webnovel

Chapter 1.3

[ควินซ์]

"ครับคุณวิภา วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ"

(ไม่เป็นไรค่ะ คุณควินซ์) ปลายสายไม่ได้เกรี้ยวกราดหรือโมโห (เรานัดกันวันอื่นก็ได้ค่ะ วันเสาร์ก็ได้นะคะ บริษัทเราเปิดทำการวันเสาร์ด้วยค่ะ)

"เสาร์อาทิตย์นี้ผมต้องบินไปจีน คงไม่สะดวก" ว่าแล้วก็เปิดปฏิทินดูตารางงาน "งั้นถ้าผมกลับมาจากจีนแล้วจะติดต่อไปอีกทีนะครับ"

(ได้ค่ะ ขอบคุณที่เลือกบริษัทเรานะครับ)

"ครับ" ผมกดตัดสายแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องยกเลิกนัดกับบริษัทจัดหาคู่ จู่ๆ ไอ้บอสบ้ามันก็เพิ่งมาบอกว่าเย็นนี้มีนัดทานข้าวกับลูกค้า เล่นเอาตารางชีวิตผมรวนไปหมดเลย

เมื่อเช้าแม่ของผมเดินทางมาจากเชียงใหม่เพื่อมาเยี่ยมและพูดเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงานของผม ผมถูกบ่นเกือบสามชั่วโมงเต็มๆ แถมแม่ยังจะให้ผมลาออกจากบริษัทอีกเพราะงานเยอะจนไม่มีเวลาหาคนรัก

งานสมัยนี้ยิ่งหายากอยู่นะแม่ แถมเงินเดือนที่ไอ้คุณบอสและเพื่อนสนิทคนนี้ให้มันก็เยอะซะจนไม่อยากเปลี่ยนงาน จริงๆ ให้เปลี่ยนงานมันก็ได้แต่บางอย่างเราทำจนเคยชินไปแล้วก็ไม่อยากไปเริ่มอะไรใหม่ๆ

ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีกับงาน เพราะงานของผมมันหลากหลายและได้พบเจอผู้คนมากมายมันเลยไม่น่าเบื่อ

พูดถึงเรื่องหาคนรัก ผมก็ไม่มีแฟนมาจะเอ่อ...เจ็ดแปดปีแล้วมั้ง แฟนคนล่าสุดเมื่อแปดปีที่แล้วเลิกกันก็เพราะเรื่องความบ้างานของผมนี่แหละ เฮ้อ

ตอนนี้ก็อายุสามสิบสองแล้ว จะหาคนรักก็ยากหน่อย แล้วผมก็คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ถึงไปติดต่อบริษัทหาคู่เพื่อหาคู่เดตให้ผม แต่เอาเถอะ...ลองดูก็ไม่เสียหาย

แต่ยังไม่ทันได้ลองก็พังพินาศเพราะงานอีกแล้ว

"เฮ้อ" ถอนหายใจอีกครั้งแล้วเริ่มตั้งใจทำงานต่อ

ตรงหน้าผมคือสำเนาบทละครเรื่องใหม่ของคุณศศิกานต์และตอนนี้มันกำลังถูกผมขีดเขียนด้วยปากกาไฮไลท์เน้นข้อความ จากที่อ่านดูคร่าวๆ แล้วมีบทตัวเอกที่เหมาะกับนักแสดงของเราอยู่ ถึงจะไม่ใช่บทพระนางแต่ก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจ

หลังจากตัดสินใจที่จะเอาบทนี้ให้กับนักแสดงที่คิดไว้ในหัวแล้วก็เริ่มเช็กคิวงานในเว็บไซต์ของบริษัทก่อน เมื่อเห็นว่าว่างก็โทรไปสอบถามผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงอีกทีเพื่อความมั่นใจ

"ใช่ครับ ยังไม่ได้รับงานใช่มั้ย อืม งั้นสองสามวันนี้อย่าเพิ่งรับงานละคร พอดีผมมีบทน่าสนใจให้น้องคะนิ้งแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้รึเปล่า"

"ไม่ต้องขอบคุณขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมทำตามหน้าที่" ผมบอกปัดนัดกินข้าวของผู้จัดการนักแสดงออกไป เขาว่าจะเลี้ยงอาหารขอบคุณแต่จุดประสงค์ก็คงอยากติดสินบนให้ผมช่วยดันเด็กเขาล่ะมั้ง

วงการบันเทิงน่ะนะ เรื่องพวกนี้เป็นปกติ

รีบคุยธุระและรีบตัดสายไป บางทีผมอาจจะต้องเปลี่ยนผู้จัดการคนนี้ออกไปแล้วสิ พฤติกรรมค่อนข้างแย่อยู่นะ แต่เรื่องที่เขาดูแลศิลปินดีก็ต้องยกให้จริงๆ

กว่าผมจะจัดการเรื่องงานละครเสร็จก็ปาไปห้าโมงสิบห้าแล้ว จากบริษัทไปร้านอาหารมาดามลิลลี่ก็ครึ่งชั่วโมง ถ้ารถติดก็หนึ่งชั่วโมง ผมรีบลุกจากโต๊ะเพื่อไปแจ้งนับหนึ่งว่าอีกสิบนาทีต้องออกจากบริษัทแล้ว

เมื่อเข้าห้องทำงานของท่านประธานไปก็พบกับความว่างเปล่า

ผมเลยเดินเข้าไปเปิดประตูที่อยู่ทางขวาด้านหลังโต๊ะทำงานเพื่อไปตามคน ในห้องทำงานนี้ยังมีห้องนอนกับห้องน้ำด้วย ทำไมต้องมีเหรอ ก็เพราะคนบ้างานอย่างนับหนึ่งมันทำงานข้ามวันข้ามคืนไม่กลับบ้านน่ะสิ

เข้ามาในห้องนอนแล้วก็ปิดประตู มองหาเจ้าของห้องก็ไร้เงาแต่หูได้ยินเสียงฝักบัวคงกำลังอาบน้ำใหม่อยู่ มองไปที่ตะกร้าเสื้อผ้าที่ใช้แล้วก็เห็นเสื้อสูทวันนี้เลอะหมึกปากกาก็ร้องอ้อ

"จะใส่สูทสีดำเหรอ" มองเสื้อผ้าบนเตียงที่เตรียมไว้จะใส่คืนนี้แล้วรู้สึกว่าเนคไทมันไม่เข้ากับสูทนักเลยไปเปิดลิ้นชักหาเนคไทเส้นใหม่ให้

ตอนที่กำลังหาเนคไทอยู่ เสียงในห้องน้ำก็เงียบไปแล้วและนาทีต่อมาก็มีคนเดินออกมาจากห้องน้ำ

"หาอะไรควินซ์" เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยถาม

"กำลังหาเนคไทใหม่ให้" ว่าจบแล้วก็เจอสีที่เหมาะ "รีบแต่งตัวซะ เดี๋ยวไปไม่ทันนัด"

มีเสียงตอบกลับมาแค่อาๆ อืมๆ ไม่ได้กระตือรือร้นเลย ผมปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าแล้วหันไปมองเพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งเจ้านายเล็กน้อยก็รู้สึกวันนี้เหมือนมีอะไรแปลกๆ

"เสื้อคลุมอาบน้ำไปไหน" ปกตินับหนึ่งจะชอบใส่เสื้อคลุมอาบน้ำหลังอาบน้ำเสร็จแต่วันนี้กลับมีผ้าขนหนูพันรอบเอวแค่ผืนเดียว

ผมไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไรแต่แค่แปลกใจ

วันนี้เพื่อนผมมันก็ดูแปลกๆ ทำตัวพิลึกกว่าทุกวัน

"ลืมหยิบเข้าไป" ตอบหน้าตายแล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมเปียกๆ ต่อไป "ทำไม? นายเขิน?"

"แก้ผ้าจนเห็นหมดทุกสัดส่วนแล้วยังมีอะไรให้เขิน" ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรแล้วเอาเนคไทไปวางที่เตียง

"จริงเหรอ เห็นหมดแล้วจริงดิ" อะไรของมันวะ

"เลิกเล่นแล้วรีบแต่งตัว" เริ่มขมวดคิ้วยุ่ง "อย่าให้ลูกค้าต้องรอ"

คนถูกตำหนิไม่ได้สะทกสะท้านยังคงทำอะไรอ้อยอิ่งต่อ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปหยิบไดร์เป่าผมออกมาเพื่อเป่าผมให้เจ้านายคนนี้

นับหนึ่งเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะกระจกอย่างว่าง่าย ผมเริ่มเป่าผมให้เขาด้วยสีหน้าปกติเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้ นับหนึ่งเป็นพวกทำแต่งานแต่การใช้ชีวิตติดลบต้องมีคนคอยสั่งคอยกำกับดูแล

ไม่งั้นก็ลืมนอนลืมกินลืมพักอ่ะคนนี้

"ควินซ์"

"อะไร"

"นายชอบคนแบบไหน"

ผมขมวดคิ้วทันที "จู่ๆ มาถามอะไร"

"ก็อยากรู้สเปกเพื่อนบ้าง ผิดอะไร" นับหนึ่งว่าอย่างไหลลื่น "ไม่ค่อยเห็นมึงมองใครเท่าไร"

ทำงานงกๆ ทุกวันจะเอาเวลาไหนไปมองหาคนกัน

"ก็ไม่ได้มีสเปกตายตัวนะ" ขยุ้มผมเปียกเบาๆ แล้วเอาไดร์เข้ามาเป่าใกล้ๆ "แต่คงต้องหน้าตาดี มีการศึกษา ฐานะยังไงก็ได้ แต่เอาจริงๆ มันก็ต้องดูที่นิสัยเป็นหลัก"

แม่บอกให้ผมรีบหาแต่เรื่องพวกนี้มันก็รีบไม่ได้ด้วยสิ มันต้องใช้เวลาศึกษานิสัยเยอะๆ

"ควินซ์" เรียกจังว่ะ วันนี้เป็นอะไรครับคุณ

"อะไร"

"มึงว่ากูหน้าตาดีมั้ย"

"ดี"

"กูดูมีการศึกษาปะ"

"จบตรีสามใบ โทหนึ่งใบ มึงยังไม่พอใจเหรอ?" จะเรียนเอาโล่รึไง

นับหนึ่งยังคงถามต่อด้วยสีหน้าปกติ "แล้วฐานะกูเป็นไง"

"มึงจะอวดรวยรึไงไอ้ป๋า" กูอยากเอาไดร์เป่าผมฟาดหัวจริงๆ

"แล้วนิสัยกูอ่ะ ดีใช่ป่ะ ดีมากใช่มั้ย"

วันนี้มันกินอะไรผิดมารึไงถึงได้มาถามอะไรแปลกๆ

"นิสัยมึงเหรอ"

"อืมๆ"

"ก็...เหี้ยไง"

เออ ไม่น่าถามเลยนะ