webnovel

ตอนที่ 39 หุบเขากินคนกับอันตรายที่รออยู่  

-28-

ยามเหม่าวันต่อมา

การเข้าหุบเขากินคนครั้งนี้ชิงหลินไม่ได้ใช้หรือมอบน้ำวิเศษแก่ทุกคน เพราะเจ้าพยัคฆ์น้อยบอกว่าไม่จำเป็น แม้จะฟังดูโอ้อวด แต่นางก็เลือกที่จะเชื่อมัน

"หลินหลิน ฟานฟาน...พร้อมแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยยืดตัวตรง เชิดหัวกลมๆ เล็กๆ บอกนางที่กำลังผูกผมหางม้าอยู่ภายในกระโจมที่สร้างโดยหน่วยองครักษ์ภายใต้คำสั่งของแม่ทัพหนุ่ม แม้นางจะคัดค้านขอนอนใต้รถม้าเช่นเดิมแต่เขาก็ไม่ฟัง นางเลยปล่อยเลยตามเลย ซึ่งพอลองคิดดูดีๆ แล้วก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้นางหลับสนิท ไม่ต้องระแวงเรื่องแมลงหรือสัตว์มีพิษต่างๆ

"อืม ข้าเองก็เสร็จแล้ว เช่นนั้นเราก็ออกไปสมทบกับคนอื่นเถิด" หญิงสาวยิ้มแล้วอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไว้แนบอก ก่อนจะก้าวออกมายืนนอกกระโจม

"หลินเอ๋อร์ มาตรงนี้สิ" มู่หลิ่งเหวินในชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายพยัคฆ์สีดำดูลึกลับและสง่างามเรียกคู่หมั้นสาว

"เอ่อ...พี่เหวิน คุณชายโจว" ชิงหลินทักทายบุรุษทั้งสอง

"อา...แม่นางหลิน เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่" โจวหยางหมิ่นทักทายด้วยรอยยิ้ม วันนี้เขาอยู่ในชุดผ้าไหมสีเขียวมรกตราคาแพงทว่าไร้ลวดลาย

มู่หลิ่งเหวินได้ฟังคำทักทายที่สนิทสนมของโจวหยางหมิ่นก็ไม่พอใจนัก พาร่างสูงของตนเข้ามาบดบังร่างเล็กให้พ้นจากสายตาอีกฝ่าย สร้างความประหลาดใจแก่ชิงหลินจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง และการกระทำนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากโจวหยางหมิ่น ที่ขบขันในความหึงหวงจนเกินเหตุของแม่ทัพหนุ่ม

"ท่านแม่ทัพ อาหารพร้อมแล้วขอรับ" จิ๋นซานรายงาน

"อืม แจ้งทุกคน เราจะออกเดินทางทันทีหลังมื้อเช้า" มู่หลิ่งเหวินออกคำสั่งด้วยท่าทางขึงขังผิดกับยามที่อยู่กับคู่หมั้นสาวลิบลับ

การเดินทางเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยใช้วิธีแกะรอยในการตามหากลุ่มของชิงหยวน เพราะไร้ซึ่งแผนที่นำทางจึงทำให้การเดินทางค่อนข้างล่าช้า เหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงสว่างอันน้อยนิดที่ไม่รู้ว่าจะดับลงเมื่อใด

"ป่านี่แปลกจัง ทำไมต้นไม้พวกนี้ถึงดูคุ้นๆ ชอบกล" ชิงหลินพึมพำกับตัวเองหลังจากเดินเข้ามาได้ราวสองชั่วยามแล้ว

นางสังเกตว่าหุบเขากินคนแห่งนี้มีลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายกับป่าอาถรรพ์ เพียงแต่ต้นไม้ที่นี่ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

"มีอันใดหรือหลินเอ๋อร์" คนที่เดินอยู่ข้างๆ ถามเมื่อเห็นนางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหลียวซ้ายแลขวาจนขาดความระมัดระวัง

"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" ยิ้มตอบทั้งที่เริ่มตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็นจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่

ตรงข้ามกับบุรุษที่เหลืออย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดสับสน ซ้ำยังเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเท่าตัว เช่นเดียวกับโจวหยางหมิ่นที่มักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ยามนี้เปลี่ยนเป็นเครียดขรึมและจริงจัง

"ช่างเป็นหุบเขาที่ประหลาด ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน" โจวหยางหมิ่นว่า

มู่หลิ่งเหวินเห็นด้วยกับถ้อยคำของอีกฝ่าย ป่านี้แปลกประหลาดเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้จริงๆ นับแต่เหยียบย่างเข้ามาก็ต้องประหลาดใจกับทุกสิ่งที่พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้าล้วนแต่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในแคว้นฉีหรือแคว้นใด ช่างเป็นป่าที่ประหลาดและน่าหวาดเกรงยิ่งนัก

"ทุกคน ระวังตัวด้วย" แม่ทัพหนุ่มใช้ปราณเสียงเตือนทุกคน

หน่วยองครักษ์พยักหน้าตอบแทนคำพูด

"ท่านแม่ทัพ ดูนั่นสิขอรับ" จิ๋นซื่อชี้ให้ดูต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้า

"นี่มันต้นอันใดกัน" โจวหยางหมิ่นกล่าว ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่สูงราวเรือนสามชั้นด้วยความสนใจ เช่นเดียวกับบุรุษที่เหลือที่เดินเข้ามาดูใกล้ๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ บางคนนั่งลงดูเจ้าผลสีแดงมีขนที่หล่นอยู่บนพื้น แต่ไม่กล้าแตะต้อง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

"เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่"

"ไม่เคย แล้วเจ้าเล่า"

"ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับเจ้านี่แหละ"

"กินได้หรือไม่"

"มีพิษหรือไม่"

"เจ้าก็ลองดูสิ"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าบุรุษทำให้ชิงหลินที่แน่ใจเต็มร้อยหลังจากที่สังเกตอย่างถี่ถ้วน นางอมยิ้มขบขันกับท่าทางขึงขังจริงจังของเหล่าบุรุษ ไม่เว้นแม้กระทั่งคู่หมั้นของนางและคุณชายโจวที่ยืนกอดอกทำหน้าเครียดขึง มองต้นไม้เจ้าปัญหาตรงหน้าเขม็ง

"หลินเอ๋อร์! นั่นเจ้าทำอันใด วางมันลงเดี๋ยวนี้! หากมันมีพิษจะทำเช่นไร" มู่หลิ่งเหวินห้ามนางเสียงเข้ม พร้อมกับพุ่งเข้ามาประชิดตัวแล้วปัดผลเจ้าปัญหาอย่างรวดเร็วจนมันหล่นลงบนพื้น ก่อนจะพลิกฝ่ามือนางเพื่อตรวจดูอย่างละเอียดว่าถูกพิษหรือไม่ ท่ามกลางความตกใจของเหล่าบุรุษที่กรูกันเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

"มีอันใดน่าขันหรือ" เขาถามนางเสียงเข้มดุ ทุกคนต่างตกอยู่ในความหวาดวิตก แต่นางกลับหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน มันสมควรแล้วหรือ

"เอ่อ...ขออภัยเจ้าค่ะ" คนถูกดุรีบขอโทษแล้วก้มหยิบเจ้าผลสีแดงมีขนขึ้นมาไว้กลางฝ่ามือ แล้วเอ่ยขึ้น "นี่เรียกว่า 'หงเหมาตาน18' เจ้าค่ะ"

"หงเหมาตาน? เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่" จิ๋นซื่อถาม จิ๋นซานส่ายหน้า

"หงเหมาตาน? ผลไม้หรือ" มู่หลิ่งเหวินถามคู่หมั้น

"ใช่เจ้าค่ะ กินได้ อร่อยด้วย" ชิงหลินตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะบิเปลือกออกจนเห็นเนื้อสีขาวใสครึ่งหนึ่ง แล้วยื่นไปตรงหน้าเขาเพื่อชวนเชิญให้ลิ้มลอง

มู่หลิ่งเหวินไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแต่อย่างใด ทำเพียงหรี่ตามองหงเหมาตานที่นางกล่าวอ้างด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองนางนิ่ง

"ไม่เชื่อข้าหรือ" หญิงสาวเอียงคอถามเสียงอ่อยพลางตีหน้าเศร้า

มู่หลิ่งเหวินเห็นดังนั้นจึงรีบหยิบผลหงเหมาตานเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เนื่องจากได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกจึงไม่รู้ว่ามันมีเมล็ดอยู่ข้างใน เขาเผลอกัดเมล็ดดังกร้วมแล้วก็ต้องนิ่วหน้า เมื่อความหวานอร่อยเปลี่ยนเป็นฝาดเฝื่อนจนอยากจะคายทิ้ง แต่เพราะมีสายตาหลายสิบคู่จ้องมองอยู่เขาจึงต้องกลืนลงไปจนหมด

"อุ๊ย! ข้าลืมบอกท่านไป ควรเอาเมล็ดออกก่อนแล้วค่อยกินเจ้าค่ะ" ชิงหลินแสร้งทำท่าตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก

"ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถิด" มุมปากคนฟังกระตุกพลางแค่นเสียงลอดไรฟัน ไม่คิดว่านางจะขวัญกล้ากลั่นแกล้งเขาต่อหน้าคนของเขาเช่นนี้ได้ น่าตายนัก!

"คุณหนู กินได้จริงๆ หรือขอรับ" หน่วยองครักษ์นายหนึ่งเอ่ยถาม

"อืม กินได้ ไม่ต้องกังวลไปหรอก" ชิงหลินหันไปบอกยิ้มๆ แล้วสาธิตวิธีการกินที่ถูกต้องให้จนหลายคนกรูกันเข้ามาชิม เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็พยักหน้าพอใจในรสชาติ จนเผลอเก็บใส่ย่ามไปเยอะเลยทีเดียว

"อา...หวาน..อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว" โจวหยางหมิ่นชมหลังจากกินไปหลายลูก

"องค์ชาย เหตุใดนางจึงรอบรู้เช่นนี้" หนึ่งในสี่องครักษ์เอ่ยถามผู้เป็นนาย

"นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน" โจวหยางหมิ่นตอบขณะที่มองนางอย่างพิจารณา

'สตรีประหลาด ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าที่ข้าเห็นเมื่อคืนคือสิ่งใด แล้วเหตุใดเจ้าจึงมีสิ่งนั้น หรือเจ้าจะเป็นผู้วิเศษมีคาถาอาคม?' โจวหยางหมิ่นครุ่นคิดไม่ตก

"หลินหลิน อันตราย...กำลังมา อันตราย" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่เดินสำรวจบริเวณรอบๆ เงยหัวกลมๆ เล็กๆ บอกนาง

ชิงหลินย่อตัวลงอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยขึ้นมาแนบอก พร้อมกับถามมันทางจิต "อันตราย? สัตว์ร้ายหรือ"

ทันใดนั้นก็ปรากฏหมอกควันขาวไร้ที่มาแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วผืนป่าหุบเขากินคนอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นแทบจะเป็นศูนย์

"หน่วยองครักษ์ทุกคนอย่าแตกตื่น เตรียมพร้อมรับมือ!" มู่หลิ่งเหวินใช้ปราณสั่งการ มือหนึ่งจับมือเรียวเล็กของคู่หมั้นไว้แน่น ส่วนอีกมือก็กระชับดาบยาวที่เอวเตรียมพร้อม ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองฝ่าหมอกควันไปยังทิศทางข้างหน้า ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนเรียบเฉยไร้ความหวาดวิตกอย่างน่าชื่นชม

เสียงขานรับอย่างพร้อมเพรียงดังก้องไปทั่วป่า คล้ายต้องการข่มขวัญศัตรูไปด้วย พวกเขาเคลื่อนตัวล้อมเข้ามาเป็นวงกลมอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วและเงียบกริบ บ่งบอกให้รู้ถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมโดยยึดแม่ทัพหนุ่มเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นยามนี้หากมองดีๆ แล้วจะเห็นว่าผู้ที่อยู่ใจกลางวงคือแม่ทัพหนุ่ม ชิงหลินกับเจ้าพยัคฆ์น้อย โจวหยางหมิ่นพร้อมสี่องครักษ์ และจิ๋นซานกับจิ๋นซื่อ

"ที่ว่าอันตรายหมายถึงหมอกนี่หรือ" ชิงหลินถามเจ้าพยัคฆ์น้อย

"ไม่ใช่...ไม่ใช่ ผ่านหมอก...มีปีศาจ...รออยู่ ดูดวิญญาณ ปีศาจ...ดูดวิญญาณ" เจ้าพยัคฆ์น้อยส่ายหัวกลมๆ เล็กๆ ก่อนจะชี้แจงให้นางฟัง

"หา! เจ้าว่าอันใดนะ?!" นางเผลอร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ

"มีอันใดหรือหลินเอ๋อร์" มู่หลิ่งเหวินถามคู่หมั้นที่ถูกกุมมืออยู่ข้างๆ

"มะ...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" นางรีบปฏิเสธเพราะยังไม่อยากให้เขากังวลใจ

"ปีศาจดูดวิญญาณ? มันเป็นปีศาจแบบไหนกัน" หญิงสาวก้มหน้าถามเจ้าพยัคฆ์น้อยทางจิต

"ปีศาจ...จิ้งจอก...เก้าหาง ดูดวิญญาณ...ชายหนุ่ม...เพิ่มพลัง วันละคน..." เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกนาง

'ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางไม่ได้มีแต่ในตำนานหรอกหรือ' ชิงหลินครุ่นคิดไม่หยุด เริ่มใจคอไม่ดี มือเย็นจนมู่หลิ่งเหวินรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง จึงกระชับมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มให้แน่นขึ้นหวังให้นางอุ่นใจ

"หลินเอ๋อร์ เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกอันใดเจ้าหรือ" เขาถามคู่หมั้นเบาๆ ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยินบทสนทนานี้ เท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

"เอ่อ...คือ..." ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวเตือนถึงอันตรายที่รออยู่ จู่ๆ หมอกควันขาวก็สลายหายไปในชั่วพริบตาและกลับสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนหน้า

"ท่านแม่ทัพ! แย่แล้วขอรับ" หนึ่งในหน่วยองครักษ์ที่รับหน้าที่แกะรอยเท้าในครั้งนี้วิ่งเหยาะๆ เข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าซีดเผือด

"มีเรื่องอันใด" แม่ทัพมู่ถามเสียงเข้ม มือหนึ่งยังคงจับมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มไว้มั่น ไม่ใส่ใจอาการขัดขืนของนางและสายตาหลายสิบคู่ที่มองมา รวมถึงโจวหยางหมิ่นที่มองด้วยสายตาริษยาเล็กน้อย

"รอยเท้ารวมถึงร่องรอยต่างๆ หายไปจนสิ้นเลยขอรับ!" คำรายงานนั้นสร้างความหวาดวิตกแก่ทุกคนยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นกลับไม่ได้แสดงออกให้เห็นบนใบหน้า มีเพียงดวงตาที่สั่นไหวเท่านั้น

"แปลก เหตุใดรอยเท้าจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีผู้ใดผ่านเข้ามา" มู่หลิ่งเหวินลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากได้สำรวจตรวจดูเพื่อหารอยเท้าบนพื้น รวมถึงร่องรอยโดยรอบ

"หรือจะเกี่ยวกับหมอกควันเมื่อครู่?" โจวหยางหมิ่นสันนิษฐาน

"หรืออาจจะเป็นการกระทำของใครบางคน?" มู่หลิ่งเหวินกล่าวพลางมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างขอความเห็น ด้วยคิดว่านางอาจจะรู้อะไรสักอย่างอยู่เป็นแน่

"เอ่อ...อาจจะเป็นปีศาจที่อยู่ในหุบเขานี้ก็ได้นะเจ้าคะ"

คำตอบทีเล่นทีจริงของนางเป็นเหตุให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา ซ้ำยังเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นด้วย เมื่อรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณหนูชิงหลินผู้นี้มาบ้างจากหน่วยองครักษ์ด้วยกันเอง ไม่ใช่ข่าวโคมลอยจากที่ใด พอเข้ามาในหุบเขาก็เป็นนางผู้เดียวที่รู้จักต้นไม้ใบหญ้าแทบทุกชนิด ทำให้พวกตนคลายใจลงได้หนึ่งส่วน ไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอกินผลไม้มีพิษเข้าไป และในครั้งนี้นางกล่าวว่าอาจจะเป็นฝีมือของปีศาจ นั่นย่อมเป็นดังที่นางกล่าวอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย

"อา...ปีศาจหรือ อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า" โจวหยางหมิ่นออกจะประหลาดใจ และนึกขบขันกับคำตอบของนาง แต่พอเห็นบรรยากาศโดยรอบตึงเครียด หน่วยองครักษ์ทุกนายอยู่ในท่าเตรียมพร้อมสู้ ยิ่งได้เห็นสีหน้าเครียดขรึมไร้การล้อเล่นของแม่ทัพหนุ่ม โจวหยางหมิ่นพลันรับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้เชื่อทุกคำพูดของนาง

"ปีศาจที่เจ้าพูดเป็นปีศาจแบบใดกัน" มู่หลิ่งเหวินกระซิบถามคู่หมั้นที่จับจูงกันออกมาจนห่างจากจุดที่โจวหยางหมิ่นยืนอยู่ราวยี่สิบก้าว ด้วยเกรงว่าจะทำให้ตื่นตูมเมื่อได้รู้ความจริง

"เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเจ้าค่ะ" ชิงหลินกระซิบตอบ

"ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง? ปีศาจในตำนานที่เล่าขานกันว่าดูดพลังวิญญาณของมนุษย์เพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์ของตน?" เมื่อเห็นคู่หมั้นพยักหน้าตอบ คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น ความเครียดเริ่มเกาะกุมจิตใจ

"เช่นนั้น...เรื่องที่พลังวิญญาณหายไปวันละคน เพราะถูกปีศาจจิ้งจอกเก้าหางดูดพลังวิญญาณไป?" แม่ทัพหนุ่มสรุปอย่างมีเหตุผล

"คิดว่าเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ" ร่างเล็กตอบหลังจากที่ถามเจ้าพยัคฆ์น้อยแล้ว

"แล้ววิธีปราบปีศาจเล่า...มีหรือไม่" เขาถามเสียงเครียด หากมีวิธี นั่นย่อมหมายความว่าอาจมีหนทางรอด แต่ถ้าไม่...ก็คงต้องสู้จนสุดกำลังเท่านั้น

"เอ่อ...เรื่องนั้น..." ชิงหลินยังไม่ทันได้ตอบคำถามของคู่หมั้น

"ฮิๆๆ ฮ่าๆๆ เจ้ามนุษย์โง่เขลา รนหาที่ตายแท้ๆ" เสียงเล็กแหลมเยือกเย็นชวนขนลุกดังไปทั่วบริเวณ พร้อมกับหมอกควันขาวปกคลุมไปทั่วอีกระลอก แต่คราวนี้ไม่ใช่หมอกควันธรรมดา ทันทีที่สูดดมเข้าไปต่างสลบไสลไปตามๆ กันราวใบไม้ร่วง มีเพียงมู่หลิ่งเหวินและโจวหยางหมิ่นที่รับรู้ได้ถึงหมอกควันมรณะ จึงรีบใช้ผ้าปิดจมูกไว้ได้ทัน แต่หมอกควันนี้มีส่วนผสมของยานอนหลับรุนแรง เพียงไม่นานทั้งสองก็ล้มลงหมดสติไปเฉกเช่นทุกคน

สุดท้ายจึงเหลือเพียงชิงหลินกับเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ไม่ได้เป็นอะไร เพราะหมอกควันพิษนี้มีผลต่อมนุษย์ผู้ชายเท่านั้น หลังจากหมอกควันพิษสลายไป บุรุษทั้งเจ็ดสิบหกคนก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน สร้างความตกใจให้ชิงหลินอย่างยิ่งยวด

"แย่แล้ว ฟานฟาน พวกเขาหายไปไหน ปีศาจเอาตัวไปหรือ" ชิงหลินหมุนตัวไปรอบๆ ด้วยหวังว่าจะเจอใครสักคน แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่เห็นใครเลย

"ยังอยู่...ยังอยู่ โดนขัง...ในถ้ำ อยู่กับ...ท่านพ่อ ทุกคน...อยู่ด้วยกัน" เจ้าพยัคฆ์น้อยพยายามพูดปลอบหลินหลินที่กำลังตระหนกตกใจ ใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับหมุนตัวไปมาจนมันเวียนหัว

"โดนขังอยู่ในถ้ำ? รวมกับกลุ่มของท่านพ่อหรือ"

"ใช่ใช่" เจ้าพยัคฆ์น้อยผงกหัวกลมๆ เล็กๆ ถี่ๆ

"แล้วถ้ำนั้นอยู่ที่ไหน รีบบอกมาเร็วเข้า เราต้องไปช่วยทุกคนเดี๋ยวนี้" นางเร่งเร้าเจ้าพยัคฆ์น้อย

เจ้าพยัคฆ์น้อยใช้เท้าหน้าข้างหนึ่งชี้ทิศทางพร้อมกับบอกนางไปด้วย "กลางหุบเขา ใกล้กับ...เต่ามังกร ปีศาจจิ้งจอก...อยากกิน...เต่ามังกร แต่มีเกราะ...แข็งแกร่ง...ปกป้องอยู่"

"เรื่องอื่นช่างมันเถอะ ว่าแต่เราจะไปถ้ำนั้นได้อย่างไร"

"หลับตา...หลับตา ฟานฟาน...จะพา...ไปเอง" เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกหลินหลินด้วยน้ำเสียงและท่าทางโอ้อวดจนชิงหลินมันเขี้ยว ใช้มือขยี้หัวมันไปสองสามที

"ชีวิตของทุกคนอยู่ในกำมือเจ้าแล้วนะ" นางจุมพิตที่หัวเล็กเป็นรางวัล แล้วหลับตาลงตามที่เจ้าพยัคฆ์น้อยบอก แม้ในใจจะหวาดหวั่นและหวาดกลัวมากเพียงใด แต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางก็ขอสู้ตาย!

"ถึงแล้ว ลืมตาได้ ถึงแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกหลินหลินเบาๆ

ดวงตาคู่งามค่อยๆ ลืมขึ้นตามที่มันบอก 'อะไร? ทำไมถึงเร็วอย่างนี้ แค่แวบเดียวเอง' อุทานอยู่ในใจ แต่ทันทีที่เห็นภาพเบื้องหน้าเต็มตา หญิงสาวก็ถึงกับอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อ ทั้งตื่นเต้น ดีใจ และหวาดวิตก ตีกันมั่วไปหมด

"ท่านพ่อ!" ชิงหลินวิ่งเข้าไปหาชิงหยวนที่นั่งอยู่มุมหนึ่งภายในถ้ำด้วยความตื่นเต้นดีใจที่เห็นบิดาปลอดภัย

ชิงหยวนนั่งหมดอาลัยตายอยากเพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องตายเป็นผีอยู่ที่หุบเขานี้เป็นแน่ ถามบุตรีด้วยความประหลาดใจ "หลินเอ๋อร์! เจ้าเข้ามาได้อย่างไร"

"คุณหนู ท่านไม่ควรมาที่นี่..." เฟิ่งอิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ชิงหยวนเพื่อคุ้มครองอันตรายเอ่ยยังไม่ทันจบความ หน่วยพยัคฆ์ดำคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามาหาพลางส่งเสียงเรียกนางไม่หยุดหย่อน ราวกับได้พบทางสว่าง ใบหน้าอิดโรยเพราะความหวาดกลัวไม่รู้ว่าจะถูกนำตัวออกไปเมื่อใดพลันแปรเปลี่ยนเป็นมีความหวัง ความหวาดกลัวที่เกาะกินใจมาหลายวันคลายลงไปเกือบครึ่ง

"อา...คุณหนู / คุณหนู / คุณหนู"

"อืม ข้าเอง ทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง" ถามแบบไม่เจาะจงคนตอบ พลางกวาดตามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเป็นห่วง

"ขอบคุณคุณหนูที่ห่วงใย พวกเรา...สบายดีขอรับ" หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดก้มหน้าตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ปลายเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความอัดอั้นและตื้นตันใจ ด้วยไม่คิดว่าคุณหนูจะยอมเสี่ยงชีวิตอันมีค่ามาเพียงเพื่อช่วยชีวิตอันต่ำต้อยไร้ค่าของพวกตนเช่นนี้ หากเป็นเจ้านายคนอื่นจะยอมทำเพื่อลูกน้องบ่าวไพร่เช่นนี้หรือไม่

"ท่านพ่อ เห็นกลุ่มของท่านแม่ทัพบ้างหรือไม่เจ้าคะ" ชิงหลินหันมาถามบิดา รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก ทว่าชิงหยวนกลับส่ายศีรษะ

"หลินหลิน ทางนี้...อยู่ทางนี้" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่ถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระทันทีที่เข้ามาในถ้ำร้องเรียกนาง

ร่างเล็กลุกขึ้นแล้วเดินตามเจ้าพยัคฆ์น้อยไปด้านในของถ้ำซึ่งอยู่ลึกเข้าไปราวครึ่งลี้ พร้อมกับกวาดตามองไปรอบถ้ำอย่างพิจารณา ถ้ำนี้ถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงชวนขนลุกพิลึก ซ้ำยังมีกลิ่นเหม็นคาวคล้ายกลิ่นเลือดอีก

"แสงสีแดงเป็นพลังที่ปิดกั้นพลังยุทธ์ของพวกเราไว้ขอรับ" เฟิ่งอิงที่เดินตามชิงหยวนชี้แจงให้ชิงหลินฟัง เพราะเหตุนั้นทำให้หน่วยพยัคฆ์ดำออกไปจากที่นี่ไม่ได้

"อย่างนั้นหรือ แล้วเรื่องอาหารการกินเล่า?" หญิงสาวถามโดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย

"จะมีสุนัขจิ้งจอกยักษ์นำเนื้อมาให้ทุกวันขอรับ"

"หลินเอ๋อร์ แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร" ชิงหยวนถามบุตรี

"เจ้าพยัคฆ์น้อยพามาเจ้าค่ะ" บุตรสาวหันมาตอบบิดายิ้มๆ

"เจ้าพยัคฆ์น้อยมีพลังวิเศษด้วยหรือ หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าปิดบังพ่อมาตลอด?" ชิงหยวนแสร้งทำเสียงน้อยใจ

"โธ่ ท่านพ่อ ลูกไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน เรื่องนี้ลูกก็เพิ่งรู้เหมือนกันเจ้าค่ะ" คนถูกงอนโอดครวญ สองมือจับแขนบิดาแล้วซบหน้าลงที่แขนแข็งแรงอย่างออดอ้อน ท่ามกลางรอยยิ้มของหน่วยพยัคฆ์ดำที่เหลือรวมถึงเฟิ่งอิง

"หลินหลิน อยู่นั่น ทุกคน...อยู่นั่น" เจ้าพยัคฆ์น้อยหมุนตัวกลับมาร้องบอกนาง

ชิงหลินไล่สายตามองไปข้างหน้าตามที่เจ้าพยัคฆ์น้อยบอก จึงพบเข้ากับร่างบุรุษหลายสิบคนนอนสลบไสลอยู่บนพื้นภายในถ้ำ ที่เชื่อมต่อกับถ้ำที่กลุ่มของบิดาถูกขังอยู่ นางสาวเท้าเข้าไปกวาดตามองหาคู่หมั้นของตัวเอง เมื่อพบแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาประคองศีรษะของเขาไว้บนต้นขา พร้อมทั้งตบแก้มสากเบาๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น

"เข้าไปช่วยทุกคนเร็วเข้า!" ชิงหยวนชี้นิ้วสั่งการหน่วยพยัคฆ์ดำ เพียงไม่นานหน่วยองครักษ์ทุกคน รวมถึงโจวหยางหมิ่นและสี่องครักษ์ก็ตื่นขึ้นมาจากหมอกควันพิษโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ

"อา...หลินเอ๋อร์?..." มู่หลิ่งเหลินลืมตาขึ้นช้าๆ ก็พบกับใบหน้าจิ้มลิ้มของคู่หมั้นที่ก้มมองตนอยู่ เขายกมือคลึงขมับด้วยความมึนงงครู่หนึ่ง ครั้นพอรู้สึกตัวว่าตนกำลังหนุนนอนตักนางอยู่ก็รู้สึกขัดเขินยิ่งนัก จนต้องรีบลุกขึ้นมานั่งตีหน้าขรึม แล้วมองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา

ชิงหลินเองพอรู้ตัวว่าทำเรื่องน่าอายลงไปเสียแล้ว ก็ได้แต่ก้มหน้าที่แดงก่ำลามไปถึงใบหู หลบสายตาล้อเลียนของบิดาและคนอื่นๆ

"องค์ชายห้า ไม่คิดว่าพระองค์จะเสด็จมาด้วย ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนที่คิดจะเข้ามาทักทายแม่ทัพหนุ่มชะงัก เมื่อเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคน

"เอ๊ะ เอ๋? ท่านคือ...องค์ชายห้า?" ชิงหลินและหน่วยองครักษ์ที่ร่วมเดินทางมาด้วยรีบคุกเข่าให้โจวหยางหมิ่นทันที

"อา...ลุกขึ้นได้" โจวหยางหมิ่นอนุญาตแล้วหันมากล่าวกับแม่ทัพหนุ่ม "ตอนนี้เราควรหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนใช่หรือไม่"

"เรื่องนี้เห็นทีจะยาก ด้วยถ้ำนี้ถูกพลังอันแข็งแกร่งปิดผนึกไว้ เรียกว่าพลังสะท้อนกลับพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนเป็นผู้กราบทูล

"พลังสะท้อนกลับ?" โจวหยางหมิ่นทวนคำ

"ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งเราใส่พลังเพื่อทำลายมันมากเท่าใด พลังก็จะสะท้อนกลับมาเป็นเท่าตัวพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนอธิบายพร้อมกับหันไปยังทิศทางที่เดินจากมา ซึ่งมีหน่วยพยัคฆ์ดำคนหนึ่งพยายามใช้กำลังภายในทำลายพลัง ที่ปิดกั้นปากถ้ำจนได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนรักษาตัวอยู่ ชิงหยวนจึงสั่งห้ามหน่วยพยัคฆ์ดำทุกคนไม่ให้กระทำการผลีผลาม และช่วยกันหาหนทางอื่นแทนซึ่งยังไร้หนทาง จนกระทั่งบุตรีแสนรักของตนปรากฏกายขึ้น ทำให้ชิงหยวนมีความหวังขึ้นมาอย่างประหลาด หน่วยพยัคฆ์ดำเองก็คงคิดเห็นเช่นเดียวกัน

"อา...เป็นเช่นนี้เอง" โจวหยางหมิ่นพยักหน้าเข้าใจ

"แล้วเรื่องที่หายไปวันละคนจะเกิดขึ้นยามใดขอรับ" คำถามของแม่ทัพหนุ่มสร้างความประหลาดใจให้แก่โจวหยางหมิ่นและหน่วยองครักษ์ที่มาใหม่จนต้องหันมามองเป็นตาเดียว

"หายไปวันละคน?"

"หมายความว่าอย่างไร"

"ถูกจับไปฆ่าหรือ"

"จะว่าไปจำนวนคนตอนนี้...ลดน้อยลงเสียด้วย"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของหน่วยองครักษ์ดังจ้อกแจ้กจนมู่หลิ่งเหวินต้องยกมือขึ้นห้าม และเสียงเหล่านั้นก็เงียบลงทันที

"หลานชายรู้?" ชิงหยวนถาม

"ขอรับ" มู่หลิ่งเหวินตอบแล้วหันไปมองคู่หมั้น ที่ยืนก้มหน้าอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยอยู่ข้างบิดาของนางไม่ยอมสบตา ก็นึกรู้ว่านางคงไม่อยากให้บอกเรื่องคำทำนายของเจ้าพยัคฆ์น้อย

"ทุกวันยามซวีจะมีสุนัขจิ้งจอกยักษ์สองตัวมานำคนไปหนึ่งคน แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย" ชิงหยวนกล่าวเสียงเครียดก่อนจะถอนใจยาวหนักออกมาหนหนึ่ง ใบหน้าคร้ามแดดมีร่องรอยของความเศร้าเสียใจที่ไม่อาจช่วยคนของตนได้ จนชิงหลินต้องบีบมือเพื่อให้กำลังใจบิดา

"หลินหลิน ต้องหนี...ต้องหนี โอกาสเดียว...โอกาสเดียว" เจ้าพยัคฆ์น้อยเงยหัวกลมๆ เล็กๆ ร้องบอกนาง

"หนีหรือ แล้วจะหนีได้อย่างไร กำลังภายในก็ใช้ไม่ได้"

"ดาบพยัคฆ์...เจ้าร่างยักษ์ เลือดของ...หลินหลิน...ทาที่ดาบ ทำลายได้...ทำลายได้" ถ้อยคำที่เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกทำเอาคนฟังหน้าซีด ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เลือดนางไปเกี่ยวอะไรด้วยเล่า! อยากจะบ้าตาย!

18 หงเหมาตาน คือเงาะ

ใครกดไลค์ ให้ของขวัญ ขอให้ถูกหวย รวยๆเฮงๆจ้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts
Next chapter