webnovel

เรื่องรักไม่ค่อยเซียน ส่วนเรื่องเรียนไม่รู้เรื่องเลย

วันจันทร์ เก้าโมงเช้า…

"ซิสจะแอบกินคุณเซนเพื่อผลประโยชน์ของทีมเราหรือคะ" คิตตี้รีบปรี่เข้ามาทำเสียงกระซิบกระซาบทักทายฉันด้วยประโยคอันน่าสะพรึงในเช้าวันรุ่งขึ้น

"โอ้โห นี่คุณน้องคิตตี้คิดถึงพี่ลินมากจนถึงกับลงมาคอยรับที่หน้าฟร้อนท์เลยหรือคะ" ฉันเอ่ยยิ้มๆกับลูกทีมคนสนิท

ก่อนจะหันไปยิ้มหวานมากกับทางประชาสัมพันธ์สาวสวยของบริษัท แล้วกระซิบกระซาบบ้าง

"น้องน้ำหวานกระจายข่าวได้รวดเร็วมากนะคะ นี่เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเอง"

คิดว่าทุกคนที่เดินเข้าประตูบริษัทมา แล้วผ่านเค้านท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ในวันนี้น่าจะได้รับข่าวนี้จากน้องน้ำหวานเรียบร้อยแล้ว คงจะเป็นคราวเคราะห์ของฉันและคุณเซน พนักงานในบริษัทที่เราเจอด้วยกันที่จตุจักรดันเป็นน้องน้ำหวานนักประชาสัมพันธ์ตัวยง นี่คุณเซนเธอเดาไม่ผิดเลยว่ามันต้องมีเรื่องซุบซิบเกิดขึ้นในออฟฟิศเราแน่ๆ

แต่เรื่องเม้าท์มอยจิ๊บๆแค่นี้ไม่ทำให้ฉันต้องหวั่นไหวกังวลใจหร้อก

"พี่ลินนี่แซ่บสุดๆเลยอ่ะค่ะ เร็วมากกกก ใครๆก็อิจฉาพี่ลินกันทั้งนั้น" น้ำหวานทำหน้าตาเพ้อฝัน

"เดี๋ยวนะคะน้องน้ำหวาน จะลืออะไรกันก็ดูอายุพี่ด้วยมั้ยคะ รุ่นนี้แล้วนะคะ" ฉันทำหน้าตาเบื่อหน่าย

"อุ้ย พี่ลินยังไม่แก่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็แค่ห่างกันเจ็ดแปดปีเอง กำลังพอกรุบกริบกรุ๊บกริ๊บ" น้ำหวานยังไม่ยอมหยุด

"จริงด้วยจ๊ะน้องน้ำหวาน ซิสน่ะ ถึงอายุจะเข้าปูนนี้ และเหมือนจะเฮฮาร่าเริงสนุกสนานไปวันๆ แต่จริงๆแล้ว ซิสนี่เป็นฝ่ายเทผู้ชายมานับไม่ถ้วนนะจ๊า" คิตตี้ได้ทีผสมโรง

เอ้อ ไปกันใหญ่ เอ่อ… แม้มันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ

"พอแล้วคิตตี้ ไปค่ะ ขึ้นไปทำงานเลยค่ะ" ฉันรีบดันหลังคนสนิทให้ออกเดินไปทางบันไดขึ้นชั้นสอง

แต่ก่อนที่ฉันจะออกเดินตามคิตตี้ไป ฉันก็หันมาทางน้องน้ำหวานอีกที

"ก็รู้อยู่ว่าไม่มีอะไร แค่บังเอิญเจอกัน จะเอาไปลือทำไมเนี่ย"

"แหมพี่ลิน หนูแค่อยากทำให้คนบางคนเค้าหัวร้อน"

"ใคร? ใครจะมาหัวร้อนทำไม"

"ก็คุณพลอยไงคะ โห รายนั้นนะป่าวประกาศไปทั่วเลยว่าสนิทกับคุณเซน"

"นี่น้องน้ำหวานใช้พี่เป็นเครื่องมือในการกวนโทสะคุณพลอยเรอะ ร้ายนักนะเรา จะยัดเยียดฉายาสาวแก่กินเด็กให้พี่งั้น" ฉันทำเป็นแอบหยิกน้องน้ำหวานที่ต้นแขนเบาๆ

"หนูรู้ว่าพี่ลินไม่ถือสาหนูหรอกค่ะ พี่ลินเคยโกรธใครซะที่ไหน" น้ำหวานทำยิ้มประจบ

เฮ้อ! เด็กพวกนี้! เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นตลอดกาล!…

สิบโมงเช้า…

และเช้าวันนี้คุณเซนก็มีประกาศใหม่ที่ทำให้พนักงานทุกคนตื่นเต้นอีกแล้ว

คุณเซนเธอเป็นท่านประธานบริษัทที่พยายามจะส่งเสริมศักยภาพของพนักงานให้สุดๆไป เธอบังคับให้พวกเราไปเรียนคอร์สเพิ่มเติมในงบห้าพันบาทต่อคนค่ะ จะเป็นคอร์สอะไรเรียนนานเท่าไหน ก็แล้วแต่ความสนใจของพนักงานแต่ละคนเลย โดยมีข้อแม้ว่า ทุกคนจะต้องส่งชื่อคอร์สและราคาไปให้เธอดูก่อน หลังจากนั้นทุกคนต้องมีใบลงทะเบียนมายืนยัน แล้วก็มีใบรับรองว่าเข้าร่วมคลาสเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์

'เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน' คุณเซนเธอว่างั้น

คนชอบเรียนก็คงกรี๊ดกร๊าด แต่คนขี้เกียจหลายคนกลับบ่นอุบ

เช่นพี่เพ็ญเป็นต้น…

"เลิกงานแล้วพี่ก็อยากรีบกลับบ้าน เข้าใจไหมคะน้องลิน แล้วพี่ต้องถ่อไปเรียนไอ้คอร์สพวกนี้เนี่ยนะ"

แกแอบรำพึงรำพันกับฉันตรงอ่างล้างมือในห้องน้ำ หลังจากที่เหลียวซ้ายแลขวาแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแน่ๆ การนินทากาเลเม้าท์มอยกันที่โต๊ะทำงานไม่สามารถทำได้อีกต่อไป หลังจากที่บรรดาเจ้านายมานั่งทำงานด้วย

อันที่จริงคนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆจากเรื่องย้ายโต๊ะทำงานน่าจะเป็นสาวป๊อปปูล่าร์อย่างฉันมากกว่าพนักงานคนอื่นๆ เพราะใครๆต่างก็ชอบเข้ามาคุยด้วย สมัยยังมีห้องทำงานส่วนตัว ลูกบิดประตูห้องทำงานฉันไม่เคยแห้งจากเหงื่อของผู้มาเยี่ยมเยียน

ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้คนต้องหาโอกาสมาเม้าท์มอยกับฉันตามในห้องน้ำบ้าง ห้องกาแฟบ้าง หรือบางทีก็เป็นบันไดทางขึ้นชั้นสอง หรือไม่ก็ตามมุมทางเดินต่างๆ

"พี่ก็ไปเรียนคอร์สเสาร์อาทิตย์ก็ได้นี่คะ คุณเซนแกไม่ได้บังคับ" ฉันพยายามเปิดทางเลือกให้พี่เพ็ญเรื่องการเรียนเสริม

"เสาร์อาทิตย์พี่ก็อยากจะนอนดูซีรีส์เกาหลีอยู่ที่บ้านให้ชุ่มฉ่ำใจน่ะสิคะ"

"ดูทั้งเสาร์อาทิตย์เลยเหรอคะ น่าจะว่างเอาไว้ซักวันนึงนะคะ"

"ถ้าว่างก็อยากนอน เข้าใจไหมคะ โถ เราแก่จะตายอยู่แล้ว นี่ก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะไปเรียนรู้อะไรอีกมากมายทำไม น้องลินเข้าใจพี่บ้างไหมคะเนี่ย" ดูเหมือนพี่เพ็ญพยายามจะเรียกร้องให้ฉันเข้าใจพี่เพ็ญเหลือเกิน ซึ่งฉันก็เข้าใจพี่เค้านะ

เพราะเอาเข้าจริง ฉันเองก็ห่างหายจากคอร์สเรียนเสริมทักษะอะไรพวกนี้ไปนานแล้วล่ะ

เอ่อ… ก็ขี้เกียจอะนะ แล้วคงเพราะหลังๆไม่ค่อยมีเงิน

พวกคอร์สอะไรพวกนี้เก็บเงินค่าเรียนกันแพงจะตายไป คอร์สนั่งสมาธิบางคอร์สก็เป็นหมื่นเลย ยิ่งพวกไลฟ์โค้ชอะไรพวกนั้น เห็นได้ข่าวว่าพวกที่ดังๆเขาคิดราคากันเป็นนาทีให้พูดคุยกันตัวต่อตัว นี่ฉันก็งงๆอยู่ ถ้าไลฟ์โค้ชแพงขนาดนั้น ก็ไปหาจิตแพทย์ตามโรงพยาบาลรัฐไม่ดีกว่ารึ ค่าบริการไม่น่าจะแพง หรือไม่ก็โทร 1323 สายด่วนสุภาพจิต นี่เค้าก็ฟรีมิใช่รึ

"เอ่อ ว่าแต่เรื่องที่จตุจักรนี่มันยังไงกันคะน้องลิน นี่คุณเซนเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้สองอาทิตย์เองนะคะ"

นึกอยู่แล้วว่าแล้วพี่เพ็ญต้องเข้าเรื่องสำคัญประจำวันนี้

"หูยพี่เพ็ญ จะไปฟังอะไรน้องน้ำหวานคะ ก็รู้ๆกันอยู่ ลินแค่บังเอิญเจอคุณเซนเค้าแค่นั้นค่า"

นี่วันนี้ฉันคงต้องคอยตอบคำถามนี้ทั้งวันเลยสิท่า งานเข้าจริงๆ!

"พี่ก็ว่านะคะน้องลิน เราจะไปสู้รบตบมืออะไรกับพวกเด็กๆเค้า เห็นคุณเซนแกนิ่งๆ แล้วก็ชอบหาเรื่องมาให้พวกเราไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ แต่สาวๆเค้าก็กรี๊ดกร๊าดกันทั้งบริษัทนะคะ แต่คือเรามันเลยวัยแล้วไงคะน้องลิน จะให้ไปออกตัวแรงอย่างสาวๆก็ไม่น่าจะได้ น้องลินเข้าใจพี่ไหมคะ"

คือ… อันนี้หนูไม่เข้าใจค่ะพี่เพ็ญ คือยังไงคะ พี่เพ็ญก็สนใจคุณเซน แต่ไม่อยากออกตัวแรงงั้นหรือคะ

"คืออายุระหว่างเราอาจต่างกันมากไปนิ้ด แต่อันที่จริงอะไรๆมันก็เป็นไปได้ใช่ไหมคะ น้องลินเข้าใจพี่ไหมคะ บางทีเราก็เหมือนจะไม่สน แต่บางครั้งสายตาคุณเซนแกก็เหมือนมีความหมาย บางทีเราก็อดที่จะเก็บเอามาคิดไม่ได้"

อ้าว… คือยังไงคะ คือพี่เพ็ญหลงเสน่ห์คุณเซนไปแล้วหรือคะ ไหนทำเหมือนว่าเป็นศัตรูคู่อริกันในตอนแรก

โอ้ว งงไปหมดแล้ว เอ้อ… งั้นปล่อยแกไปเถอะ สาวโสดรุ่นใหญ่มากขนาดนั้นย่อมมีความหวั่นไหวง่ายเป็นธรรมดา

กลับมาที่ปรัชญาแนวคิดเรื่องการเรียนเสริมของพี่เพ็ญกันก่อนดีกว่า จะว่าไปฉันก็คิดอย่างพี่เพ็ญแหละ แก่แล้วจะเรียนอะไรนักหนา ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หนามยอกต้องเอาหนามออก เอ่อ…

แต่ถึงกระนั้น หลังจากคุยกับพี่เพ็ญเสร็จ ฉันก็ลองเสิร์ชๆคอร์สที่อยากเรียนดูเล่นๆ แล้วฉันก็เริ่มตื่นเต้น พอมีคนพร้อมจะออกเงินให้เรียน แรงบันดาลใจมันก็จะเริ่มมาหน่อยๆ จะเรียนอะไรดีน้า

ในที่สุดฉันก็นึกออก มันเป็นสิ่งที่ฉันฝันไว้มานานแล้ว…

สิบเอ็ดโมง…

"พี่ลินอยากจะเรียนอะไรครับ" คราวนี้เป็นสุกรีที่ฉันเจอในห้องกาแฟ

"ก็คิดๆไว้อยู่นะ แต่ขออุบไว้ก่อน เผื่อเปลี่ยนใจ"

สิ่งที่ฉันอยากจะเรียนมันอาจทำให้หลายคนต้องอิจฉา ฉันยังไม่อยากแพร่งพรายมันออกไป

"ว่าแต่สุกรีว่าดีไหม ที่เค้าให้เรามีโอกาสไปเรียนเสริมอะไรพวกนี้"

"ดีสิครับพี่ ผมอยากมีโอกาสแบบนี้มานานแล้ว คอร์สเสริมพวกนี้มันแพงกว่าปกติ ตอนเด็กๆผมไม่มีโอกาสได้เรียนหรอก แต่ถึงแม้ตอนนี้ก็เถอะ เงินเดือนผมส่วนนึงก็ต้องให้พ่อแม่ ไม่มีเหลือมาจ่ายเรื่องความต้องการส่วนตัวอะไรพวกนี้หรอกครับ"

ฉันหันไปมองสุกรีด้วยความเห็นใจ แม้จะไม่ได้รู้จักคนในครอบครัวของสุกรีเป็นการส่วนตัว แต่ฉันก็ชอบถามไถ่ความเป็นไปถึงเรื่องของครอบครัวของผู้ร่วมงานอยู่เสมอ

บ้านของสุกรีไม่ได้มีฐานะร่ำรวย พ่อเป็นครูโรงเรียนเทศบาลใกล้เกษียณ และแถมด้วยการเป็นหนี้จากการไปค้ำประกันให้นักเรียนได้ไปเรียนต่อ ส่วนแม่ก็ขายอาหารในโรงเรียนที่พ่อสอนอยู่ สุกรีเรียนจบได้ด้วยทุนกู้ยืมกยศ นั่นก็เท่ากับว่า หลังเรียนจบสุกรีเริ่มต้นชีวิตของตนเองด้วยหนี้สิ้นทั้งของตัวเองและของครอบครัว

"ผมอยากเรียนร้องเพลง" สุกรีเผยความฝันในใจออกมา

"ผมรู้ว่าผมก็คงได้เรียนได้แค่คอร์สเดียวจากเงินของบริษัทนี่แหละ แต่อย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส ผมอยากจะรู้ว่าคนที่เป็นมืออาชีพเขาฝึกฝนกันยังไง"

ไม่บ่อยนักที่สุกรีจะพูดอะไรที่ดูจริงจัง หนุ่มวัยสามสิบห้าคนนี้อารมณ์ดีและมีมุกที่พร้อมจะปล่อยออกมาอยู่เสมอ ฮาบ้างไม่ฮาบ้าง ก็ว่ากันไป ภาระทางบ้านที่หนักอึ้งทำให้สุกรีหาทางออกโดยการพยายามมองโลกในแง่ดี และหมดเวลาหลังเลิกงานไปกับการรับทำงานเสริมข้างนอก

"ผมชอบคุณเซนเค้านะครับพี่"

"เฮ้ย! นี่คิดจะเปลี่ยนใจจากน้องก้อยเรอะ" ฉันเคยเจอแฟนสาวของสุกรีมาบ้าง น้องก้อยเป็นผู้หญิงที่น่ารักเรียบร้อย

"ป่าวพี่ ไม่ได้ชอบแบบนั้น" สุกรีหัวเราะ

"เอ๊ะ หรือยังไงดี หรือผมเริ่มๆคิดเรื่องนี้บ้างดีไหมพี่" อารมณ์ชอบอำของสุกรีกลับมาอีกครั้ง

"ก็ลองตริตรองดู เผื่อเป็นทางเลือกในชีวิตก็ดีนะ แต่ก็ต้องเคลียร์กับน้องก้อยให้รู้เรื่องด้วย" ฉันสนับสนุนลูกทีมทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ

"เอาไว้ผมจะลองไปคิดดู" สุกรียังอำตัวเองต่อไป

"ผมว่าคุณเซนเค้าดูจริงจังแล้วก็จริงใจดีนะครับพี่ลิน ดูกล้าได้กล้าเสีย กล้าลองอะไรใหม่ๆ ตัดสินใจเร็วดี" แต่แล้วสุกรีก็เลี้ยวกลับมาเป็นงานเป็นการอีกครั้ง

"อื้อ คงงั้นมั้ง แต่สุกรี… ของแบบนี้น่ะ มันต้องดูกันยาวๆ ยังตัดสินอะไรไม่ได้หรอก"

ฉันว่าพวกเรายังไม่รู้จักคุณเซนเค้าดีพอ ฉันยังเชื่อมั่นว่า เราต้องการระยะเวลาในการที่จะเรียนรู้นิสัยใจคอหรือตัวตนของใคร

"ก็ใช่ครับ เอ้อ ว่าแต่… เรื่องที่จตุจักรนี่มันเป็นมายังไงครับพี่" ในที่สุดสุกรีน้องรักก็ถามคำถามที่น่าเบื่อที่สุดของวันนี้ออกมาจนได้

โอ้ย! จะบ้าตาย!

เที่ยงครึ่ง…

ฉันปลีกตัวจากทุกคนขึ้นรถไฟฟ้ามาหาข้าวเที่ยงกินคนเดียวที่ห้างเทอร์มินอล 21 ฟู้ดคอร์ตที่นี่อร่อยดี ไม่แพงด้วย

ไม่ไหว เช้านี้ทั้งเช้า ไม่ว่าฉันจะขยับตัวลุกจากโต๊ะไปทำอะไร ฉันก็จะโดนประกบติดและมีเสียงกระซิบถามไถ่กันถึงเรื่องที่จตุจักรตลอดเวลา และยิ่งช่วงพักเที่ยงเยี่ยงนี้ นับเป็นเวลาที่ทุกคนรอคอยเพื่อที่จะได้ไต่สวนฉันได้อย่างเต็มที่

นี่ฉันไม่นึกว่าวงการนินทากาเลของบริษัทเราจะห้ำหั่นกันรุนแรงมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าวัฒนธรรมนี้มันเริ่มมาแต่หนไหนและจากใคร คือเวลาเม้าท์มอยเรื่องของคนอื่นน่ะสนุก แต่ถ้าหัวข้อนั้นเป็นเรื่องของตัวเอง ก็ไม่ค่อยสนุกแล้ว…

เมื่อวานตอนอยู่บนรถไฟฟ้า คุณเซนเค้าก็อุตส่าห์แสดงความเป็นห่วงแล้วนะ ฉันเองเป็นฝ่ายบอกว่าไม่แคร์ หลายครั้งที่ฉันก็ออกไปกินข้าวสองต่อสองกับสุกรีบ้าง กับพี่สมถวิลบ้าง ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนี่นา แต่ฉันคงลืมไปว่า คราวนี้คู่กรณีเค้าเป็นประธานบริษัทคนใหม่ที่ใครๆก็กำลังจับตามอง…

เฮ้อ! มื้อเที่ยงวันนี้ฉันจึงต้องหลบเร้นกายมาจากออฟฟิศชั่วคราว ขอเพียงให้แค่ผ่านพ้นวันนี้ไปให้ได้ พรุ่งนี้ก็น่าจะมีเรื่องอื่นมาแทน

"อ้าว พี่ลิน มาคนเดียวหรือครับ"

เว้ยเฮ้ย เจอคนในบริษัทอีกจนได้ นี่หนีไม่พ้นจริงๆ แต่คงไม่เป็นไร เพราะคราวนี้เป็นน้องอ้นจากโรงงาน คงยังไม่รู้เรื่องที่เค้ากำลังร่ำลือกันในออฟฟิศ

"อ้อ พอดีพี่อยากมาหาซื้ออะไรนิดหน่อยน่ะ" ฉันจำต้องปกปิด ทั้งๆที่ความจริงก็คือรำคาญพวกคุณมรึงในออฟฟิศนั่นล่ะค่ะ

"แล้วนี่อ้นเพิ่งเข้ามาจากที่โรงงานเหรอ" ทักทายกันตามมารยาทไป วันนี้ไม่มีอารมณ์พูดคุย

"ใช่ครับ นี่แวะกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว กำลังจะเข้าออฟฟิศ"

"โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันเน้อ"

ฉันรีบโบกมือร่ำลา คือตอนนี้ขออยู่คนเดียวได้สักสิบนาทีก็ยังดี

"เดี๋ยวครับพี่ เจอพี่ที่นี่ก็ดีแล้ว กำลังอยากถามอยู่พอดี เรื่องพี่กับคุณเซนน่ะครับ" น้องอ้นตรงดิ่งเข้าประเด็น

เฮ้ยยยยยย นี่ลือกันไปถึงที่โรงงานแล้วเรอะ โอ้วววว มายกร้อชชชชช…