จวนเยี่ยอ๋อง
ห้องทำงานของเยี่ยอ๋อง
ภายในห้องหนังสือของเยี่ยอ๋องผู้เป็นเจ้าของเรือนกำลังนั่งปรึกษาหารือเรื่องสำคัญกับคนสนิทของเขา ซึ่งก็คือ ซ่งเฉาเกา[1]
"ท่านซ่ง เรื่องที่ข้าสั่งให้ไปจัดการ ตอนนี้ดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้ว"
เยี่ยอ๋องนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน และเอ่ยถามคนสนิทขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
[1] ซ่งเฉาเกา มีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางขั้นสาม ในกรมโยธาธิการ
ซ่งเฉาเกานั่งอยู่ตรงโต๊ะรับแขกด้านข้าง เยื้องมาทางด้านหน้าตรงช่วงกลางห้อง ในขณะที่กำลังยกถ้วยชาที่ถืออยู่ขึ้นดื่มอย่างสบายใจ เมื่อวางถ้วยในมือลงบนโต๊ะเช่นเดิม เขาก็เงยหน้าขึ้นและหันมองไปทางเจ้าของเรือน
"ท่านอ๋องมิต้องเป็นกังวลเรื่องนั้นไป ข้าได้กำชับคนของเราเร่งสับเปลี่ยนและขนย้ายอาวุธจริงให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ส่วนสถานที่จัดเก็บก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้" ซ่งเฉาเกากล่าวรายงานเยี่ยอ๋องอย่างใจเย็น น้ำเสียงของเขาฟังดูมั่นใจในแผนการของตนมาก
แต่เยี่ยอ๋องกลับไปไม่ได้มั่นใจในคำพูดของคนสนิทเลยแม้แต่น้อย เขาชักสีหน้าขึงขัง เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างแรงและกล่าวเสียงแข็งย้อนถามขึ้น
ปัง!
"ท่านยังมีหน้ามาใจเย็นอยู่เช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน!"
ขุนนางขั้นสามขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความฉงนสงสัย และถามกลับอย่างแปลกใจ
"เหตุใดท่านอ๋องถึงได้กล่าวถามข้าเยี่ยงนั้นกันเล่า นี่ท่านไม่ไว้วางใจและเชื่อใจในฝีมือการทำงานของข้าแล้วหรอกงั้นหรือ"
เยี่ยอ๋องผู้ที่วางตัวสุขุม เก็บซ่อนความคิดและความรู้สึกที่แท้จริงไว้ข้างในมาโดยตลอดถึงกับฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้นจากคู่สนทนา เขาหยิบถ้วยชาตรงหน้าและปาไปตรงกลางพื้นห้องหนังสือ เพื่อหวังระบายโทสะที่กำลังคุกรุ่นของตน
เพล้ง!
จากนั้นเยี่ยอ๋องก็ได้โยนกลักอันเล็กลงบนโต๊ะทางด้านหน้าของตน ใบหน้าโกรธขึ้ง
แกร็ง!
"ท่านแหกตาดูด้านในเอาเอง นั่นคือสิ่งที่สายลับของข้าส่งมา เมื่อตอนยามเฉินของวันนี้"
ซ่งเฉาเการู้สึกสงสัยและหวั่นเกรงในท่าทีที่กำลังแสดงออกมาของเยี่ยอ๋อง เขาจึงลุกขึ้นเดินตรงไปหาอีกฝ่าย และได้หยิบกลักนั้นขึ้นมาพร้อมกับเปิดดูสิ่งที่อยู่ด้านใน
เมื่อได้ขุนนางขั้นสามผู้นี้ได้อ่านเนื้อความที่เขียนไว้บนกระดาษแผ่นสีน้ำตาลซึ่งสอดอยู่ในกลักนั้นเรียบร้อย เขาก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
"นี่มัน!...หลงอี้หลิงผู้นั้นได้นำกำลังหน่วยพลทหารของเขา ไปบุกทำลายฐานลับของพวกเราซึ่งอยู่บนเขาใกล้เมืองจิ่วพ่ายแพ้แตกย่อยยับไปแล้ว...จะเป็นไปไม่ได้ยังไงกัน! เมื่อสองวันก่อน ข้าเพิ่งเดินทางไปตรวจสอบดูความเรียบร้อยของที่นั่นด้วยตนเอง"
ขุนนางขั้นสามถึงกับมีสีหน้าตื่นตกใจ เพราะเขาเองก็เคยได้ยินว่า แม่ทัพหนุ่มผู้จองหองคนนั้นมีกองพลหน่วยลับอยู่ และคาดเดาได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือองค์ฮ่องเต้ หากแต่ไม่มีหลักฐานและไม่รู้ตัวตนของหน่วยลับว่ามีผู้ใดบ้าง
เยี่ยอ๋องขยำกระดาษซึ่งวางอยู่ตรงหน้าเขาจนยับยู่ยี่ มืออีกข้างที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานกำหมัดแน่น สีหน้าและแววตาฉายประกายความโทสะและความทะเยอทะยานอยากได้ในอำนาจอย่างที่สุด
"ข้าไม่อยากฟังคำแก้ตัว เจ้าประมาทเจ้าหนุ่มนั่นมากจนเกินไป ข้าเคยเตือนแล้วว่าความมั่นใจในตัวเองของเจ้า จะนำพามาซึ่งความล้มเหลวในสักวัน"
เยี่ยอ๋องกล่าวตำหนิต่อคนสนิทต่อเนื่องไม่หยุด เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ซ่งเฉาเกาไม่อาจจะโต้เถียงและปฏิเสธในคำกล่าวนี้ของเยี่ยอ๋องได้ เพราะเขาเองก็ประเมินความสามารถของแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นไว้ต่ำเกินไปจริง ๆ และนั่นคือความประมาทที่อีกฝ่ายกล่าวถึง เขาจึงน้อมรับคำตำหนิ
"ข้าต้องขออภัยเยี่ยอ๋องต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าน้อยเอง ข้ารับปากว่าจากนี้ข้าจะไม่พลาดพลั้งอีกอย่างแน่นอน"
"ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุด คือท่านต้องรีบไปเร่งคนของท่านให้เตรียม ทุกอย่างและกองกำลังคนไว้ให้พร้อม อีกไม่นานก็จะถึงเวลาของแผนการที่วางไว้เสียที บัลลังก์มังกรนั่น! จะต้องหวนคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง อย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน"
กุกกัก กุกกัก
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่อย่างเคร่งเครียด พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังลอดเข้ามาตรงหน้าประตูห้อง ทั้งคู่จึงพากันเงียบเสียงลงและสบตากัน จากนั้นก็พากันหันมองไปตามทิศทางที่ได้ยิน
"ใครอยู่ตรงนั้น!" เยี่ยอ๋องกล่าวถามเสียงดังขึ้นน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งอำนาจ
"ขะ ข้าเอง ชิงเซียว พอดีข้าได้ยินว่าท่านพ่อไม่ค่อยสบายเลยไปหาซื้อน้ำชาชั้นดีจากทางตะวันตกเพื่อให้ท่านพ่อลองชิมดู แต่หากท่านพ่อไม่สะดวก เอาไว้ข้ากลับมาใหม่ก็ได้" ธิดาอ๋องขานรับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย
เมื่อเยี่ยอ๋องและซ่งเฉาเการู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องนั้นเป็นใคร ดวงตาของพวกเขาฉายแววครุ่นคิดกังวลและระแวดระวังออกมาให้เห็น
ทว่าผู้เป็นบิดารักบุตรสาวของตนเป็นที่สุด แม้จะกำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่ เขาก็ไม่อยากที่จะหักหาญน้ำใจของนางลงได้
"ในเมื่อนำมาแล้วก็เปิดประตูเข้ามาเถอะ"
ธิดาอ๋องได้รับการอนุญาตจากบิดา นางจึงได้เปิดประตูห้องออก และเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับถงเสี่ยวเถา ที่เป็นคนถือถาดน้ำชาเดินตามหลังมาอย่างประหม่า
บุรุษวัยกลางคนค่อนไปทางชราทั้งสอง ไม่รู้ว่าพวกนางได้ยินการสนทนาของพวกเขาก่อนหน้านี้ไปมากน้อยเพียงใด แต่ก็พยายามปรับสีหน้าและวางตัวปกติเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต
เยี่ยชิงเซียวเห็นว่าซ่งเฉาเกาเองก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือของบิดาด้วย นางจึงหันไปยิ้มเบา ๆ และทักทายตามมารยาท
"ท่านซ่ง"
แขกของบ้านก็ได้ยิ้มและโค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อม พร้อมกับทักทายและชื่นชมธิดาอ๋อง ตามมารยาทเช่นกัน
"วันนี้คุณหนูเยี่ยก็ยังดูงดงามเฉกเช่นทุกวันนะขอรับ"
เยี่ยชิงเซียวไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขามากนัก เพราะนางรู้ใจเจตนาของคำชมนั้นเป็นอย่างดีว่ามีสิ่งใดแอบแฝงอยู่ คนเหล่านี้กล่าวคำประจบสอพลอเช่นนี้ก็เพื่อหวังได้อำนาจต่อจากบิดาของนางนั่นเอง จากนั้นเจ้าหล่อนก็หันหน้าไปทางสาวใช้คนสนิทของตนและกล่าวขึ้นสั้น ๆ
"เสี่ยวเถา..."
แม้ว่าผู้เป็นนายเพียงแค่เอ่ยชื่อของนางโดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ แต่ถง-เสี่ยวเถาก็รู้งานของตนเป็นอย่างดี นางรีบนำถาดน้ำชาและมีขนมหวานวางอยู่ด้วย นำไปวางลงบนโต๊ะของเยี่ยอ๋องอย่างไม่รอช้า
ซ่งเฉาเกามองเห็นสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้า พลันทำให้เขานึกถึง เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขายิ้มอ่อนขึ้นบนใบหน้า ในใจก็คิดว่าคราวนี้เป็นทีของเขาแล้วสินะ
"ท่านอ๋องช่างเป็นบิดาที่โชคดีเสียนี่กระไรนะขอรับ ที่มีธิดาเอาใจใส่และดูแลดีเยี่ยงนี้"
เยี่ยชิงเซียวได้ฟังน้ำเสียงและสังเกตแววตาของซ่งเฉาเกาผู้นี้ กลับไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกเขาชื่นชม ตรงกันข้าม นางกลับรู้สึกว่าเขากำลังมีแผนการบางอย่างในใจ
"ท่านซ่งอิจฉาท่านพ่อขนาดนี้ แล้วเหตุใดท่านอยู่มาจนแก่อายุปูนนี้แล้ว ถึงได้ไม่รีบมีทายาทเสียทีล่ะ"
เยี่ยชิงเซียวรู้สึกขัดหูขัดตาเวลาเห็นสายตาแทะโลมของซ่งเฉาเกามองนางมา เพราะมันช่างดูคล้ายหมาป่าจ้องจะขย้ำเหยื่ออยู่ตลอดเวลา จึงได้ตั้งใจพูดจาเหน็บแนมเขากลับไปเยี่ยงนั้น โดยไม่สนใจว่าบิดาที่นั่งอยู่ในห้องด้วยจะรู้สึกหรือคิดเห็นเช่นไร
ขุนนางขั้นสามผู้ฝักใฝ่ในอำนาจและเต็มไปด้วยความโลภ จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้ว่าจะต้องยอมก้มหัวสวามิภักดิ์ต่อสองพ่อลูกคู่นี้ก็ตาม แต่ทว่าพอถูกสตรีสูงศักดิ์ผู้แสนเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ กล่าว ดูหมิ่นเหยียดหยามเหน็บแนม เสมือนหนึ่งว่าตนเป็นคนไร้น้ำยาจึงไร้ซึ่งทายาทมาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ เขาก็เกิดบันดาลโทสะขึ้นมาในใจทันที แต่กระนั้นเขาก็ทนฝืนกัดฟัน และข่มความโกรธของตนไว้ในใจ
"ตัวข้าคงไร้ซึ่งวาสนากระมัง จึงยังไม่มีทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูลจนถึงตอนนี้ แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ ข้าได้ยินข่าวมาว่าเมื่อหลายวันก่อนคุณหนูได้นำขนมหวานไปเยี่ยมเยียนคนสกุลหลงถึงเรือน และจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับ สาวใช้ของท่านแม่ทัพหนุ่ม แถมข่าวลือยังเล่ากันว่านางหมดสติลงทันที หลังจากที่กินขนมนั้นเข้าไป"
เยี่ยอ๋องได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัยและอยากรู้ อย่างรวดเร็ว
"ข่าวลืออะไรกัน ทำไมข้าถึงไม่ได้ยินมาก่อน ท่านซ่งไปได้ยินอะไรมา รีบเล่าออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้"
ซ่งเฉาเกายิ้มอ่อนอย่างผู้เหนือกว่า และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ข่าวลือที่ว่า...คุณหนูเยี่ยอาจจะเป็นผู้ลอบวางยาพิษในขนมหวานนั่น เพื่อหวังทำร้ายคนสกุลหลงก็เป็นได้" ขุนนางขั้นสามกล่าวตอบและแกล้งหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะพูดต่อ
"ฮ่าฮ่าฮ่า...นี่ถ้าข้าไม่รู้จักท่านอ๋องกับคุณหนูเป็นอย่างดี ข้าคงจะเชื่อข่าวลือนั่นไปแล้วเช่นกัน"
เยี่ยชิงเซียวโกรธจนหน้าเขียว นางหันไปชักสีหน้าใส่เขาและแสดงความไม่พอใจต่อซ่งเฉาเกาอย่างชัดเจน ก่อนที่จะหันไปมองหน้าและสบตากับบิดาของตน แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้พูดอธิบายอะไร ผู้เป็นบิดาก็ได้ตะคอกถามเสียงดังขึ้นเสียก่อน
"นี่พวกเจ้าไปแอบก่อเรื่องไว้ที่สกุลหลงอย่างงั้นรึ!"
ความโกรธเกรี้ยวของเยี่ยอ๋องได้แสดงออกมาด้วยการแผดเสียงดังใส่ สตรีทั้งสอง มันได้สร้างความตกใจกลัวต่อพวกนางยิ่งนัก โดยเฉพาะสาวใช้ คนสนิทของธิดาอ๋อง
เยี่ยชิงเซียวยังคงเชิดหน้าชูคอตั้งสูง และปฏิเสธยืนกรานเสียงแข็งอย่างมั่นใจ
"ข้าไม่ได้กระทำสิ่งใดอย่างเช่นที่ท่านซ่งกล่าวมาเลยสักนิด"
ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าบุรุษทั้งสองคนที่เห็นและรู้จักนางมาตั้งแต่เด็กจะเชื่อในคำพูดนั้นของนาง
โดยเฉพาะผู้เป็นบิดา เมื่อเขาเหลือบตามองไปดูสาวใช้คนสนิทของบุตรสาว ก็เห็นว่านางผู้นั้นกำลังยืนตัวสั่นระริก สีหน้าซีดเผือดราวไก่ต้ม
เยี่ยอ๋องพยายามข่มความโกรธของตนไว้ข้างใน และหันไปกล่าวตัดบทการสนทนากับซ่งเฉาเกาทันที
"วันนี้ท่านซ่งกลับเรือนไปก่อนเถิด วันหน้าเราค่อยมาว่ากันใหม่ ยังไงข้าก็ฝากความห่วงใยไปถึงฮูหยินของท่านด้วย และขอโทษที่ก่อนหน้านี้ บุตรสาวของข้าเสียมารยาทต่อท่าน"
แม้ว่าเยี่ยอ๋องไม่ได้กล่าวออกมาตรง ๆ แต่ซ่งเฉาเกาก็เข้าใจในความหมายของถ้อยคำนี้ดี เพราะเขาคงไม่อยากให้ตนรับรู้เรื่องภายในของครอบครัวเขา แถมยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน อ๋องผู้นี้ยิ่งไม่อยากให้รั่วไปถึงหูคนนอกนั่นเอง
"เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว ท่านอ๋องโปรดรักษาตัวด้วย"
ซ่งเฉาเกายกมือขึ้นพร้อมกับโค้งศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อกล่าวลาตามมารยาท จากนั้นก็ได้หันไปกล่าวลากับธิดาอ๋องเช่นกัน
"คุณหนูโปรดรักษาตัวด้วย"
แต่ตอนนี้เยี่ยชิงเซียว คงมิอาจที่จะแกล้งทำมารยาทดีต่อเขาได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาได้หาเรื่องให้นางด้วยการนำเอาความลับของนางมาฟ้องบิดาให้รู้เรื่องนั่นเอง จึงได้เพียงชำเลืองมองเขากลับไปด้วยหางตา และกล่าว เหน็บแนมเขากลับด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ
"เรื่องนั้นคงมิรบกวนให้ท่านซ่งต้องมาเป็นกังวล เพราะข้าอายุขัยยังน้อยไม่แก่ชราเหมือนท่าน เอาเวลาไปใส่ใจและห่วงใยฮูหยินของท่านเถิด จะได้มีลูกหลานสืบทอดตระกูลไว ๆ"
คำพูดนี้ของเยี่ยชิงเซียวช่างเสียดสีทิ่มแทงใจคนฟังยิ่งนัก แต่ซ่งเฉาเกาทำได้แค่เพียงอดกลั้นและทนเก็บความดูถูกนี้ไว้ในใจ เขากำหมัดแน่นเพื่อข่มความโกรธ ก่อนที่จะหันไปคารวะต่อเยี่ยอ๋อง และขอตัวกลับไป
....
เซียงไค 盛開