผ่าบางส่วนออกไปรับทาสจากชนเผ่าใกล้เคียงในครั้งนี้
ก่อนที่นักรบหนุ่มจะก้าวขาออกจากกระโจม เสียงแหลมของหญิงชราก็ดังขึ้น ขัดจังหวะการเคลื่อนไหวของเขาอย่างกะทันหัน
"อย่าเพิ่งรีบไป!" อูม่าร้องเรียก น้ำเสียงหนักแน่นเต็มไปด้วยอำนาจ
นักรบหนุ่มชะงักหยุด ันกลับมามองเธอด้วยความสงสัย ขณะที่สายตาของสมาชิกเผ่าทั้งหมดจับจ้องไปยังร่างผ่ายผอมของหญิงชรา
"เราต้องให้แน่ใจก่อนว่าผู้ที่ถูกนำมาเป็นเครื่องสังเวยนั้นเหมาะสม!" อูม่ากล่าวต่อ ดวงตาของเธอเปล่งประกายวูบวาบในแสงสลัว
" พวกมันต้องเป็นเด็กที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเท่านั้น ถึงจะสามารถเรียกวิญญาณให้มาช่วยปกป้องเราได้! "
เสียงของเธอสะท้อนก้องไปทั่วกระโจม ราวกับกำลังตอกย้ำถึงความสำคัญของคำพูดนั้น เธอหยุดชั่วครู่เพื่อให้ทุกคนซึมซับก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม
"เพราะความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา เราต้องการพลังบริสุทธิ์! เด็ก...คือตัวแทนของความหวังและการชำระล้างในพิธีกรรมครั้งนี้!"
คำพูดของอูม่าทำให้บรรยากาศในกระโจมหนาวเย็นขึ้นในทันที เงามืดจากแสงไฟดูเหมือนจะเต้นรำตามจังหวะของความเงียบงัน
หัวหน้าเดอลุสที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของกระโจมขมวดคิ้วแน่นสายตาของเขาสบกับอูม่าที่มองมาอย่างแน่วแน่ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นจนเขาไม่กล้าปฏิเสธ
"ตกลง..." เขากล่าวในที่สุด พยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่าเห็นด้วย ความเงียบงันถูกแทรกด้วยความกังวลในใจของทุกคน
ขณะที่เดอลุสพยักหน้าเพื่อแสดงความเห็นด้วย แต่ภายในใจเขาก็ไม่แน่ใจว่าการเลือกทางนี้จะนำมาซึ่ง 'โชคหรือหายนะ! '
อูม่าก้าวเข้ามาใกล้เดอลุสใบหน้าเธอเคร่งเครียดแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
"ข้ารู้ว่าท่านลังเล เดอลุส" เธอกล่าวเบาๆแต่ทุกถ้อยคำกลับชัดเจนในหูของผู้นำเผ่า
"แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นหากปล่อยให้ความมืดนี้กลืนกินเผ่าของเราจะไม่มีใครรอด ไม่แม้แต่ท่าน..."
เดอลุสหลับตาลงครู่หนึ่ง ราวกับกำลังรวบรวมความกล้า เขามองออกไปยังนักรบหนุ่มที่ยืนรอคำสั่งอยู่
"ไป !! " เขาออกคำสั่งในที่สุด
"แจ้งให้พวกนักกลุ่มล่ารู้ พวกเจ้าต้องหาทาสที่เหมาะสมกลับมาให้ทันก่อนดวงอาทิตย์ตกในอีก 7 วัน "
นักรบหนุ่มพยักหน้ารับคำดวงตาของเขาสะท้อนความลังเลเล็กน้อย
ในช่วงฤดูนี้ทาสแรงงานผู้ใหญ่หาได้ยากเพราะความโหดร้ายของธรรมชาติและการขาดแคลนอาหารทำให้พวกเขาล้มตายไปมากมายจึงไม่ต้องพูดถึงทาสเด็กที่อ่อนแอซึ่งมักถูกมองข้ามและไม่มีใครสนใจพวกเขามากนัก
ไคออร์สไม่ได้ถามถึงจำนวนที่นักบวชต้องการแต่รู้ดีว่ายิ่งมีจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ประสบการณ์จากการล่าสัตว์และการต่อสู้ที่ยาวนาน ทำให้ผู้คนในเผ่าดอร์สชินชากับความเป็นความตาย โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเหล่าทาส พวกเขามองว่าการเสียสละเพื่อเหล่าเทพเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเลือดเนื้อของผู้ต่ำต้อย
อูม่าเอนตัวไปข้างหน้าขณะจ้องมองไคออร์สด้วยสายตาที่แน่วแน่และเต็มไปด้วยความคาดหวัง
"ข้าต้องการเด็กน้อยอย่างน้อย...เก้าคน" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายก่อนหยุดชั่วครู่ มองไคออร์สที่ยังคงนิ่งงันและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
"หากเราต้องการให้พิธีนี้ประสบผลสำเร็จ สิ่งที่ต้องมีคือความบริสุทธิ์ของชีวิต...นั่นคือสิ่งที่วิญญาณต้องการ"
คำพูดของอูม่าทำให้ทุกคนในกระโจมนิ่งงัน เสียงเผาไหม้ของกองฟืนเป็นสิ่งเดียวที่ขับไล่ความเงียบออกไป สายตาของไคออร์สที่เคยแข็งแกร่งกลับสะท้อนความลังเล
อูม่าหรี่ตาลงเล็กน้อยดวงตาของเธอฉายแววแห่งอำนาจและการกดดัน
"พวกมันคือเครื่องสังเวย ไม่ใช่เพียงเด็กธรรมดา หากเจ้าไม่ยอมทำตามเจ้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น"
คำพูดที่ราวกับอ่านความคิดได้ฟาดลงกลางใจไคออร์ส เขาก้มศีรษะลงอย่างช้าๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง
"ข้าเข้าใจแล้ว..."
.
...
...
...