ซ่า~!!
เสียงน้ำสาดกระทบใบหน้าขาวเนียนที่ตอนนี้หม่นหมองไปด้วยคราบดินโคลนสกปรกและคราบเลือดแห้งกรัง คนโดนค่อยๆเงยหน้าลืมตามองดูสิ่งที่เกิดขึ้น
"ตอบมาสักทีว่าเอ็งไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง?"
หญิงสาวเอียงคอด้วยความสงสัย ทั้งคำถามและภาษาที่ใช้ล้วนแต่ไม่เข้าใจทั้งสิ้น
"สงสัยจะโดนอัดยาจนเป็นบ้าไปแล้ว"
พูดจบก็ยกมือขึ้นฟาดแรงๆไปที่แก้มของคนตรงหน้าสองสามทีเป็นการเรียกสติ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในปากก่อนเธอจะถุยมันออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
"นี่เอ็งกล้าหือเหรอ!!"
ด้วยความโมโห ชายหน้าเข้มกำหมัดซัดเข้าที่ท้องและใบหน้าของหญิงสาวอย่างไม่ยั้ง พอรู้สึกเจ็บมือก็เปลี่ยนไปใช้ไม้ที่วางอยู่ไม่ไกลมาฟาดแทน จนสภาพของคนถูกกระทำตอนนี้ไม่ต่างจากศพ คนลงมือยังคงไม่พอใจ ตักน้ำสาดเรียกสติเข้าไปใหม่ ก่อนจะลงมือซ้ำอีกหลายครั้ง หญิงสาวบาดเจ็บจนชาเกินจะรู้สึกอะไรได้อีก ลำคอได้รับความเสียหายจนไม่สามารถร้องบอกความเจ็บปวดออกมาได้ ตาบวมจนแยกไม่ออกว่าลืมตาหรือหลับตาอยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากการโดนจิกกระชาก ไม่เหลือเค้าเดิมความเป็นคนอยู่อีกต่อไป ถึงอย่างนั้นคนใจทรามก็ยังไม่หยุดมือ
"ตีมันต่อไปแล้วจะได้คำตอบเหรอ?"
เสียงเล็กดังขึ้นที่ด้านนอกห้อง
"เอามันไปทิ้งได้ละ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะโดนข้อหาฆ่าคนตาย"
พูดจบก็เดินหายไป ก่อนจะมีชายฉกรรจ์สองสามคนเข้ามาแบกร่างเล็กที่ตอนนี้ไม่ต่างจากซากตุ๊กตาเก่าเน่าๆพังๆตัวหนึ่ง กระทั่งลมหายใจก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ายังมีหลงเหลืออยู่หรือไม่
"เอาไปทิ้งที่สุสานไร้ญาติ ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น"
"ครับ!"
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันแบกหามอย่างไม่สนใจใยดี ก่อนจะใช้เสื่อห่อและโยนใส่รถเข็น พร้อมทั้งเอาเศษซากผักผลไม้เน่ามาเททับลงไปอีกทีเพื่ออำพราง
"รีบทิ้งรีบกลับไปเมากันดีกว่า"
เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นคลืนใหญ่
"จริงด้วย คืนนี้พระเจ้าปราพกจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับสนมใหม่ เห็นว่างานนี้จัดที่ทุ้งกว้างใครจะไปก็ได้ สุรานารีไม่จำกัด"
ด้วยเสี้ยวสติที่ยังคงเหลืออยู่ทำให้หญิงสาวฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
'พระเจ้าปราพก?! นี่มันตั้งกี่ร้อยปีที่แล้ว อย่าบอกนะ..ว่าฉัน'
ยังไม่ทันจะได้คิดไตร่ตรองอะไรมากมาย รถเข็นก็ถูกคว่ำลงกับพื้น ทั้งเศษซากผักผลไม้และคนที่ถูกห่อด้วยเสื่อก็ลงมากองทับถมกันกับซากที่เคยมีอยู่ก่อนแล้ว แมลงวันที่บินหนีไปในตอนแรกก็ค่อยๆบินกลับมาอีกครั้ง เสียงฝีเท้าและล้อรถค่อยๆไกลออกไปจนไม่ได้ยิน
'แบบนี้คืออิสระแล้วใช่มั้ย?'
หญิงสาวครวญคิดน้อยใจในโชคชะตา
'กัดฟันสู้มาแทบตาย สุดท้ายจะมาจบที่กองขยะแบบนี้น่ะเหรอ ตลกสิ้นดี'
เธอเค้นแรงที่มีเหลืออยู่น้อยนิดออกมาเพื่อหัวเราะเยาะตัวเอง
'อวดเก่งนักเป็นไงล่ะอีเพล คนอื่นเตือนไม่ฟัง'
สายน้ำใสรินรดออกจากตาที่บวมเป่ง
'พ่อ…แม่ หนูขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่หนูทำไม่ดีไว้ ที่หนูดื้อและรั้นตลอดมา หนูรักพ่อกับแม่มากนะ"
หญิงสาวพยายามยกมือสองข้างขึ้นประกบพนมไหว้
'ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอผลบุญที่ลูกได้สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน ช่วยดลจิตผู้มีใจเป็นกุศลนำทางเขามาช่วยลูกด้วยเถิด ถ้าลูกมีชีวิตรอดไปได้แม้จะแค่วันเดียว ลูกจะใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนกับชีวิตใหม่ที่ท่านมอบให้'
ทันใดนั้นเสื่อที่ห่อตัวเธออยู่ก็ถูกเปิดออก
'เทศบาลมาเก็บขยะสินะ'
เสี้ยวสติสุดท้ายก่อนจะลาโลกนี้ไป เธอได้เอื้อมมือไปหาคนที่มาเป็นการขอความช่วยเหลือ และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท
กลิ่นของยาสมุนไพรลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง
ดวงตาน้อยๆค่อยๆปรือขึ้นอย่างช้าๆ ภาพแรกที่มองเห็นคือขื่อไม้เก่า คนสลึมสะลือหยีตาลงใหม่เพื่อปรับโฟกัสภาพให้ชัดเจน พรางชูคอขึ้นมองสำรวจไปรอบๆตัว ก่อนจะยันแขนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งและพินิจพิจารณา เธอใช้นิ้วมือลูบไล้ไปตามใบหน้าแขนขามือไม้เพื่อเช็คว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ทั้งตัวของหญิงสาวถูกพันด้วยผ้าดิบที่ชุ่มยาไปทั้งผืน เธอค่อยๆบรรจงแกะมันออกทีละนิด เมื่อผ้าค่อยๆเปิดอ้าออกก็พบว่าบาดแผลบางจุดยังคงมีรอยช้ำจางๆอยู่
"อ้าวแม่หนูน้อย นึกว่าจะนอนเป็นผักเน่าซะแล้ว"
"คุณ? คุณช่วยหนูไว้เหรอคะ?"
ชายแก่หัวขาวหน้าตาใจดีเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเดินมือไพล่หลังเข้ามา พร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ
"เดาถูกแค่ครึ่งเดียว ข้าทำหน้าที่แค่รักษา"
ยังไม่ทันที่ชายแก่จะได้พูดจนจบประโยค หญิงสาวก็พุ่งตัวลงนั่งคุกเข่าก้มหัวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ คำพูดขอบคุณที่ฟังไม่เป็นภาษากับสายน้ำใสที่ไหลท่วมแก้มทำเอาชายแก่หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
"ขอโทษๆ ก็ข้าเป็นหมอมีหน้าที่ต้องรักษาคนเจ็บ เป็นเรื่องธรรมดา"
ชายแก่ก้มลงพยุงร่างหญิงสาวขึ้น
"เลิกร้องได้แล้ว แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง"
"ก็..รู้สึกดีขึ้นมากกว่าตอนแรกเยอะเลยค่ะ"
"ก็นะ ก็ผ่านไปเกือบสองปีแล้วนี่นา"
"ว่าไงนะคะ! หนูนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรามาสองปีเลยเหรอ?!"
หมอเทวดาพยักหน้าหงึกหงัก ยิ่งทำให้อีกคนร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
"พ่อแม่ก็ไม่ใช่ แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้หนูตาย บุญคุณนี้ชดใช้ไม่หมดจริงๆ"
คนแก่ยกมือขึ้นโบกปัด พรางส่ายหน้าช้าๆ
"มีคนช่วยน่าไม่ต้องเป็นห่วง ลูกศิษย์ลูกหาข้าก็ไม่น้อยนะจะบอกให้"
"รับหนูเป็นศิษย์อีกสักคนนะคะได้โปรด อยากให้หนูทำอะไรสั่งมาได้เลยค่ะ"
"รักษาตัวให้หายดีแล้วก็กลับบ้านไปหาพ่อหาแม่เถอะ ดูท่าเอ็งน่าจะเป็นลูกหลานพวกฝรั่งมังข้าที่มากับเรือใช่มั้ย? การพูดการจาไม่เหมือนคนที่นี่"
หญิงสาวซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพูดตอบ
"พ่อแม่ของหนูอยู่ไกลจากที่นี่มากเลยค่ะ ไกลหลายร้อยปีเลย"
"คงเป็นการพูดเปรียบเทียบสินะ ข้าเข้าใจ"
ชายแก่ย่อตัวลงตบบ่าหญิงสาวเป็นการปลอบใจ
"ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน แต่การจาลาเป็นเรื่องที่แน่นอน ถ้าไม่ถือสาคนแก่ เอ็งเรียกข้าว่าพ่อได้นะ"
"ค่ะ! ได้ค่ะ คุณพ่อ!"
เธอโผลเข้ากอดชายชราพร้อมกับร้องไห้โฮอย่างไม่ปิดบัง เขาพยักหน้าตอบรับสองสามทีก่อนจะจับให้หญิงสาวยืนขึ้น
"ไม้ใกล้ฝั่งอย่างข้าจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ มานี่มา ข้าจะสอนวิชาให้เอ็งได้นำไปใช้ช่วยเหลือคน"
"จริงเหรอคะ?! ขอบคุณมากนะคะ!"
"ถ้ารู้สึกขอบคุณข้า ก็ตั้งใจร่ำเรียนวิชาให้ดี แล้วเป็นศิษย์เอกของข้าให้ได้"
"เป็นศิษย์เอกต้องเก่งแค่ไหน ต้องรู้อะไร ต้องทำอะไร บอกหนูมาได้เลยค่ะ เรื่องเรียนรู้หนูเร็วอยู่แล้ว"
"ศิษย์เอกของข้าน่ะ ชาวบ้านจะเป็นคนตัดสิน"
"ชาวบ้าน?"
"ถ้าเอ็งมีวิชารักษาคนจนเป็นที่เลื่องลือเมื่อไร เมื่อนั้นชาวบ้านก็จะให้สมญานามนั้นกับเอ็งเอง"
"รับทราบเจ้าค่ะ!"
"ชื่อแซ่อะไรล่ะเอ็ง"
"ชื่อเพลค่ะ เอ่อ..เรียกเพทายน่าจะง่ายกว่า"
"อื้อ..ชื่อดีนะ ข้าชื่อปรวาณ แต่คงจะเรียกยากไปใช่มั้ย เรียกปรานก็ได้"
หมอเทวดาพาหญิงสาวออกมาจากห้องที่อยู่ในตอนแรก เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องถูกใบหน้า ดวงตาที่ไม่ได้เจอแสงมานานก็ถึงกับหยีหลบจนต้องยกมือขึ้นมาบัง พอปรับตัวได้เธอก็ได้พบกับธรรมชาติที่สวยงาม บ้านไม้ทรงไทยโบราณยกสูงท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ที่ใต้ถุนมีแคร่ไม้ตากสมุนไพรวางเรียงรายเต็มไปหมด
"ก่อนอื่นจะเรียนวิชาหมอต้องรู้เรื่องสมุนไพรให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน รู้วิธีปลูก วิธีดูแลรักษา วิธีเก็บเกี่ยว รู้โทษรู้คุณ รู้วิธีนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งราก ลำต้น ดอก ใบ ผล จนถึงเมล็ดล้วนมีประโยชน์ของมันทั้งสิ้น"
ชายแก่พาหญิงสาวเดินดูลานตากสมุนไรพร้อมทั้งอธิบาย
"มีกระดาษดินสอมั้ยคะ? ให้จำวันนี้จำไม่หมดแน่"
"มันคืออะไรรึแม่หนู?"
"ก็ที่เอาไว้บันทึกตัวหนังสือน่ะค่ะ"
"อ๋อ หมายถึงหนังสือใบลานน่ะรึ? มันแพง คนรากหญ้าอย่างเราๆไม่ใช้มันทำอะไรแบบนี้หรอก"
"แต่นี่มันเป็นวิชาหมอที่จะช่วยรักษาชีวิตคนเลยนะคะ ไม่สำคัญยังไง?"
"เฮ้อ..พูดก็พูดเถอะนะ คนแก่ที่อยู่มาหลายแผ่นดินอย่างข้า ยุคพระเจ้าปราพกเป็นยุคที่ให้ความสำคัญแต่เรื่องการค้าขายกับฝรั่งมังข้า เรื่องเผยแผ่ศาสนา และเรื่องจรรโลงใจอย่างการเต้นระบำ ส่วนยาสมุนไพรก็มีไว้ขายให้ฝรั่งเอาไปทำยาเม็ดผีบอกกลับมาขายให้เราอีกที"
หญิงสาวมีท่าทีครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
"อันนั้นๆๆ มันเรียกว่าอะไรนะ มันติดอยู่ที่ปาก …อืม… เออใช่ สมุดฝรั่ง มันมีขายมั้ย?"
"เอ็งก็เป็นไปกับเขาอีกคนเหรอ! ไอ้วัฒนธรรมฝรั่งเนี่ย บอกว่ามันแพงไง ของพวกนั้นเราไม่มีปัญญาซื้อหรอก แค่เอาเงินที่มีมาทำสมุนไพรส่งเข้าวังกับใช้กินใช้อยู่ทุกวันนี้ก็แทบไม่เหลือแล้ว"
"อย่าพึ่งดุหนูสิ พ่อนี่ยังไงก็คือพ่ออยู่วันยันค่ำจริงๆ เรื่องค้าขายกับฝรั่งพ่อบอกเขาซื้อสมุนไพรไปทำยาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเราถึงไม่มีเงินล่ะ หรือว่ามีเจ้าอื่นกดราคา? แล้วบ้านไม้สักพวกนี้ล่ะมันก็แพงไม่ใช่เหรอ"
คนแก่ส่ายหัวเนือยๆพร้อมถอนหายใจ
"บ้านนี่น่ะก็พวกบรรดาลูกศิษย์มาทำให้ทั้งนั้น คนรากหญ้าอย่างเราๆคุยกับพวกฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอก โน่น..เขาไปซื้อขายกันในวังโน่น พระราชโอรสคนรองท่านเรียนจบจากเมืองนอกเมืองนามา ท่านพูดภาษาฝรั่งได้"
"หนูก็พูดได้นะ!"
"เออ ข้าไม่แปลกใจหรอก ก็เอ็งมันลูกฝรั่งนี่นา"
ชายแก่พูดน้ำเสียงเหมือนน้อยใจ
"เอางี้ พ่อพอรู้จักกับพวกฝรั่งบ้างมั้ย หรือที่ที่จะเจอพวกนั้นก็ได้ เดี๋ยวหนูจัดการเรื่องเงินในบ้านเราให้ จะทำให้รวยจนพ่อเอาเงินมาถมที่แทนดินได้เลย"
คนพ่อถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
"ไอ้คนเล็กบ้านมันอยู่ใกล้ตลาด มันรู้จักคนเยอะ ลองคุยกับมันดู"
พูดจบ หมอเทวดาก็กวักมือเรียกลูกศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นให้ไปตาม 'คนเล็ก' มาพบ ไม่นานคนดังกล่าวก็ปรากฏตัว รูปร่างปราดเปรียวคล่องตัว ดูก็รู้ว่าเป็นคนขยัน
"จารย์เรียกข้ามีอะไร?"
"พาลูกสาวข้าไปเจอไอ้พวกฝรั่งมังข้าทีสิ"
"ลูกสาว?"
"เออ ไม่ต้องถามมาก รีบไปรีบกลับ"
คนเล็กเกาหัวแกรกๆแต่ก็ยอมนำทางไปแต่โดยดี
'ความจริงตั้งใจจะไปพรุ่งนี้ แต่คนที่นี่พูดอะไรแล้วต้องทำเลยสินะ'
หญิงสาวคิดในใจ พรางมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนข้างๆ
'ก็ตัวเล็กสมชื่อ ..เดี๋ยวก่อนนะ'
เธอหยุดชะงักจนอีกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"เราตัวเท่ากัน?!"
"ใช่ เอ็งเป็นอะไร"
เพลลุกลี้ลุกลน พยายามมองหาแอ่งน้ำ จนไปเห็นตุ่มน้ำที่ตีนบันไดบ้าน เธอจึงรีบถลาตัวเข้ากอดตุ่มพร้อมกับชะโงกดูเขาสะท้อน
"ฉันกลายเป็นเด็ก?!"
"เอ็งเป็นเด็กแล้วเป็นยังไง ข้าก็เป็นเด็ก เด็กไม่ดีตรงไหน?"
คนมาด้วยเหมือนจะเริ่มมีน้ำโห เธอจึงต้องรีบตั้งสติโดยเร็วที่สุด
"อ๋อ..ไม่ เอ่อ คือว่า สมุนไพรพ่อหมอน่ะดีมากเลย ทำฉันหน้าเด็กลงเป็นสิบๆปี ตกใจแทบแย่แหนะ"
"อือ ดีก็ดีแล้ว ไปกันต่อได้ยัง"
หญิงสาวยิ้มแห้งๆตอบกลับ
'นี่ฉันไม่ได้ข้ามเวลามาเข้าร่างคนอื่น? แต่ฉันย้อนเวลากลับมา…อย่างงั้นเหรอ?! ก็นี่มันฉันตอนเด็กชัดๆเลย แล้วเอาเด็กไปเจรจาการค้าใครเขาจะเชื่อกัน'
เธอยังคงไม่หยุดลูบคลำใบหน้าตัวเอง จนคนข้างๆมองแรงหลายที
"เอ่อ เธอชื่ออะไรเหรอ? ฉันชื่อเพทายนะ"
"ชื่อคนเล็ก"
"คนเล็กเหรอ?"
"ก็ที่บ้านมีพี่น้องสามคน แม่เลยตั้งให้ชื่อคนโต คนกลาง แล้วก็ข้า..ชื่อคนเล็ก"
"อ๋อ สร้างสรรค์ดีนะ"
ความพยายามจะชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศระหว่างทางดีขึ้น แต่กลับยิ่งน่าอึดอัดมากกว่าเดิม
"ฉันทำอะไรให้เธอไม่ชอบรึเปล่า บอกได้นะ"
"นี่รู้มั้ย ใครๆก็อยากให้หมอเทวดารับเป็นลูกทั้งนั้น แต่ก็เป็นได้แค่ลูกศิษย์ เอ็งนี่มีบุญมาจากไหน ทั้งตอนแรกที่มหาอุปราชพามาก็อย่างกับศพ ไม่น่ารอดมาได้"
"ใครช่วยฉันนะ?"
"ช่างเถอะ ถึงแล้ว เดินตรงเข้าไปก็เจอแล้ว พวกฝรั่งน่ะอยู่กันให้ควั่ก"
"อ่อ ขอบคุณนะ"
"ฉันจะรออยู่ที่ร้านนี้จนถึงเพลาชาย"
พูดจบก็เดินหายไป ทิ้งความงุนงงเอาไว้กับหญิงสาว
'เพลาชายคืออิหยังวะ?'
แต่ก็ได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เธอก้าวย่างเข้าตลาดที่มีคนชุกชุมด้วยผ้าพันแผลเต็มแขนขาแต่ก็ไม่หวั่นต่อสายตาที่จับจ้องมา หญิงสาวเล็งไปที่ร้านขายไม้เก่า ร้านขายยาสมุนไพร ในที่สุดก็เจอเหยื่อรายแรก ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาสะอาดสะอ้านแต่งตัวภูมิฐาน กำลังเดินจับๆดมๆสมุนไพรที่ร้านแพงลอยเล็กๆอย่างตั้งใจ
'นี่มันเข้าตำราประธานบริษัทเลยนี่นา'
หญิงสาวคิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าประชิดตัวทันที
"May I help you?"
(มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ยคะ)
"Oh!, that sounds nice"
(โอ้! นั่นจะดีมากเลย)
"Something I can do for you?"
(มีอะไรที่ฉันพอจะทำให้คุณได้บ้าง)
"That's what I'm thinking"
(นั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่เลย)
"Really?"
(เหรอคะ?)
"Yeah, maybe I'm thinking about you"
(ใช่แล้ว บางทีผมอาจจะกำลังคิดเรื่องคุณ)
"Nah, are you kidding?"
(ไม่ใช่แล้ว คุณกำลังล้อฉันเล่น)
"ไม่ ไม่ล้อเล่น"
"คุณพูดไทยได้!"
"คุณยังดูเด็กอยู่เลยแต่พูดอังกฤษได้ ผมตกใจกว่า คุณเก่งมากๆ"
คนถูกชมเขินหนักจนต้องยกมือขึ้นลูบต้นคอแก้เขิน
"มากับเรือลำไหนเหรอ? แล้วจะกลับเมื่อไร?"
"ฉันอยู่ที่นี่ ช่วยพ่อทำธุรกิจสมุนไพร เห็นคุณสนใจเลยอยากช่วยแนะนำค่ะ"
"หาที่โล่งๆคุยกันดีมั้ยครับ"
"ดีค่ะ"
"this way, please"
(เชิญทางนี้ครับ)
ว่าแล้วก็พากันเดินออกจากตลาดไปยังท่าเรือ ทั้งคู่เดินเล่นเรียบริมฝั่งแม่น้ำกอนลมชมบรรยากาศไปเรื่อย
"My name is Addison"
(ผมชื่อว่า แอดดิสัน)
"You can call me pain"
(คุณเรียกฉันว่าเพลก็ได้)
"Pain? ความเจ็บปวด?"
"Phethay from Zircon in Thai"
(เพทาย มาจากชื่อพลอยชนิดหนึ่งในภาษาไทย)
"เพทาย?"
"That's right!"
(ใช่เลย)
"ผมก็มีชื่อไทยนะ ชื่อไอยรา"
"Wow! คุณตั้งเองเหรอ เพราะมาก"
"มีคนคนหนึ่งตั้งให้ผม เขาบอกผมตัวใหญ่เหมาะกับชื่อนี้"
"ไอยรา แปลว่า ช้าง"
"สัตว์ประจำชาติไทยน่ะเหรอ?"
"ใช่แล้ว"
"ผมควรต้องภูมิใจกับชื่อนี้มากๆ"
"ถามได้มั้ยคะว่าคุณมาทำอะไรที่นี่"
"ก็เหมือนๆกับคนอื่นแหละครับ ผมสนใจในความเป็นไทยทุกๆอย่าง เลยอยากทำให้มันเป็นอาชีพของผม"
"อย่างที่เขาว่ากันสินะคะ ว่าถ้าได้ทำงานในสิ่งที่รัก เราจะไม่ต้องทำงานอีกต่อไป"
"ผม..ไม่เข้าใจ"
หญิงสาวปล่อยหัวเราะออกมาฮาใหญ่ ทำเอาฝรั่งเกาหัวแกรกๆ
"Forget it"
(ลืมๆมันไปเถอะ)
เธอยกมือบอกปัดพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
"ว่าแต่ คุณสนใจธุรกิจสมุนไพรใช่มั้ย ฉันแนะนำให้ได้จริงๆนะ"
"ผมสนใจมากๆเลยครับ แต่ได้ยินมาว่าชาวต่างชาติซื้อได้แค่ที่เดียว เสียดายมาก"
"อ๋อ อันนั้นเรียกว่าผูกขาดตลาด จริงๆที่ชาวต่างชาติต้องเข้าไปซื้อในวังเพราะคุยกับคนขายข้างนอกไม่รู้เรื่อง ก็แค่นั้นเอง"
"ต้องบอกว่าคนขายไม่คุยกับผมถึงจะถูก"
ชายหนุ่มมีท่าทีงอนเล็กน้อย ทำเอาหญิงสาวแอบหลุดหัวเราะให้กับความน่ารักนี้
"ความจริงอีกเรื่องคือสมุนไพรที่ขายในวังก็ของพ่อฉันทั้งนั้น อยากไปดูสถานที่ผลิตหน่อยมั้ย?"
ฝรั่งพยักหน้าหงึกหงักจนคอแทบหัก เธอจึงพาเขาเดินย้อนกลับไปยังร้านที่คนเล็กบอกว่าจะรออยู่ในตอนแรก
"นึกว่าหลงทางหายไปแล้ว"
คนเล็กพูดขึ้น
"แล้วนี่ใคร?"
"ลูกค้า"
"จะกลับยัง?"
"พากลับให้เร็วเลย"
"ถ้าเพลาชายไม่มาว่าจะกลับละ"
"เพลาชายคืออะไร?"
"เพลาชายก็คือเพลาชาย ถามมากอยู่ได้"
พูดจบก็เดินนำหนีไป
"Early Afternoon"
(ช่วงบ่าย)
"How do you know that?
(คุณรู้นั่นได้ยังไง?)
ชายหนุ่มยักไหล่ยิ้มกริ่มก่อนจะเดินตามคนเล็กไป ทิ้งให้หญิงสาวฉงนสงสัยอยู่อย่างนั้น ไม่นานทั้งสามคนก็เดินเรื่อยมาจนถึงบ้านหมอยาเทวดา ท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่มีฝรั่งมาถึงที่โรงยาแห่งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต่างคนก็ต่างวิ่งกรูกันมามุงดู บ้างก็สะกิดถามคนเล็กว่าเกิดอะไรขึ้น
"I can speak Thai but secretly"
(ที่ฉันพูดไทยได้ เป็นความลับนะ)
ชายหนุ่มก้มกระซิบกับหญิงสาว เธอพยักหน้าพรางยกมือขึ้นทำท่าโอเคเป็นการตอบกลับ
"พ่อ!! หนูพาลูกค้ามาแล้ว!"
เสียงฝีเท้าย่ำเหยียบพื้นไม้กระดานเสียงดังปึงปังท่าทางดูรีบร้อน
"กำลังวังชามาเลยนะทีนี้"
เมื่อตั้งสติได้ชายแก่ก็ค่อยๆสำรวมกริยาแล้วเดินออกมายืนต่อหน้าไอยราอย่างผ่าเผยต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหามากมาย
"ไอ้หนุ่มนี่มันจะเอาอะไรรึ?"
"What would you like, sir?"
(คุณต้องการซื้ออะไรคะ?)
เธอหันไปถามเขา ชายหนุ่มหยิบสมุดพกเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อ
"Do you have another one like this?"
(คุณมีอันนี้อีกมั้ย?)
"This?"
(อันนี้เหรอ?)
"Notebook"
(สมุดจดน่ะ)
"Of course, Do you want it?"
(แน่นอน คุณอยากได้เหรอ?)
"Can you sell it to me?"
(คุณขายให้ฉันได้มั้ย?)
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก
"I give you free but there is an exchange"
(ฉันให้คุณฟรี แต่มีข้อแลกเปลี่ยน)
"Exchange?"
(ข้อแลกเปลี่ยน?)
"Exchange of your kindness"
(แลกเปลี่ยนกับน้ำใจของคุณ)
"Really?"
(จริงนะ?)
เขาพยักหน้าพร้อมยิ้มอย่างอบอุ่น
"I'll bring it for you tomorrow"
(เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาให้นะครับ)
หญิงสาวพยักหน้ารับด้วยความดีใจ
"ตกลงไอ้หนุ่มนี่มันมาซื้ออะไร?"
ชายแก่ถามย้ำ ผู้มาเยือนเหมือนจะรู้ตัว ยื่นสมุดพกพร้อมกับเปิดหน้าสมุดหน้านึงให้กับคนตรงหน้า หมอเทวดารับไปก่อนจะร้องอ๋อออกมาเสียงดัง
"ฟ้าทะลายโจรนี่เอง สมุนไพรผีบอกเลยนะ ตาถึงนี่ไอ้หนุ่ม"
หญิงสาวสงสัยว่าชายแก่รู้ได้ยังไง เธอจึงชะโงกหัวเข้าไปดูที่หน้าสมุดเล่มนั้นบ้าง
"Photo book?"
(สมุดภาพเหรอ?)
"Yes, with hand drawn"
(ใช่ วาดด้วยมือ)
ยังไม่ทันจะได้คุยกันจนจบดี หมอเทวดาก็เร่งเร้าให้ทั้งสองคนตามไปที่โรงเก็บสมุนไพรเพื่อดูตัวอื่นๆเผื่อฝรั่งจะอยากได้ติดมือกลับไปด้วย
"ฟ้าทะลายโจรจะเอาเท่าไรรึพ่อหนุ่ม"
"แหม เปลี่ยนสรรพนามอย่างเร็วเลยนะพ่อ งี้แหละน้า มีเงินนับน้อง มีทองนับพี่"
"อะไรของเอ็ง ก็เขาเป็นลูกค้า"
"ตอนแรกยังไอ้หนุ่มๆอยู่เลย"
ชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจให้กับความน่ารักของพ่อลุกคู่นี้
"You seem very close to your father"
(คุณดูสนิทกับพ่อมาก)
"He owns my life"
(ก็เขาเป็นเจ้าของชีวิตฉันนี่นา)
"Is it good to talk about business?"
(เรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีมั้ย?)
"How much do you get?"
(จะรับเท่าไรดีคะ?)
"How much do you have, I take them all"
(คุณมีเท่าไร ผมเอาทั้งหมด)
"Are you kidding?"
(ล้อเล่นใช่มั้ย?)
"Today and in the future"
(ทั้งวันนี้และในอนาคต)
"Did I hear wrong?"
(ฉันฟังผิดไปรึเปล่า?)
"Let's talk about the price"
(มาคุยกันเรื่องราคาดีกว่า)
"You try to offer"
(คุณลองเสนอมาเลย)
หลังจากได้ลองฟังราคาที่ลูกค้าเสนอมาให้ ฝั่งคนขายก็ถึงกับวิงเวียนจนต้องขย้ำใบยูคามาดมเพื่อบรรเทา เพราะจำนวนเม็ดเงินเมื่อเทียบกับสมุนไพรพื้นบ้านที่หาได้ง่ายแล้วนั้น มันมากเกินไปจนเหมือนไปหลอกปล้น ทั้งสองฝ่ายจึงต้องเจรจากันให้ราคาเป็นกลางที่สุด ไม่ให้มีฝ่ายไหนขาดทุนหรือเสียเปรียบจนเกินไป และกว่าจะตกลงกันให้เป็นกลางได้ เวลาก็ล่วงเลยไปจนโพล้เพล้ คนเฒ่าคนแก่ก็ถือกันว่าเดินทางช่วงนี้ไม่ดี เลยเสนอให้แขกนอนพักที่นี่ก่อน รุ่งเช้าแล้วค่อยเดินทางกลับ