webnovel

ไร้แผน

ชายวัยกลางคนในชุดสูท เดินออกมาจากรถหรู ในขณะที่ใกล้ ๆ กันก็มีคนจำนวนหลายสิบคนออกมาจากรถตู้ทั้งสองคันทั้งหมดพากันมายืนด้านหลังของชายวัยกลางคน

"เอายังไงดีครับเจ้าสัว"

ผู้เป็นเจ้าสัวหันไปมองลูกน้อง

"จับเป็นมาให้ได้ อย่าให้เอิกเกริกละ"

"ครับ"

ชายหกคนเดินไปที่ตัวตึก แต่ละคนนั้นสวมชุดเกราะที่คล้ายกับหน่วยคอมมานโด

ด้านในชีฟจ้องมองดูทั้งหกคนจากชั้นสอง สามคนหน้าสุดนั้นใช้ดาบเป็นอาวุธ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นนักรบสกิล ส่วนอีกสามคนด้านหลังนั้นใช้ปืนกลเบา สามคนนี้คงเป็นคนธรรมดา

"ดาบคาตานะสองเล่มกับดาบอัศวินเล่มใหญ่สองคมหนึ่งเล่ม แล้วก็ชุดนั่น คงจะเอามาป้องกันหนามอสรพิษสินะ กะไว้อยู่แล้วว่าพวกมันคงไม่โง่เหมือนก็อปลิน"

พ่อของครูน้ำตาลที่มองดูอยู่ด้วยก็หันมามองว่าที่ลูกเขยด้วยความเป็นห่วง

"ไหวมั้ยลูก"

ชีฟหันไปยิ้มให้พ่อแล้วส่งใบแห่งการรักษาให้พร้อมกับคำมั่นสัญญา

"ถือใบพวกนี้ไว้นะครับ กินมันทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมึนหัว และสุดท้ายผมจะไม่ทำให้ลูกสาวคุณพ่อเป็นม่ายแน่นอน"

จากนั้นชีฟก็รีบวิ่งไปที่บันไดแล้วแหวกพืชที่เขาปลูกกั้นบันไดเอาไว้เพื่อลงไปชั้นหนึ่ง

ด้านล่าง คนที่ใช้ดาบคาตานะฟันพืชไม้เลื้อยจนขาดแล้วพากันเข้ามาด้านใน

ชีฟที่ลงมาเห็นก็รอให้พวกนั้นเข้ามากันให้หมด ก่อนจะเร่งโตพืชบริเวณที่โดนฟันให้งอกมาปิดทางเอาไว้

ชายถือดาบใหญ่หันไปมองทางเข้าที่โดนปิดอย่างสงสัย

"มันทำอะไรของมัน คิดจะขังพวกเราไว้ข้างในหรือไง บิ๊กใช้จิตสัมผัสของแกดิ๊"

ชายถือดาบคาตานะที่ชื่อบิ๊กหลับตาพักหนึ่ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงชีวิตสองชีวิตที่อยู่ใกล้พวกเขา

"มันอยู่ใกล้ ๆ เรานี่แหละลูกพี่เอ็ด ยังไม่ได้หนีไปไหน"

ชายถือดาบคาตานะอีกคนซึ่งมีชื่อว่านัดพูดออกความเห็น

"สงสัยมันไม่รู้ว่าเรามีไนท์วิชั่น มันเลยกะใช้ความมืดสู้กับเรา"

นัดทำจมูกฟุตฟิตหลังพูดจบ แล้วพูดต่อ

"ได้กลิ่นเหมือนกัญชาเลยหวะ"

บิ๊กพูดบ้าง

"สงสัยจะเคยมีพวกกากเดนมาสูบทิ้งไว้แถวนี้ละมั้ง"

หลังจากที่พืชงอกขึ้นมาปิดทางเข้าจนมิดชิด พื้นที่ในชั้นหนึ่งทั้งหมดก็มืดสนิท แต่ทั้งหกคนนั้นมีแว่นตาที่สามารถมองเห็นในความมืดได้ สิ่งนี้จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา

ทั้งหกคนพากันเดินไปที่บันไดตัวเดียวที่อยู่ตรงกลางตึก แต่เมื่อพวกเขาเดินมาได้สักพักพวกเขาก็หายใจฟืดฟาดและเริ่มรู้สึกร้อนแปลก ๆ พร้อมกับได้กลิ่นควันบางอย่าง หัวหน้าเอ็ดตะโกนออกมาทันที

"มันกะจะรมควันเราวิ่งกลับที่ทางออก"

ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว ท่อนไม้หลายท่อนที่ติดไฟถูกขว้างมาทางพวกเขา

เอ็ดตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์

"เวรเอ้ย!"

ทั้งหมดพากันหยุดชะงักและปิดระบบไนท์วิชั่น เพราะกองไฟที่ลุกไหม้เป็นหย่อม ๆ ทำให้การมองเห็นของพวกเขานั้นพร่ามัว

บิ๊กมองไปรอบ ๆ ที่มีใบไม้แห้งหลายใบกำลังลุกเป็นไฟ

"มันกะจะเผาพวกเรา นัด"

นัดชักดาบออกมาแล้วตะโกนก้อง

"คมเขี้ยวสายลม"

ดาบคาตานะฟันใส่ความว่างเปล่า ก่อนจะเกิดเป็นคลื่นอันแหลมคมพุ่งไปตัดเถาวัลย์ที่ขวางทางเข้าเอาไว้จะขาดกระจุย แต่เพียงแค่ครูเดียวมันก็งอกกลับมาใหม่

ท่อนไม้ติดไฟถูกโยนมาเรื่อย ๆ ใต้พื้นที่คนทั้งหมดยืนอยู่นั้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง นั่นทำให้ท่อนไม้แต่ละท่อน ที่ตกลงพื้นไปเผาใส่พวกมัน เอ็ดหันไปตะโกน

"นัดเคลียใบไม้พวกนี้ให้ออกไปห่าง ๆ จากพวกเราก่อน"

นัดหันไปเหวี่ยงดาบไปรอบ ๆ จนเกิดเป็นคลื่นสายลมพัดใบไม้เหล่านั้นให้ปลิวออกห่างจากพวกเขา

แค่ครู่เดียวคนทั้งหมดก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยหอบจากการขาดอากาศหายใจ พวกเขาต้องพยายามสูดหายใจอย่างแรง เพื่อให้ออกซิเจนที่เหลืออยู่โดยรอบเข้าไปในปอดให้มากที่สุด แต่เมื่อสูดเข้าไป พวกเขาก็ต้องสูดเอากลิ่นควันเข้าไปด้วย คนทั้งหมดพากันสำลักกันเป็นการใหญ่ จมูกก็แสบตาก็แสบ ดวงตาของพวกเขามีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด แถมตอนนี้พวกเขาเริ่มมีอาการมึนหัวแปลก ๆ และรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ เอ็ดที่คุ้นเคยกับกลิ่นเหล่านี้ก็โวยวายอย่างหัวเสีย

"แค่ก แม่งเอ้ย มันเผากัญชาใส่เรา"

บิ๊กพูดขึ้นบ้าง

"กัญชาเหรอ แล้วไอ้กลิ่นแสบจมูกมันคืออะไรวะ แค่ก แค่ก"

ทั้งหมดพยายามตรงดิ่งไปยังทางออก แต่เมื่อสารเสพติดออกฤทธิ์ บวกกับออกซิเจนในร่างกายที่ไม่เพียงพอ ก็ทำให้พวกเขานั้น เดินเซไปเซมาและไม่สามารถที่จะทรงตัวให้ยืนเหมือนคนปกติได้ ทั้งหมดพากันล้มตัวลงนอนบนพื้นอย่างหมดสภาพ เอ็ดที่เคยสูบทั้งสองอย่างมาแล้วพยายามคลานไปให้ถึงขอบตึก ส่วนคนอื่น ๆ นั้นได้แต่มองความมืดด้วยดวงตาที่เหม่อลอย พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเอ็ดคลานมาเรื่อย ๆ เขาก็พบว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับท่อนไม้ในมือ

ผลัวะ! ท่อนไม้ฟาดใส่ใบหน้าของเอ็ดอย่างแรงจนเขาสลบไป

ชีฟมองผลงานของตัวเองอย่างพอใจ สภาพอากาศในนี้นั้นมีสภาวะที่เป็นผลร้ายถึงสามอย่าง สิ่งแรกคือเขาเผาอากาศข้างในทำให้อากาศเหลือน้อย สองคือควันจากการเผาพืชที่มีสารเสพติด สามคือการเผาพริกขี้หนูแห้ง ที่รับประกันความแสบถึงทรวง โดนสามสภาวะนี้เข้าไปไม่ล้มก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

ชีฟนำเมล็ดเถาสูบชีวิตไปวางไว้บนตัวแต่ละคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ มีห้าคนที่ยังมีลมหายใจ แต่มีหนึ่งคนที่เสียชีวิต คนที่ตายคือคนที่ถือดาบคาตานะ คนคนนี้คงจะไม่ถูกกับสารเสพติดเหล่านี้เสียเท่าไหร่ พอโดนเข้าไปในปริมาณมากเลยถึงกับช็อกจนตาย

เมื่อเร่งโตเถาสูบชีวิต พวกมันก็งอกรากที่เป็นเส้นฟอยออกมาและพันไปทั่วร่างของทั้งหกคน ชีฟที่เร่งโตเถาสูบชีวิตจนสุดแล้วก็มองอย่างสงสัย เพราะมันไม่มีผลอะไรให้เขาเก็บเกี่ยวได้เลย ก่อนที่เขาจะลองเปิดหน้าต่างช่องเก็บรักษาขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเขาสามารถเก็บเกี่ยวผ่านเมนูในหน้านี้ได้

"นี่สินะ ที่ทำให้เจ้าพืชนี้จำเป็นต้องมีสกิลนี้ก่อน"

ชีฟมองดูไอคอนรูปคนหกรูป ซึ่งเมื่อขยายใหญ่ขึ้นมาหนึ่งคน ไอคอนกลับไม่ปรากฏเป็นภาพเหมือนต้นพืช แต่ปรากฏขึ้นมาเป็นปุ่มสามปุ่มที่เขียนว่า พลังชีวิต พลังสกิล และบ่อพลังสกิล เขามองปุ่มทั้งสามอย่างสงสัย

"อะไรเนี่ย"

โชคดีที่ใกล้ ๆ แต่ละปุ่มมีปุ่มเล็ก ๆ ที่เป็นเครื่องหมายปริศนาอยู่ นั่นทำให้เมื่อชีฟจิ้มใส่ ก็มีคำอธิบายขึ้นมา

พลังชีวิต เป็นพลังที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต หากสิ่งมีชีวิตใดสูญเสียพลังนี้ไป ก็จะเสียชีวิตทันที

พลังสกิล เป็นพลังสำหรับสร้างสิ่งอัศจรรย์ เป็นพลังเหนือธรรมชาติที่สามารถทำได้ทุกสิ่ง โดยการจะใช้พลังสกิลได้นั้นจะต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญ

บ่อพลังสกิล เป็นขนาดของการกักเก็บพลังสกิลในตัวของสิ่งมีชีวิต ยิ่งบ่อพลังมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้พลังสกิลได้มากขึ้นเท่านั้น และการฟื้นฟูพลังสกิลของตัวบ่อ ก็จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังชีวิต ยิ่งพลังชีวิตแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งฟื้นฟูพลังสกิลได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

ชีฟที่อ่านทั้งสามปุ่มแล้วก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถ้าเขาเก็บเกี่ยวพลังชีวิต อีกฝ่ายก็ตายแน่นอน ถ้าเขาเก็บเกี่ยวพลังสกิล บ่อพลังก็คงจะฟื้นขึ้นมาให้ใหม่อยู่ดี ถ้าจะไม่ให้อีกฝ่ายใช้สกิลได้อีก ก็ต้องเก็บเกี่ยวบ่อพลังสกิล ชีฟลองจิ้มที่ไอคอนของคนที่ไม่มีสกิล ก็พบว่าบนหน้าจอไม่มีปุ่มพลังสกิลกับบ่อพลังสกิลอยู่ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง

ชีฟเลือกเก็บเกี่ยวบ่อพลังสกิลของทั้งสองคน แต่เมื่อจิ้มดูรูปของคนที่สาม ซึ่งคือคนที่ตายแล้ว ก็พบว่าไม่มีปุ่มพลังสกิลกับบ่อพลังสกิลแสดงขึ้นมาเช่นกัน

"ถึงว่า ถ้าตายแล้วจะไม่สามารถโยกย้ายสกิลได้"

เมื่อเก็บเกี่ยวและสลายพืชให้ไฟดับเรียบร้อย ชีฟก็ยึดอาวุธมาทั้งหมดยกเว้นดาบใหญ่ที่เขาถือไม่ไหว แล้ววิ่งกลับขึ้นไปหาคุณพ่อ เพราะถึงพิษของสารเสพติดกับพริกจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ออกซิเจนที่เหลือน้อยก็อาจทำให้เขาสลบได้เหมือนกัน

ด้านล่าง เจ้าสัวกับลูกน้องที่เหลือต่างพากันมองอย่างเป็นกังวล เพราะตอนนี้ลูกน้องที่ส่งเข้าไปข้างในไม่มีใครตอบวิทยุกลับมาเลย

ชายที่ขับรถให้เจ้าสัวเดินมายืนข้าง ๆ เจ้าสัว

"เอาไงดีครับ"

ชายอีกคนที่ถือธนูก็ออกความเห็น

"กลิ่นกัญชา เจ้าพวกนั้นคงโดนมอมจนหมดสภาพไปแล้ว ตอนนี้ไอ้เด็กนั่นเปลี่ยนตึกทั้งตึกให้กลายเป็นเขตแดนของมัน ถ้าส่งคนเข้าไปเพิ่มฝั่งเรามีแต่จะสูญเสียเปล่า ๆ"

ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ดาบคาตานะเล่มหนึ่งก็ถูกโยนลงมาจากชั้นสอง พร้อมกับเสียงของชีฟ

"พวกแกหมดสภาพไปแล้ว สกิลของผม ผมจะไม่ให้ใครทั้งนั้น กลับไปซะ"

นักธนูง้างธนูเตรียมยิง แต่เจ้าสัวก็ห้ามเอาไว้ แล้วเดินไปข้างหน้าอีกนิด

"พวกเราทั้งคู่อาจจะเริ่มต้นทำความรู้จักกันได้ไม่ดีเท่าไหร่ เรามาทำความรู้จักกันใหม่หน่อยมั้ย"

ชีฟเงียบไม่ตอบกลับ เจ้าสัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ก็เริ่มพูดต่อ

"ฉันมีข้อเสนอ ถ้าเธอยอมยกสกิลให้ลูกสาวฉัน ฉันจะให้เงินเธอสิบล้านบาท ข้อเสนอนี้เป็นไง"

คุณพ่อที่ฟังอยู่ถึงกับไม่สบอารมณ์ เขาเคยเป็นนักธุรกิจพันล้านมาก่อนเกษียณ

"สิบล้านแลกสกิลวิเศษจากเทพ เป็นข้อเสนอที่ง่อยมากเลยลูก"

"ผมก็ว่า"

คุณพ่อเอามือตบไหล่ว่าที่ลูกเขย

"ต่อให้ร้อยล้านก็อย่าไปยอมนะลูก สกิลของลูกยังมีประโยชน์อีกเยอะ"

"ครับ"

ชีฟรับคำก่อนจะตะโกนออกไป

"ผมใช้สกิลหาเงินเองได้มากกว่านั้นเยอะ กลับไปซะเถอะ"

เจ้าสัวมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

"พูดมาแบบนี้เธอคงมั่นใจสกิลของเธอมาเลยสินะ แต่ถ้าเราไม่เข้าไปในตึกนั้น แล้วหันไปหาคนที่อยู่กลางทุ่งนาแทน เธอจะทำยังไงงั้นเหรอ"

สัมทับกับคำขู่ มือธนูง้างลูกศรแล้วยิงใส่ตัวตึกบริเวณที่ชีฟและพ่อของครูน้ำตาลหลบอยู่ เพื่อบอกให้รู้ว่าพวกมันรู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน การยิงนี้เป็นการทดสอบความหนาของเถาวัลย์ด้วย ซึ่งเถาวัลย์บริเวณที่โดนยิงก็ขาดกระจุย แต่ก็ยังมีเถาวัลย์อีกหลายชั้นจนลูกธนูไม่สามารถทะลุเข้าไปข้างในได้ เมื่อเห็นดังนั้น มือธนูก็รู้ว่าเขาคงจะเจาะเข้าไปข้างในไม่ได้ง่าย ๆ แต่ในขณะที่เถาวัลย์กำลังงอกกลับมาใหม่ มือธนูก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

"เจ้าสัว ถอยหน่อยครับ"

มือธนูเดินไปข้างหน้า ก่อนจะโบกมือวูบเดียวก็เกิดไปสายลมที่คมดุจใบมีดทำลายเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นจนหมด

เจ้าสัวทำท่าหวาดกลัวอย่างเสแสร้ง

"อุ้ย อุ้ย อุ้ย เมล็ดพืชจะฆ่าฉัน ช่วยด้วย ช่วยด้วย"

เหล่าลูกน้องพากันหัวเราะก๊ากในการเล่นละครของเจ้าสัว

ชีฟที่มองอยู่กำหมัดแน่น เพราะเขากะจะปลูกกัญชาขึ้นมาแล้วรมควันพวกมัน แต่ก็ถูกสกัดไว้ได้

เจ้าสัวหันไปสั่งลูกน้อง

"เห้ย ส่งคนไปจับแม่กับน้องของมันมา เอ๊ะแต่เดี๋ยวสิ ได้ข่าวว่ามันมีเมียนมโตด้วยนี่หว่า เห้ย พวกแก่สนใจสาวนมโตมั้ยวะ"

ลูกน้องคนหนึ่งของเจ้าสัวก็พูดขึ้น พร้อมกับโชว์ท่าทางอันแสนอุบาทว์

"ถูกใจเลยครับเจ้านาย พวกผมจะได้จับมาตอก ตอก ตอกให้นมเด้งให้สะใจไปเลย"

ลูกน้องคนอื่นก็พากันทำท่าล้อเลียนและหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ชีฟที่มองอยู่ข้างบนโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขากัดฟันแน่นจนมีเลือดไหลตามเหงือก เส้นเลือดในดวงตาผุดขึ้นมาจนทำให้ดวงตาของเขาเริ่มกลายเป็นสีแดง แม้จะโกรธขนาดไหน แต่ตอนนี้เขากลับคิดวิธีที่จะสู้กับอีกฝ่ายไม่ออกเลย

'จะทำไงดี จะทำไงดี จะทำไงดี'

Próximo capítulo