เมื่อหลงอี้หลิงลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด แม่ทัพหนุ่มผู้ที่มักวางตัวเหินห่างจากอิสตรีมาตลอด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้เขาเกิดอาการตัวประหม่าจนตัวเกร็งแข็งทื่อ อย่าว่าแต่ขยับตัว ขนาดลมหายใจเข้าออก เขายังแทบจะอดกลั้นมันเอาไว้
ชั่วครู่ ภาพที่เขาคิดว่าฝันไปในค่ำคืนที่ผ่านมาก็ผุดขึ้นมาในหัวราวกับดอกเห็ด
'หรือว่าสิ่งนั้นมันคือเรื่องจริง...นี่ข้าเผลอทำอ่างใหญ่หลวงต่อสตรีผู้นี้กระนั้นหรือ'
ในขณะที่บุรุษผู้แข็งแกร่งกำลังเริ่มคิดฟุ้งซ่านเตลิดไปไกล สตรีน้อยในอ้อมกอดของเขาก็รู้สึกตัวตื่นและขยับร่างกาย
ลำแขนเล็กเรียวยาวของสตรีน้อยถูกชูขึ้นฟ้าเพื่อยืดเส้นยืดสายและบิดขี้เกียจ โดยที่ดวงหน้างามและลำตัวยังคงวางทาบทับอยู่ตรงตำแหน่งเดิม
เป็นหลงอี้หลิงเสียอีกที่เกิดอาการประหม่าจนทำตัวไม่ถูก จึงได้แกล้งหลับไปดื้อ ๆ
เมื่อฟ่งหลันหลั่นรู้ตัวว่าตนกำลังนอนแนบซบอยู่บนเรือนร่างบึกบึนอันเปลือยเปล่าของบุรุษแปลกหน้าคนเมื่อวาน ในแวบแรกนั้นนางตกใจเป็นอย่างมาก จึงชูกำปั้นขึ้นหวังจะทุบตัวของเขาซึ่งนางเห็นว่ากำลังหลับอยู่ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมา พลันจำได้ว่าคนที่เป็นผู้ถอดอาภรณ์ของพวกเขาออกจนหมดไม่เหลือสักชิ้นนั้นก็คือตัวนางเอง
ฟ่งหลันหลั่นจึงยั้งมือไว้และพาร่างเปลือยเปล่าของตัวเองขยับออกจากบุรุษรูปงามอย่างช้า ๆ และให้เงียบที่สุด เพราะถ้าหากเขาตื่นขึ้นมาเห็นนางในสภาพนี้ นางคงไม่อาจจะสู้หน้าเขาได้อีกเป็นแน่
ทันทีที่สตรีน้อยลุกขึ้นออกจากบุรุษผู้นี้ได้ นางก็รีบคว้าอาภรณ์ของตน ซึ่งวางกองอยู่ข้างกองไฟเล็ก ๆ ที่มอดดับแล้ว
ฟ่งหลันหลั่นเอี้ยวตัวหันมองบุรุษ ผู้ที่ยังคงดูหลับสนิทอยู่บนพื้น เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน พวงแก้มนวลผ่องพลันแดงก่ำระเรื่อขึ้นทันตา จากนั้นนางก็ไม่รอช้า รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน
ในขณะที่ฟ่งหลันหลั่นกำลังสวมใส่อาภรณ์ของตนอยู่อย่างเร่งรีบนั้น ทางด้านแม่ทัพหนุ่มยังคงแกล้งหลับและนอนตัวเกร็งอยู่ในลักษณะเดิม
แม้จะไม่ได้ขยับเขยื้อนตัว แต่ก็ทนเก็บความสงสัยและอยากรู้ไม่ได้ จึงได้เปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองดูความเป็นไปตรงหน้า
ทันใดนั้น ดวงตาคมกริบก็มองเห็นเรือนร่างงามอรชรอ้อนแอ้น เนินเนื้ออวบอูมขาวนวลผ่อง ทรวดทรงองค์เอวเข้ารูปราวกลีบบุปผาแรกแย้มผลิบาน ซึ่งกำลังสวมอาภรณ์อยู่ตรงหน้า งดงามปานรูปแกะสลักหินและยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
จิตใจที่เคยแข็งแกร่งดุจดั่งหินผาปราการเหล็ก แน่วแน่กล้าหาญและไม่เคยเกรงกลัวหรือหวั่นไหวต่อสิ่งใดมาก่อน แต่ครานี้เขาแทบจะหลุดสติในการควบคุมตัวเองไปเกือบทั้งหมด
ตึกตัก!
ตึกตัก!
เสียงหัวใจของแม่ทัพหนุ่มเต้นแรงราวตีกลองศึก และพร้อมจะทะลุหล่นออกมาจากหน้าอกเสียเพลานี้เลย
แต่ฟ่งหลันหลั่นกลับหารู้ตัวไม่ ว่าตอนนี้มีดวงตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่สตรีน้อยแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็หันขวับเดินไปหยิบอาภรณ์ที่เหลือและเดินตรงไปหาบุรุษแปลกหน้า ซึ่งเขายังคงนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม
ฟ่งหลันหลั่นนั่งลงข้างกายบุรุษผู้นั้น พร้อมกับวางหลังมืออังลงบนหน้าผากของเขา มืออีกข้างก็วางลงบนหน้าผากของตน
"ไข้ลดลงไปเยอะ ส่วนริมฝีปากก็ไม่มีสีม่วงคล้ำเหมือนเมื่อคืน ดูท่าตอนนี้เขาคงจะปลอดภัยแล้ว"
นางกล่าวกับตัวเอง พลางเลื่อนมือไปจับยังจุดชีพจรตรงข้อมือของเขา
'...อืมชีพจรกลับมาเต้นปกติ พิษในตัวของเขาคงย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเราแล้วสินะ โชคดีวิธีที่ใช้เมื่อคืนมันได้ผลเกินคาด'
เมื่อตรวจสอบชีพจรเสร็จเรียบร้อยและได้ผลอย่างน่าพึงพอใจ ฟ่งหลันหลั่นจึงเริ่มจัดการส่วนที่เหลือ แต่ในขณะที่นางกำลังโน้มตัวลงต่ำเข้าหาบุรุษนั้นเอง
หลงอี้หลิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าที่ปลายจมูกของตน นาทีนี้เขาก็ไม่อาจทนนอนนิ่งเฉยและแกล้งหลับได้อีกต่อไป
อาการประหม่าที่ไม่อาจจะต้านทานต่อไปได้และหากขืนปล่อยให้นางเข้ามาใกล้ชิดเขานานมากไปกว่านี้ เห็นทีว่าความเป็นชายของเขาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ คงจะตื่นขึ้นมาจนยากเกินควบคุมอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มลืมตาโพล่งขึ้นอย่างฉับพลัน และก่อนที่ดวงหน้างามนั้นจะแนบลงมาชิด ช่วงปลายคางของตน เขารีบยกมือคว้าหมับไปยังต้นแขนทั้งสองข้างอันบอบบางของอีกฝ่ายเพื่อรั้งตัวนางไว้อย่างรวดเร็ว ความหวั่นวิตกทำให้เขาเผลอ ออกแรงบีบท่อนแขนคู่นั้นอย่างลืมตัว
ดวงตาสีนิลคมกริบจ้องมองดวงหน้างาม พร้อมกับเอ่ยถามอย่างตกใจ
"นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกระนั้นหรือ ?" เสียงทุ้มนุ่มลึกของเขามีร่องรอยการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้อยู่ในที
ดวงตาสองคู่ปะทะสบตากันนานครู่หนึ่ง
ฟ่งหลันหลั่นได้สติก่อน จึงตอบสวนกลับอย่างฉะฉาน
"ถามได้ ข้าก็จะสวมอาภรณ์ให้ท่านยังไงกันล่ะ เช้าตรู่เยี่ยงนี้ อากาศใต้หน้าผาด้านล่างนี้ค่อนข้างเย็นและยังคงเต็มไปด้วยไอหมอกกับหยาดน้ำค้าง ถ้าขืนปล่อยท่านไว้ในสภาพนั้น คงได้จับไข้สูงเหมือนเมื่อคืนอีกเป็นแน่"
แม้ว่าดวงหน้างามจะเผยสีหน้าแดงก่ำและมีท่าทีเคอะเขินอยู่บ้าง แต่มือน้อยยังวางค้างอยู่บนแผ่นอกหนาของบุรุษ
หลงอี้หลิงเลื่อนมือของเขามาคว้าหมับที่ข้อมือน้อยคู่นั้นไว้มั่น ดวงตาสีนิลยังคงมองลึกเข้าไปในดวงตาคมเรียวยาวบนใบหน้างามน่ารัก
"เดี๋ยวข้าจัดการเอง คงมิรบกวนแม่นางไปมากกว่านี้ อีกอย่างท่านเองก็เป็นอิสตรี มิควรมาแตะเนื้อต้องตัวบุรุษง่าย ๆ เยี่ยงนี้"
หลงอี้หลิงไม่ชินกับการที่มีสตรีสัมผัสตัวเขาเยี่ยงนี้ จึงประหม่าจนทำตัวไม่ถูก ทำให้เผลอพูดไม่คิด ใช้ถ้อยคำรวมทั้งน้ำเสียงค่อนข้างแข็งกร้าวออกไปอย่างลืมตัวเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายและตื่นเต้นของเขา
สตรีน้อยรู้สึกโมโหเล็กน้อยในคำกล่าวดูถูกตนเช่นนั้นของบุรุษตรงหน้า นางพ่นลมออกทางจมูกเล็กน้อย ก่อนจะชักมือกลับเข้าหาตัว พร้อมกับปาอาภรณ์ที่ถืออยู่ในมือลงบนตัวของเขาจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างฉุนเฉียว
"เฮอะ! โปรดสัตว์ได้บาปแท้ ๆ ช่วยคนแล้วกลับต้องมาโดนดูถูกต่อว่าแทนเสียนี่ งั้นท่านก็รีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะป่วยตายเป็นผีเฝ้าที่นี่ไปซะก่อน"
พูดจบฟ่งหลันหลั่นก็เดินปลีกตัวหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปยืนกอดหน้าอกทำหน้าบึ้งตึงอย่างโกรธเคืองอยู่อีกมุมของชะแง่งผานั้น
หลังจากที่หลงอี้หลิงแต่งกายเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ต่างฝ่ายก็พยายามมองสำรวจโดยรอบทั่วบริเวณพื้นที่แคบ ๆ นั้น และคิดหาวิธีเพื่อที่จะปีนหน้าผากลับขึ้นไปยังพื้นดินด้านบน
ทว่าร่างกายที่บาดเจ็บเยี่ยงนี้ แม้จะมีวิทยายุทธ์พอตัว แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายเลยสักนิด
เพลาล่วงเลยผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ได้ยินเสียงของบุรุษหลายคนส่งเสียงตะโกนร้องเรียกหาใครบางคนลั่นก้องสะท้อนไปทั่วหน้าผาแห่งนั้น
แม่ทัพหนุ่มจำเสียงผู้คนเหล่านั้นได้ทันที เพราะพวกเขาคือลูกน้องของตนนั่นเอง จึงได้ส่งเสียงตะโกนตอบรับกลับไปอย่างรวดเร็ว
"เข่อลั่ว พวกเราอยู่ทางด้านล่างตรงชะแง่งผานี้"
ทางด้านเข่อลั่วซึ่งยืนอยู่ตรงด้านบนของปากหน้าผา ทันทีที่เขาได้ยินเสียงนายน้อยของตนตอบรับมา เขาก็ตะโกนกลับและถามไถ่ถึงสถานการณ์ด้านล่างนั้นกลับไปอย่างร้อนรนใจ
"นายน้อย! ท่านปลอดภัยดีไหมขอรับ รอประเดี๋ยวก่อน ข้าจะรีบช่วยพวกท่านขึ้นมาจากด้านล่างโดยเร็วที่สุด"
เมื่อเข่อลั่วตะโกนบอกนายน้อยของตนเสร็จ เขาก็รีบหันขวับออกคำสั่งให้เหล่าทหารที่เหลือจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือคนทันที
เพลาผ่านไปราวสองเค่อ คนด้านล่างก็ถูกช่วยขึ้นมาบนปากเหวได้อย่างปลอดภัยทั้งคู่
ในขณะที่หลงอี้หลิงกำลังพูดคุยอยู่กับลูกน้องของเขา ฟ่งหลันหลั่นยืนมองสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อมั่นใจว่าคนผู้นั้นปลอดภัยเช่นกัน นางก็ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจ เดินปลีกตัวออกไปจากกลุ่มอย่างเร่งรีบ โดยไม่กล่าวลาผู้ใดสักคำ
เข่อลั่วนึกถึงสตรีอีกคนขึ้นมา พลันกวาดสายตามองหาแต่กลับไม่พบผู้ใด เขาจึงเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่มอย่างแปลกใจ
"นายน้อย แม่นางน้อยคนที่พวกข้าช่วยขึ้นมาพร้อมท่านเมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนว่านางจะไม่อยู่ที่นี่แล้วกระมังขอรับ" เข่อลั่วเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
แม่ทัพหนุ่มจึงรู้ตัวว่าสตรีน้อยผู้นั้นได้จากไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลา และทิ้งปริศนาคาใจในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไว้ให้กับเขาอย่างมากมาย
ภาพความทรงจำแสนเลือนรางในหัวผุดขึ้นมา แต่เขากลับจดจำได้กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าและทุกสัมผัสเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แล่นพรั่งพรูขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของแม่ทัพหนุ่มอย่างฉับพลัน
'ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับนางจะเป็นเพียงความฝันหรือความจริง ข้าก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้น'
เข่อลั่วสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของแม่ทัพหนุ่ม จึงถามขึ้นอย่างกังวลใจเพราะกลัวว่านายน้อยของตนจะไม่สบายเพราะอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ "นายน้อย เหตุใดใบหน้าของท่านถึงได้แดงก่ำเยี่ยงนั้น"
แม่ทัพหนุ่มชักสีหน้าและตอบเสียงเขียวใส่ลูกน้องคนสนิทเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง
"เจ้านี่พูดมากจริง รีบกลับเข้าเมืองกันได้แล้ว ป่านนี้ท่านย่าคงร้อนใจเต็มที" จากนั้นเขาก็เดินไปตรงจุดที่ม้าหนุ่มยืนอยู่ กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและควบมันออกไปอย่างรวดเร็ว
เข่อลั่วยืนเกาหัวและทำหน้าตามึนงงครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้สาเหตุของอารมณ์ที่ขุ่นเคืองใจของผู้เป็นนาย
"ข้าก็แค่ถามเพราะความเป็นห่วง แต่ทำไมนายน้อยต้องโกรธหัวฟัด หัวเหวี่ยงเยี่ยงนั้นด้วย"
จากนั้นเข่อลั่วก็ได้สั่งให้ทหารทุกคนถอนกำลัง เพื่อตามหลังแม่ทัพหนุ่มเดินทางกลับเข้าเมืองจิ่ว
....
เซียงไค 盛開