เวลาครึ่งก้านธูปต่อมา ฟ่งหลันหลั่น เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างบุรุษและสตรีตรงหน้า นางจึงขยับเข้าไปยืนประชิดตัวมู่เซียวหลาน โดยเว้นระยะห่างเพียงสองก้าวเท่านั้น
นายหญิงแห่งหอมู่ต๋ายังคงคุมสติตัวเองได้ดีมาก ความใจเย็นและท่าทีวางเฉยไม่เกรงกลัวที่แสดงออกมา ชวนให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความรู้สึกกดดันและอึดอัดตามยิ่งนัก
"ที่ผ่านมาข้าก็ยึดมั่นในสองสิ่งนั้นเสมอมามิใช่หรือ..." น้ำเสียงอ่อนนุ่มเกือบเข้าขั้นปะเหลาะเอาใจ
ประโยคนั้นของนางทำให้บุรุษตรงหน้าถึงกับหัวเราะร่าดังขึ้นอย่างขบขัน
ฮ่าฮ่าฮ่า...
"กระนั้นรึ! แล้วเหตุใดสตรีผู้มีใบหน้างดงามน่ารักเช่นนาง ถึงแต่งกายเป็นบุรุษหน้าหวาน ติดตามท่านมาพบข้ายังหอเฝิงฟู่ในวันนี้ได้กันล่ะ"
หยวนจูวเย่กล่าวจบ เขาเพ่งสายตามองไปยังผู้ที่เขากำลังกล่าวถึง อย่างพินิจพิจารณา
ฟ่งหลันหลั่นยืนนิ่ง ฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่นาน เมื่อถูกดึงเข้าไปร่วมวงสนทนาเช่นนี้ มีหรือนางจะทนนิ่งเฉยต่อไปได้ นางจึงกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความจริงจังและหมายมั่นอย่างที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
"คนที่คุณชายท่านนี้เพิ่งกล่าวมา คงไม่ได้หมายถึงข้าหรอกกระมัง"
"ถ้าไม่มีสิ่งใดปกปิด เหตุใดจึงดูร้อนรนใจ" เสียงของหยวนจูวเย่ขรึมลงเล็กน้อย สายตาคมปลาบจ้องนางเขม็ง
"นี่ท่าน!.." ฟ่งหลันหลั่นเริ่มออกอาการฉุนเฉียวหนักขึ้นและตั้งท่าจะตอบโต้วาจากลับไป แต่ก็ถูกนายหญิงแห่งหอมู่ต๋ายกมือขึ้นมาปรามเอาไว้ก่อน
มู่เซียวหลานรู้จักนิสัยของบุคคลทั้งสองนี้เป็นอย่างดี และหากขืนยังปล่อยให้ยืนปะทะหน้ากันนานเกินกว่านี้ เห็นทีธุระของนางคงจะไม่เสร็จเรียบร้อยเป็นแน่ ซึ่งนางวางตัวนิ่งและใจเย็นอยู่นาน ตอนนี้เห็นทีจะต้องรีบชิงเอ่ยกับฟ่งหลันหลั่น ก่อนที่บุรุษรูปงามตรงหน้าจะกล่าวอะไร
"เจ้าช่วยออกไปรอข้าที่ด้านนอกสักครู่ได้ไหม เสร็จธุระตรงนี้เมื่อไร ข้าจะเรียกเอง"
แม้ว่านายหญิงแห่งหอมู่ต๋าไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน แต่สตรีน้อยก็เข้าใจในความหมายนั้นของนาง จึงได้ยอมทำตามอย่างง่ายดาย
"ได้! ข้าจะออกไปรอข้างนอก หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในห้องนี้ ท่านก็ตะโกนขึ้นดัง ๆ เรียกข้าละกัน" พูดจบฟ่งหลันหลั่นก็เหลือบตามองหยวนจูวเย่เล็กน้อย พร้อมกับชักสีหน้าโกรธขึ้งใส่เขา ก่อนจะเชิดหน้าเดินออกไปนอกห้องนั้น โดยไม่กล่าวคำใดต่อเขาสักคำ
แอ๊ด...
ปัง!
หลังจากประตูห้องถูกปิดเข้าเรียบร้อย หยวนจูวเย่ก็ไม่สามารถทนเก็บเงียบความสงสัยที่มีอยู่ในใจนี้ได้ต่อไป
"คนก็ไปแล้ว คราวนี้แม่นางมู่จะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังได้แล้วกระมัง" บุรุษรูปงามเริ่มเปิดการสนทนาต่อทันที
แม้สุ้มเสียงไม่กราดเกรี้ยว หากแต่วางอำนาจอยู่ในที
มู่เสียวหลานยื่นมือไปหยิบถ้วยชาที่วางคว่ำอยู่ตรงหน้านางรินน้ำชาลงในถ้วยจนเต็ม และนำไปวางลงตรงหน้าของหยวนจูวเย่ พร้อมกับเผยยิ้มหวานเหมือนเช่นก่อนหน้า
"คุณชายหยวน ท่านช่างยอดเยี่ยมและเก่งเป็นเลิศ เหมาะสมกับสมคำร่ำลือ ข้ายอมรับว่าเรื่องนี้...ข้าไม่อาจจะปกปิดสายตาของท่านได้เลยจริง ๆ สินะ และต้องขออภัยที่เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ มิใช่ข้าไม่ไว้ใจท่าน แต่เพียงต้องการจะทดสอบความสามารถท่านก็เท่านั้น ได้โปรดอย่าถือสาหาความเอาผิดข้าผู้น้อยเลยนะเจ้าคะ"
มู่เซียวหลันกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนน้อมและเผยท่าทีถ่อมตนให้บุรุษตรงหน้า เพื่อหวังกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงในใจของตน
หึ หยวนจูเย่วหัวเราะดังขึ้นในลำคอเบา ๆ หนึ่งที
"...ช่างเถอะ มาเริ่มคุยธุระของพวกเราต่อให้เสร็จเถอะ เพราะข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำต่ออีก" ถึงแม้เขาจะยอมรามือกับเรื่องนี้อย่างง่ายดาย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อในสิ่งที่นายหญิงแห่งหอมู่ต๋ากล่าวมา
มู่เซียวหลานเองก็ไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปมากกว่านี้ นางจึงได้แต่ไหลตามน้ำ เพื่อให้ภารกิจที่ต้องการลุล่วงโดยเร็ว
"ได้! มาเริ่มคุยธุระของพวกเรากัน"
เมื่อเคลียร์ใจเรียบร้อย ทั้งสองคนจึงได้เริ่มคุยธุระสำคัญกัน
ทางฝั่งด้านนอกห้องหน้าประตู
ฟ่งหลันหลั่นยืนกอดหน้าอก ทำหน้าตาหงุดหงิดดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก และรออยู่ตรงหน้าประตูห้องอาหารส่วนตัวตามคำสั่งของคนข้างใน
พลางส่ายหน้าและบ่นพึมพำให้กับคนข้างในขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจ
"น่าเสียดายจริง ๆ หยวนจูวเย่ผู้นี้อุตส่าห์มีใบหน้าผิวพรรณงามกว่าสตรีบางคนเสียอีก แต่กลับทำตัวเสเพล เสียทีที่ได้เกิดมาจากชาติตระกูลที่ดี ขึ้นชื่อว่าสันดานของบุรุษ มิว่าผู้ใดก็บ้าตัณหาราคะไม่ต่างกันเลยสินะ"
ในขณะที่นางกำลังบ่นให้บุรุษด้านในห้องอย่างไม่หยุดปาก
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องรับรองแขกห้องข้างกันก็ถูกเปิดออก
แอ๊ดอ๊าด...
ฟ่งหลันหลั่นพลันมองไปเห็นโจทก์เก่าคนเมื่อวาน กำลังเดินออกมาจากห้องข้าง ๆ กันด้วยท่าทางสุขุมลุ่มลึก พร้อมกับผู้ติดตามของเขา
วันนี้แม่ทัพหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์สีกรมท่ามีแถบดิ้นสีดำตรงชายผ้าเล็กน้อย ท่วงท่าอกผายไหล่ผึ่ง ดูองอาจ สง่างามผ่าเผยและน่าเกรงขาม เขายังคงเก็บอาการและวางสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกข้างในออกมาให้ผู้อื่นเห็น
ฟ่งหลันหลั่นรีบหันหลังขวับให้พวกเขาทันทีอย่างมีพิรุธ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ 'เอ๊ะ! ทำไมต้องหลบหน้าเขาด้วย ก็ในเมื่อตอนนี้ข้าปลอมตัวเป็นบุรุษผู้มีใบหน้าหวาน โฉมเฉลารูปงาม จนสาว ๆ ต้องพากันเหลียวหลังตามออก ปานนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า...ใช่แล้ว! เขาไม่มีทางจำข้าได้อย่างแน่นอน'
ด้านแม่ทัพหนุ่มรู้สึกว่าหางตาของเขาเห็นใครบางคนช่างรู้สึกคุ้นตา จึงหยุดชะงักงันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตรง ๆ และก็ต้องแปลกใจกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นนี้
เหตุไฉนเลย สตรีน้อยผู้งดงามและบ้าระห่ำ หาญกล้าไม่ตายตาย คนเมื่อวานผู้นั้น ตอนนี้ถึงได้กลายเป็นบุรุษหน้าหวานไปเสียแล้ว
สตรีน้อยยืนหันหลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเผลอหลุดเสียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ เสียงดังออกมาให้ได้ยินจนลืมคู่กรณีไปเสียสนิท และหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของตน ล้วนตกอยู่ภายใต้สายตาอันคมกริบคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองอย่างตั้งใจ
เข่อลั่วกล่าวโพล่งทักทายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"นายน้อย! บุรุษหน้าหวานผู้นั้นไง คือแม่นางฟ่ง ที่ข้าพูดถึงตอนอยู่ในห้อง" และเขามักพูดจาเสียงดังออกมาเช่นนี้เกือบทุกครั้ง
จางเก่อสหายทหารคนสนิทเอียงคอและชำเลืองมองเขาด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย "เข่อลั่ว! ยืนห่างกันไม่ถึงคืบแค่นี้ เจ้าจะพูดเสียงดังไปทำไมกัน"
หลงอี้หลิงยืนอยู่ด้านหน้าลูกน้องนายกองคนสนิททั้งสอง แม้จะเงี่ยหูฟังพวกเขาสนทนากัน แต่ดวงตาสีนิลคมกริบยังคงจับจ้องมองฟ่งหลันหลั่นอย่างไม่ละสายตา
ในขณะที่ลูกน้องทั้งสองเริ่มจะโต้เถียงกัน น้ำเสียงเข้มดุดันทรงพลังจึงเอ่ยแทรกขึ้นมา
"หากจะทะเลาะกันก็ไปที่อื่น ว่าแต่พวกเจ้ารู้หรือยังว่าผู้ที่มู่เซียวหลันนัดพบนั้นเป็นผู้ใดกัน"
เข่อลั่วรีบตอบนายของเขาทันควันอย่างฉะฉานมั่นใจ
"อ้อ! สายลับของเรารายงานมาว่า คงจะเป็นหยวนจูวเย่บุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีกรมคลังไม่ผิดแน่ เพราะสองวันก่อนหน้านี้ พวกเขาเห็นคนจากวังหลวงกลุ่มหนึ่งได้เดินทางเข้าเมืองจิ่งนี้"
หลงอี้หลิงได้ฟังก็ยกคิ้วขึ้นสูง และใช้ปลายนิ้วโป้งลูบไปยับปลายนิ้วกลางและไล่ไปปลายนิ้วชี้ตามลำดับ เหมือนกำลังใช้ความคิด และเหล่ตามองไปตรงประตูห้องที่ฟ่งหลันหลั่นกำลังยืนพิงหลังอยู่
"หยวนจูวเย่งั้นรึ...บัณฑิตหนุ่มผู้ที่ตอนนี้ควรต้องอยู่ในสำนักศึกษา แต่กลับมาโผล่ในสถานที่เช่นนี้ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก! พวกเจ้าทั้งสองคนสั่งให้คนของเราจับตาดูคนพวกนั้นไว้ให้ดี หากมีอะไรเคลื่อนไหวผิดปกติ รีบแจ้งข้าทันที"
"ขอรับนายน้อย" ทหารนายกองหนุ่มคนสนิททั้งสองคนขานรับคำสั่งผู้เป็นนายด้วยท่าทางขึงขังอย่างพร้อมเพรียงกัน
จากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็กลับมาให้ความสนใจยังบุรุษหน้าหวานตรงหน้าอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังยืนกอดหน้าอก ทำหน้าบึ้งตึง
เขาจึงตั้งใจจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักและเดินผ่านหน้านางไปโดยไม่คิดจะทักทายสิ่งใด เพื่อหยั่งเชิงอีกฝ่าย
แต่ในจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มกำลังจะเดินผ่านหน้าฟ่งหลันหลั่นพ้นนั้น
เข่อลั่วผู้ที่มีปากว่องไวกว่าสมอง เขายิ้มหน้าระรื่น พร้อมกับยกมือและกล่าวทักทายบุรุษหน้าหวานเสียงดังขึ้นราวคนรู้จักสนิทสนมคุ้นเคย
"โย่ว! แม่นางฟ่ง บังเอิญจังที่พวกเราได้พบกันที่นี่ ท่านเองก็มาใช้บริการของภัตตาคารเฝิงฟู่เช่นกันหรือ" น้ำเสียงสดใสชัดเจน ลอยผ่านหน้าเจ้านายไปหาอีกฝ่าย
ฟ่งหลันหลั่นได้ยินคำถามนั้นและชัดเจนรู้ว่าบุรุษผู้นั้นหมายถึงตน แต่นางก็วางตัวนิ่งเฉย ยืนอยู่ในท่าเดิมและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ตีสีหน้าเนียนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หลงอี้หลิงหันหลังขวับกลับไปมองตาเขียว ค้อนใส่ลูกน้องจอมเซ่ออย่างทันควัน
เข่อลั่วรู้ตัวขึ้นมาทันใดว่าเขาได้ทำพลาดไปอีกแล้ว จึงรีบก้มหน้าต่ำเพื่อหลบสายตาดุดันคู่นั้นของผู้เป็นเจ้านายอย่างรวดเร็ว และเอียงลำคอไปทางสหายของตนเล็กน้อย
เมื่อแม่ทัพหนุ่มส่งสายตาปรามาสดุลูกน้องได้สมดั่งใจแล้ว เขาก็หันกลับมาสนใจสตรีน้อย ซึ่งเป็นคู่กรณีหลักอีกครั้ง
หึ! ยิ่งปกปิดยิ่งเผยพิรุธ
ในช่วงเสี้ยวเวลานั้นเอง ทั้งคู่ได้สบตากันพอดี
ฟ่งหลันหลั่นจดจำบุรุษนัยน์ตาสีนิลและดวงหน้ารูปงามของบุรุษผู้นี้ได้อย่างแม่นยำ จู่ ๆ ความคิดในหัวก็ผุดภาพเรื่องราวตอนที่ทั้งคู่ติดอยู่ตรงชะแง่งผานั้นในรัตติกาลที่แสนยาวนาน
สตรีน้อยจึงพยายามตั้งสติและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แต่สายตาของนางกลับทรยศเจ้าตัวเสียได้ มันดูล่อกแล่กเผยพิรุธออกมาจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ทางจนได้
ประกายแข็งกร้าวในดวงตาของแม่ทัพหนุ่มเลือนหายไป และแทนที่ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้สตรีน้อยรู้สึกฉงนใจยิ่งนัก ขนาดลูกน้องคนสนิททั้งสองคนของเขายังหันมองหน้ากันและทำตาโต เบิกโพลงขึ้นอย่างตะลึงงงงัน
จางเก่อจึงสะกิดเข่อลั่วหนึ่งที พออีกฝ่ายหันมามอง เขาก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้สหายเดินตามหลังตนเพื่อปลีกตัวออกไปจากตรงนั้น เจตนาคือต้องการเปิดโอกาสให้ผู้เป็นนายได้อยู่ตามลำพังกับบุรุษหน้าหวานผู้นี้
แต่เข่อลั่วกลับแสดงท่าทียึกยักและไม่ยอมเดินตามหลังจางเก่อออกไปในทันที เพราะเขาอยากอยู่ร่วมฟังการสนทนาของทั้งคู่
จางเก่อจึงเดินวกกลับมาและตบไหล่สหายหนึ่งที พร้อมกับขมึงตา ชักสีหน้าใส่เข้ม แต่อีกฝ่ายยังคงยืนบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อย่างต่อเนื่อง เขาจึงตัดสินใจลากแขนเข่อลั่วออกไปจากตรงนั้นเสียดื้อ ๆ
จังหวะนั้นเอง ประตูห้องที่ฟ่งหลันหลั่นพิงอยู่ก็ถูกเปิดเข้าไปทางด้านในห้อง
เอี๊ยดแอ๊ด...
มู่เซียวหลานได้เดินออกมาพร้อมกับหยวนจูวเย่ และทั้งคู่ต่างก็พากันประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าหลงอี้หลิงแม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นโหย่วผู้เลื่องชื่อยืนอยู่ห้องของพวกเขา แถมกำลังจ้องตาเขม็งแข่งกับฟ่งหลันหลั่นอยู่อย่างจริงจัง
หยวนจูเย่วเป็นบุรุษที่รู้จักใช้คำพูดในการวางตัวและสนทนากับผู้อื่น และคิดว่าชิงโอกาสก่อนย่อมได้ประโยชน์มากกว่า จึงได้กล่าวทักทายหลงอี้หลิงขึ้นอย่างร้อนตัว
"ช่างบังเอิญเสียจริงที่ได้พบท่านแม่ทัพหลงที่นี่" น้ำเสียงของคุณชายรูปงามผู้นี้ ตั้งใจแสดงให้รู้สึกได้ถึงความสนิทสนมคุ้นเคยกับอีกฝ่าย
หลงอี้หลิงจึงได้ละสายตาจากบุรุษหน้าหวาน จากนั้นก็เอี้ยวตัวหันไปยืนประจันหน้ากับคนทั้งคู่ แววตานิ่งและดูแข็งกร้าวก่อนทักทายตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ข้าเองก็แปลกใจเช่นกันกันที่ได้พบท่านมาอยู่ในภัตตาคารเฝิงฟู่ อันที่จริงเพลานี้ท่านควรจะให้ความรู้แก่เหล่าบัณฑิตอยู่ที่สำนักศึกษามิใช่หรือ" พร้อมกับชำเลืองหางตามองไปยังอิสตรีผู้เลอโฉม ซึ่งนางยืนคั่นกลางระหว่างฟ่งหลันหลั่นและหยวนจูวเย่
มู่เซียวหลานรับรู้ได้ว่ากำลังถูกสายตาคมกริบของแม่ทัพหนุ่มจับจ้องอยู่ นางจึงย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อเป็นแสดงความเคารพต่อเขาตามมารยาท และพยายามเลี่ยงที่จะไม่สบตากับอีกฝ่าย
หยวนจูวเย่อ่านสายตาและความคิดของแม่ทัพหนุ่มออก เขาจึงกล่าวขึ้นอีกครั้งเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่ายให้กลับมาหาตน
"อ้อเรื่องนั้น...ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงลาพักร้อน จึงได้เดินทางมาเที่ยวเล่นที่เมืองจิ้งแห่งนี้เพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่เปิดโลกให้กับตัวเอง และก็ได้บังเอิญเจอกับสหายเก่าแก่...ขอแนะนำ สตรีดวงหน้างดงามกิริยาอ่อนช้อย ผู้นี้คือ..."
ยังไม่ทันที่หยวนจูวเย่จะได้เอ่ยนามของสตรีข้างกายออกมา หลงอี้หลิงก็พูดสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"...มู่เซียวหลาน นายหญิงใหญ่แห่งหอมู่ต๋า จากเมืองจิ่ว"
หยวนจูวเย่กับมู่เซียวหลาน ดูไม่ได้แปลกใจกับคำกล่าวนี้ของหลงอี้หลิงเลยสักนิด
ฟ่งหลันหลั่นขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถของท่ายืนใหม่เล็กน้อย ตอนนี้นางกำลังงงเป็นไก่ตาแตก จนเกิดความอยากรู้และสงสัยขึ้นมาทันใด เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสามตรงเบื้องหน้านี้
ณ เพลานี้ บรรยากาศโดยรอบตรงบริเวณหน้าห้องอาหารนั้น ชวนให้รู้สึกเกิดความอึดอัดและลมหายใจเริ่มติดขัดอย่างบอกไม่ถูก
'นี่ข้ากำลังยืนอยู่ในดงพยัคฆ์ แถมยังมีหมาป่ากับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์รวมอยู่ด้วยกระนั้นหรือ'
ฟ่งหลันหลั่นสัมผัสได้ถึงกระแสปราณบางอย่างซึ่งกำลังแผ่ซ่านออกมารอบตัวของทั้งสามคน ซึ่งตอนนี้นางดูไม่ออกเลยว่า พวกเขาทั้งสามคนนั้นเป็นมิตร หรือเป็นศัตรูของกันและกัน
'ว่าแต่...พวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหนกันนะ โย่ว! หรือว่าเป็นรักสามเส้า เราสามคน!'
แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดในหัวของฟ่งหลันหลั่นที่กำลังจินตนาการเกี่ยวกับคนทั้งสามอยู่ในตอนนี้ มันเริ่มฟุ้งซ่านและเตลิดไปไกลเสียแล้วสิ
....
เซียงไค 盛開