เมื่อตั้งสติได้ ฟ่งหลันหลั่นกล่าวปฏิเสธขึ้นอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่
"ไม่ได้! ท่านจะนอนค้างที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด นี่มันห้องนอนของข้า ท่านรีบลุกขึ้นและกลับไปยังห้องของตัวเองได้แล้ว ข้าไม่รู้สึกขำด้วยนะ"
สตรีน้อยไม่รอช้ารีบเอื้อมแขนไปคว้าข้อมือใหญ่และหนาของบุรุษ รูปงามเพื่อหวังจะฉุดกระชากเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงนอนของตน
แต่ทว่า แม่ทัพหนุ่มกลับใช้แรงของบุรุษที่มีมากกว่า ฉุดรั้งดึงร่างน้อยอรชรลงไปนอนทาบทับบนเรือนร่างของเขาอย่างง่ายดาย พร้อมกับสวมกอดรัดนางไว้อย่างฉับพลัน
ฟ่งหลันหลั่นออกแรงต่อต้านเขาอย่างเต็มกำลัง แต่แรงของสตรีผู้บอบบาง ไฉนเลยจะสู้แรงกำยำของบุรุษผู้แข็งแกร่งได้กันเล่า
"ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ" สตรีน้อยกล่าวขึ้นอย่างขึงขังและออกแรงดิ้นไม่หยุด
แต่ยิ่งออกแรงดิ้นมากเท่าไร อีกฝ่ายก็ออกแรงกอดรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น
บุรุษรูปงามพิจารณาสีหน้าของร่างบางในวงแขน หัวใจอันเคร่งเครียดของเขาเต้นแรงจนแทบกระดอนขึ้นมาอยู่ที่คอ
ตอนนี้ดวงหน้าของโฉมสระครวญอยู่ห่างจากใบหน้าอันหล่อเหลาของบุรุษรูปงามตรงหน้าเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งสองประสานตากันเนิ่นนานราวกับผ่านไปนับศตวรรษ
ลมหายใจร้อนผ่าวแฝงโทสะ พ่นออกมาสัมผัสดวงหน้างาม สองแก้มนวลของสตรีน้อยดุจถูกย้อมด้วยชาด แดงระเรื่อเพริศพริ้ง งดงามตราตรึงคน
หลงอี้หลิงเก็บความรู้สึกปั่นป่วนพลุ่งพล่านไว้ภายใต้สีหน้าสงบนิ่ง
ขณะนี้ฟ่งหลันหลั่นไม่สามารถจะขยับตัวได้เลยสักนิด หัวใจของนางหดเกร็งด้วยความตื่นเต้น แต่กระนั้นนางก็ได้รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาจนได้
"นะ นายน้อยรูปงาม ท่านช่วยปล่อยข้าก่อนได้ไหม หากท่านโกรธเรื่องที่ข้าแอบลักลอบเข้าไปยังจวนเยี่ยอ๋อง ข้าก็จะยอมถูกท่านสั่งลงโทษโบยหลังตามที่ต้องการ"
ริมฝีปากบางพรั่งพรูถ้อยคำหวานออดอ้อนเจ้าของวงแขนอันแข็งแรงซึ่งกำลังโอบกอดรัดตัวนางอย่างแนบแน่น และพยายามข่มใจของตัวเองที่ฟุ้งซ่านอยู่ให้สงบลง
หลงอี้หลิงมิได้ตอบคำถามใด ๆ ดวงตาคมกริบยังคงจ้องมองดวงหน้างาม
ทว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ
ชั่วพริบตานั้น หลงอี้หลิงก็ได้มอบจุมพิตของเขาให้กับโฉมงามตรงหน้า
สองมือวางอยู่ที่บั้นเอวของนางประคองร่างอ่อนปวกเปียกเอาไว้
ดวงตาสีดำสดใสกลมโตเบิกโพลงขึ้นและค้างไว้อย่างตกใจ
จุมพิตที่ดุดันปานนี้ยิ่งคล้ายต้องการประทับมันลงกลางใจนางอย่างเผด็จการ ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่มของนางอย่างจาบจ้วงอุกอาจ
จุมพิตนี้ดูดดื่มขึ้นเรื่อย ๆ นางก็รู้ได้ว่าโทสะเขาคลายลงแล้ว
ฟ่งหลันหลั่นค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง และเคลิบเคลิ้มไปกับจุมพิตกระตุ้นอารมณ์ของเขาอย่างลืมตัว
จู่ ๆ หลงอี้หลิงก็คลายจุมพิตของเขาออกจากริมฝีปากบางสีชมพู และยืนใบหน้าหล่อเหลาเขาไปกระซิบข้างใบหูของสตรีน้อย
"คืนนี้ข้าจะลงโทษเจ้าเพียงแค่นี้ แต่หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ครั้งหน้า...ข้าจะไม่หยุดมือเอาไว้แค่นี้แน่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองดู"
น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาละมุนหูเปล่งออกมาอย่างหยอกเย้าโฉมตรูใน อ้อมแขนด้วยความพึงพอใจ
"ลงโทษข้าอย่างงั้นหรือ ?"
ฟ่งหลันหลั่นได้ฟังเช่นนั้น ความเขินอายที่มีก่อนหน้าพลันเป็นโทสะโกรธขึ้งขึ้นมาที่รู้ว่าถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งแถมยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกของนางเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยเพราะวงแขนหนายังคงสวมกอดรัดตัวนางไว้แน่น จึงทำได้แค่เพียงชักสีหน้าบึ้งตึงค้อนใส่เขาและเบือนหน้าหนีไปด้านข้างอย่างแรง
"ท่านคงถือดีว่าตัวเองเป็นเจ้าของเรือนแห่งนี้ เลยกลั่นแกล้งรังแกข้าอย่างเผด็จการสินะ"
น้ำเสียงของเจ้าของเตียงนอนเต็มไปด้วยถ้อยคำประชดประชันค่อนขอดอีกฝ่าย
หลงอี้หลิงไม่เพียงที่จะไม่โกรธอีกฝ่าย สีหน้าของเขาดูเอ็นดูและดูมีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งสาวใช้แสนซนผู้นี้ แถมยังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกร้ายบนใบหน้าอันหล่อเหลา พร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างมีเลศนัย
"นี่ก็เลยยามอิ๋นมามากแล้ว หากเจ้าไม่รีบปิดเปลือกตาลงและนอนหลับเสียเดี๋ยวนี้ ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนี้..."
คำขู่ของหลงอี้หลิงนั้นกลับได้ผล สตรีน้อยจินตนาการภาพในหัวตามทันที
"ตะ แต่ใครจะข่มตานอนหลับลงในท่านี้กัน ท่านช่วยปล่อยข้าก่อนได้ไหม ข้าจะได้นอนลงบนเตียงให้สบายตัว ขืนให้นอนในท่านี้ทั้งคืนข้าคงจะ..." นางพยายามคิดหาข้ออ้างเพื่อให้อีกฝ่ายคลายวงแขนของเขาออก
"นอนมันทั้งอย่างนี้แหละ หรือถ้าเจ้านอนไม่หลับ ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าช่วยกล่อมเจ้านอนดีไหมล่ะ"
ดูเหมือนถ้อยคำนี้ของแม่ทัพหนุ่มจะได้ผล แม้ว่าตอนนี้ฟ่งหลันหลั่นกำลังนอนทาบทับอยู่บนเรือนร่างอันแข็งแรงของเขา แต่นางก็รีบปิดเปลือกตาลงและฟุบดวงหน้างามของตนลงบนหน้าอกหนากว้างของเขาด้วยความจำใจอย่างรวดเร็ว
'ข้าจะบ้าตาย! สถานการณ์แบบนี้ใครจะปิดตานอนหลับสนิทได้ เขากินยาผิดมาหรือว่าเผลอไปถูกยากำหนัดที่ไหนเข้ากันนะ จู่ ๆ ถึงได้หื่นกามขึ้นมาแบบผิดปกติไม่เป็นตัวเขาเช่นนี้'
ตอนนี้จิตใจของฟ่งหลันหลั่นเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านกระวนกระวายอย่างไม่เป็นสุข พอ ๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะของนาง
ตึกตัก!
ตึกตัก!
สองมือของหลงอี้หลิงโอบกอดรัดบั้นเอวอรชรของสตรีน้อยแน่นยิ่งขึ้น แม้ว่าไฟราคะอันร้อนรุ่มภายในกายของเขาจะกำลังเดือดพล่านระส่ำไปทั่วทั้งตัว หัวใจก็แทบจะพุ่งทะลุออกมานอกหน้าอก แต่เขาก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความเป็นชายเอาไว้อย่างทรมานยิ่งยวด และรอจนกว่าเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
เพลาผ่านไปมินาน ทั้งสองก็ผล็อยหลับไปในท่านั้นด้วยความอ่อนเพลีย
ยามเฉิน[1] ของเช้าวันใหม่
ในขณะที่จางเก่อกำลังเดินมายังเรือนพักส่วนตัวของแม่ทัพหนุ่ม เพื่อเริ่มรายงานข่าวสารตามหน้าที่ของตนเฉกเช่นทุกวัน สายตาก็เหลือบมองไปเห็นเข่อลั่วเดินส่ายหัวพร้อมกับก้าวขาออกมาออกมาจากห้องพักของผู้เป็นนาย สีหน้าของเขาเหมือนคิดอะไรอยู่
นายกองหนุ่มมาดนิ่ง จึงได้เอ่ยถามสหายออกไปอย่างสงสัยและแกมตำหนิในท่าทีนั้นของเขาเล็กน้อย
"สีหน้าท่าทีของเจ้าเยี่ยงนั้น คงไม่ได้โดนนายน้อยดุออกมาอีกหรอกนะ รึว่าเมื่อคืนเจ้าแอบหนีไปดื่มเหล้าข้างนอกจนกลับมาซะดึกดื่นอีกแล้ว"
เข่อลั่วเงยหน้าขึ้นมองสหายด้วยสายตาฉงนใจ เขาไม่ได้ตอบ กลับย้อนถามสหายอย่างสงสัย
"จางเก่อ เช้านี้เจ้าเห็นนายน้อยหรือไม่" คำถามของเข่อลั่วพานทำให้จางเก่อเองก็พลอยงงและสงสัยตามไปด้วย
เหตุใดเขาจึงถามเยี่ยงนั้นเพราะนี่มันพึ่งจะเข้ายามเฉินเอง และก็เป็นเวลาที่นายน้อยตื่นขึ้นมาเป็นประจำ เพราะอีกครึ่งชั่วยามทุกคนจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ของตน
"เจ้าถามแปลก...เพลานี้เพิ่งเข้ายามเฉิน นายน้อยก็ต้องอยู่ในเรือนพักส่วนตัวสิ นี่ข้าเองก็กำลังจะมารายงานเรื่องด่วนที่สายของเราเพิ่งแจ้งเข้ามา"
[1] ยามเฉิน (辰:chén) คือ 07.00 - 08.59 น.
เมื่อจางเก่อกล่าวจบ สหายสนิทจึงได้มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่งและคิดไปคนละทาง ต่าง ๆ นานา
ครู่ต่อมาทั้งสองคนก็โพล่งขึ้นมาอย่างประสานเสียง
"...ห้องหนังสือ!"
เมื่อนายกองทั้งสองคิดคำตอบได้เช่นนั้น พวกเขาก็หันขวับอย่าง พร้อมเพรียงและเปลี่ยนทิศทางเดินตรงไปยังห้องหนังสือของผู้เป็นนายทันที
ระยะทางของระเบียบทางเดินจากเรือนพักของหลงอี้หลิงไปยังห้องหนังสือ นายกองทั้งสองจำต้องเดินผ่านสวนหย่อมอันสวยงามขนาดกลางของเรือนหลงหลิง ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างและสร้างติดกับเรือนอาบน้ำส่วนตัวของแม่ทัพหนุ่ม แถมยังมีเรือนพักส่วนตัวของฟ่งหลันหลั่นปลูกอยู่ใกล้ ๆ ตรงจุดนั้นด้วยเช่นกัน
ในขณะที่นายกองทั้งสองเดินผ่านสวนหย่อมนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้พูดคุยสอบถามกันถึงเรื่องจิปาถะทั่วไป
เข่อลั่วบ่นถึงปัญหาจุกจิกที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตรวจตราดูแลความสงบสุขเรียบร้อยของผู้คนในเมืองของเมื่อวานที่ผ่านมาให้จางเก่อฟัง
จางเก่อก็ได้ตำหนิสหายแกมสอนเหมือนทุกครั้ง ราวกับพี่ชายสอนน้องชาย
ทันใดนั้นเอง เสียงเสียดสีเอี๊ยดอ๊าดจากการเปิดประตูดังแว่วขึ้นมา ใกล้ ๆ หูพวกเขา
แอ๊ด!
ทันใดนั้นเอง หางตาของนายกองทั้งสองพลันเหลือบมองไปเห็น นายน้อยของเขากำลังเดินออกมาจากเรือนพักส่วนตัวของฟ่งหลันหลั่นด้วยแววตาและสีหน้าเบิกบานใจอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
นายกองทั้งคู่จึงพากันหยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหันและหันไปมองยังนายน้อยของตน
หลงอี้หลิงกำลังยืนคิดถึงภาพเหตุการณ์ในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ระหว่างเขากับสาวใช้อยู่ตรงหน้าประตู และได้เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีความสุข แม้จะเพิ่งตื่นนอนและยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา ความหล่อเหลาบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด
พวกเขาได้สามัคคีส่งเสียงเรียกแม่ทัพหนุ่มขึ้นสั้น ๆ อย่างพร้อมเพรียงด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
"นายน้อย!"
ทันทีที่แม่ทัพหนุ่มได้ยินเสียงเรียกทักทายของนายกองคนสนิททั้งสองดังเข้ามาในหู เขาจึงมองไปทางเบื้องหน้าและได้เห็นแววตาฉงนสงสัยพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม และความอยากรู้อยากเห็นของนายกองทั้งสอง ทำให้เขาถึงกับประหม่า และวางตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
เข่อลั่วผู้ที่มักปากไวกว่าสมอง พูดแซวแม่ทัพของตนขึ้นอย่างเป็นกันเองอย่างหน้าตาระรื่น โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองก่อน
"นายน้อยยิ้มหน้าบานเดินออกมาจากเรือนของแม่นางฟ่งเช่นนี้ คงมิใช่ว่าเมื่อคืนท่านทั้งสองปฏิบัติภารกิจลับด้วยกันทั้งคืนจนถึงเช้านะขอรับ"
จางเก่อรู้ได้ทันทีว่าถ้อยคำนั้นของเข่อลั่วช่างเป็นการไม่ถูกต้องสมควร จึงกล่าวปรามสหายเสียงเข้มทันควัน
"เข่อลั่วหยุดพูดจาเหลวไหลลามปามนายน้อยได้แล้ว"
แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ทว่าการที่ทำให้ผู้เป็นนายรู้สึก เสียหน้าในสถานที่สาธารณะก็เป็นเรื่องมิควรทำ และอาจจะทำให้เจ้าตัวเกิดอารมณ์หงุดหงิดแต่เช้า จนพานเดือดร้อนไปทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เมื่อหลงอี้หลิงถูกลูกน้องถามจี้ใจดำเยี่ยงนั้น เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง และพอเรียกสติกลับมาได้ เขาก็เผยรอยยิ้มอ่อนแสนเย็นชาขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลา สายตาพิฆาตคมกริบเพ่งจ้องมองตรงมายังนายกองร่างท้วม รังสีอำมหิตแผ่ซ่านโอบล้อมไปรอบบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
เข่อลั่วขนลุกซู่ตั้งแต่โคนผม และวิ่งพล่านไปทั่วทั้งตัวอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นยะเยือกสั่นสะท้านเข้าไปถึงเส้นเอ็นกระดูกอย่างทันควัน จากใบหน้ากลมที่กำลังยิ้มอย่างเริงร่าเบิกบานใจ พลันถอดสีเปลี่ยนไปอย่างถนัดตาหลังจากที่ได้สบตากับนายน้อยของตน
เขาก็รีบก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบคู่นั้นอย่างรู้ตัวทันที
จางเก่อซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างละเหี่ยใจในความปากไวของสหายสนิทที่มักพูดไม่คิด
"เข่อลั่ว! ข้าจำได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเจ้ามิใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงยังมายืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่ตรงหน้าข้าแบบนี้หรือคิดถึงรสชาติของการถูกโบยหลังกัน"
แม่ทัพหนุ่มพยายามพูดเบี่ยงประเด็นเอาดื้อ ๆ ด้วยกันยิงคำถามแกมขู่เสียงเข้มกับลูกน้องจอมขี้สงสัยของเขา
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข่อลั่วเจอกับอารมณ์เช่นนี้ของแม่ทัพหนุ่ม สำหรับเขามันคือเหตุการณ์ปกติมาก นายกองร่างท้วมเงยหน้าขึ้นปั้นหน้ายิ้มตอบกลับไป พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วและเริ่มเข้าโหมดปากหวานประจบเอาใจผู้เป็นนายอย่างรู้งานทันที
"โธ่นายน้อย! ถึงวันนี้จะเป็นหยุดของข้า แต่ท่านก็รู้ดีว่าข้าไม่มีครอบครัวหรือญาติที่ไหนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ภรรยาหรือหญิงคนรักก็ยังไม่มีกับเขาสักคน และข้าก็อยากมาคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่าน จึงได้มายืนเสนอหน้ายิ้มแป้นอยู่ตรงนี้ขอรับ"
"เจ้าอยากอยู่คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ข้าหรือคอยจับผิดข้ากันแน่!"
หลงอี้หลิงแกล้งทำเสียงเข้มย้อนถามนายกองหนุ่มอย่างรู้ทันลูกน้องของตน
ในจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มย้อนถามเข่อลัวกลับไป จางเก่อต้องรีบเปลี่ยนชวนพวกเขาประเด็นการสนทนา เพื่อหวังช่วยสหายไม่ให้ถูกลงโทษแต่เช้า
"นายน้อย! ได้โปรดพักเรื่องเจ้าอ้วนนี้ไว้ก่อน เมื่อตอนยามเหม่า[1] นี้ ข้าเพิ่งได้รับรายงานด่วนจากสายของเราส่งข่าวมาจากนอกเมืองขอรับ"
สีหน้าดูลังเลและเป็นกังวลอย่างหนักของจางเก่อที่เผยออก ทำให้ แม่ทัพหนุ่มยอมวางมือจากเข่อลัว
หลงอี้หลิงหันกลับไปมองทางด้านหลังของตนเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับยังนายกองคนสนิททั้งสองคน
"กลับไปคุยกันที่ห้องหนังสือ"
เขากล่าวขึ้นเสียงเข้ม ก่อนจะเดินนำหน้าทั้งสองคนออกจากจากเรือนพักของฟ่งหลันหลั่น
ด้านนายกองทั้งคู่ก็เร่งฝีเท้าเดินตามหลังนายน้อยของตนไปอย่างรวดเร็ว
[1] ยามเหม่า (卯:mǎo) คือ 05.00 - 06.59 น.
....
เซียงไค 盛開