ตอนที่ 304 ป้ายหลุมศพผู้มาเยือน
“ฉันเห็นด้วยกับการวินิจฉัยของคุณ แต่เราไม่มีทางที่จะสามารถนำของชิ้นนั้นออกมาได้เลย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“ใช่ เทคนิคเทียนซวนที่เขาใช้ออก มันเร็วเกินไป นั่นนับว่าเป็นปัญหาจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
“จากการวิเคราะห์ของฉัน ฉันคิดว่าของชิ้นนั้นจะส่งผลกระทบบางอย่างต่อบ่อพลังงาน ยกเว้นเสียแต่มันเป็นระเบิดระดับนาโน”
“มีโอกาสเป็นไปได้ เก้าในสิบ ส่วน”
กู่ฉิงซานยิ้มและเอ่ยต่อ “เดชะบุญ ที่ทุกอย่างในที่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้น มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะเคลื่อนไหวได้เร็วแค่ไหน เพียงแต่มันไม่ไประเบิดตัวบ่อพลังงานจริงๆ ของคุณก็พอแล้ว”
“ถ้าอย่างงั้นต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?” เทพธิดากงเจิ้งถาม
“ก็ทำตามกระบวนการของคุณไปก็แล้วกัน”
“เริ่มจากแจ้งผู้บัญชาการกองทัพทั้งสามเหล่า ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายของรัฐบาลกลางเพื่อจับกุมตัวเขา และให้ศาลทหารเป็นผู้พิจารณาคดี”
“แต่ฉันพนันได้เลยว่าพวกเราจะไม่ได้รับข้อมูลใดๆ และเขาก็จะหายตัวไปก่อนที่จะถูกจับได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้น คุณมีความคิดเห็นอย่างไร?”
“ใช้วัสดุพิเศษที่มีความทนทานมากที่สุด แยกบริเวณนั้น ออกจากพื้นที่ภายนอกซะ”
“แล้วจากนั้นล่ะ?”
“ก็มารอดูกันว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร” กู่ฉิงซานกล่าว
“เช่นนั้น ฉันขอเริ่มลงมือทำตามคำแนะนำของใต้เท้ากู่ฉิงซาน” เทพธิดากงเจิ้งประกาศแจ้งเตือน
กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ “ดูเหมือนว่าฉันยังคงไม่น่าจะได้กลับลงไปที่วิลล่าในเร็วๆ นี้ซะล่ะมั้ง”
“รับทราบแล้ว ใต้เท้า ดูเหมือนว่ามีข้อความจากซางหยิงฮ่าว เหลียวฮัง เย่เฟย์หยู และแอนนาส่งมา”
กู่ฉิงซานประหลาดใจในทันใด
ตนใช้เวลาตัดผ่านขอบเขตเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มวิศวกรต่ออีกสี่ถึงห้า ชั่วโมง
ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาได้ปิดอุปกรณ์สื่อสาร แต่ทั้งหมดกลับเลือกที่จะส่งข้อความมาหาในเวลานั้น เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?
“โอเค เปิดให้ฉันฟังได้เลย”
เสียงของเหลียวฮังดังขึ้น “บอส ไอ้เทคนิคฝึกยุทธของแกนี่มันโคตรงงเลย มีบางส่วนที่ฉันไม่เข้าใจมัน ถ้าไม่รบกวนมากเกินไป แกช่วยมาให้คำแนะนำฉันสักหน่อยจะได้ไหม แล้วฉันจะจัดเรียงระบบการป้อนข้อมูลดูอีกที”
กู่ฉิงซานกดเปลี่ยนข้อความถัดไป
ท่ามกลางสัญญาณรบกวน เสียงของซางหยิงฮ่าวตะโกนออกมาผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “เกิดอะไรขึ้นกับเย่เฟย์หยูน่ะ? ทำไมถึงฆ่าคนแบบไม่เลือกวิธีการอย่างนั้น มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะที่กระทำการเอิกเกริกผ่านการถ่ายทอดสดน่ะ ฉันเลยต้องกลับมาล่วงหน้าเพื่อช่วยปกปิดร่องรอยของเขา”
แม้แต่ซางหยิงฮ่าวก็ยังไม่ทราบถึงรายละเอียดเบื้องลึก เรื่องที่ว่าเพชฌฆาตตัวตลกก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ดูเหมือนว่ามันจะถูกปกปิดโดยเทพนักสู้และรัฐบาลกลาง
นี่คงเพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนกของสังคม
เพราะหลังจากที่เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ได้จบลง ชื่อของเพชฌฆาตตัวตลกก็ได้กลายมาเป็นคำใช้ที่กระตุ้นความหวาดกลัวแก่มนุษย์ไปแล้ว
ตัวตลกจะไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกสนุกและหัวเราะไปกับมันได้อีกต่อไป
ตลอดทั้งโลก ตัวตลกตามคณะละครสัตว์ได้ตกงานกันเป็นแถว และจำต้องเปลี่ยนอาชีพของพวกเขา
กู่ฉิงซานครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามเทพธิดา “แล้วซางหยิงฮ่าว ทำอะไรลงไปอย่างงั้นเหรอ?”
“เขาทำการโน้มน้าวหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของรัฐบาลกลาง และขอเข้าพบกับวุฒิสมาชิกหลายคนเพื่อเสนอปฏิรูปและลงมติของรัฐบาลกลาง”
“ลงมติในเรื่องอะไร?”
“เรื่องการหลีกเลี่ยงความหวาดกลัวที่อาจจะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ร้องขอให้รัฐบาลประกาศว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาวานนี้คือการจำลองการบุกโจมตีมนุษย์ของผีดิบนักฆ่า”
“แล้วใครจะเชื่อกันล่ะนั่น”
“ไม่อาจทราบได้ แต่ผู้มีอำนาจจากหน่วยงานต่างๆถึงขั้นตั้งโต๊ะแถลงการณ์ร่วมกัน และพวกเขายังถึงขั้นร้องขอให้ฉันช่วยด้วยเช่นกัน ดังนั้น ฉันเลยต้องช่วยพวกเขาสร้างหลักฐานปลอมๆ ขึ้น”
“…ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามันจริง ผู้คนก็อาจจะเชื่อ”
“ตอนนี้ทั้งตลอดทั้งตระกูลหวังคลั่งไปแล้ว พวกเขาสั่งให้ทำการไล่ล่า อยากจะลากคอเย่เฟย์หยูมาจนแทบบ้า”
“แล้วพวกเขามีความคืบหน้าใดๆ บ้างรึเปล่า?”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
“งั้นก็ดี”
กู่ฉิงซานกดปุ่มเปลี่ยนข้อความอีกครั้ง
ตามด้วยเสียงของแอนนาที่ดังออกมา “ฉันสบายดี และกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางอันแสนยาวนานและยากลำบาก นายก็ระมัดระวังตัวให้ดีด้วยล่ะ รอให้ฉันกลับไปหานะ”
ปุ่มเปลี่ยนข้อความถูกกดอีกที
ตามด้วยเสียงของเย่เฟย์หยูที่ดังออกมา “ฉันได้ยินเสียงวิญญาณคนตายคนอื่นๆ จริงๆ ด้วย! ในชั่วโมงนั้น ตราบใดที่ฉันต้องการจะฟัง ฉันก็จะได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูด”
“เรื่องราวมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ เอาไว้นายกลับมา แล้วพวกเราจะพูดคุยเกี่ยวกับมันอย่างละเอียดในภายหลัง”
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
สิ่งที่เกี่ยวกับวิญญาณคนตาย ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
เพราะหากเราสามารถรับรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังความตาย นั่นจะเป็นเหตุการณ์สำคัญ! เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่อีกก้าวหนึ่งของมนุษยชาติ!
สักวันหนึ่ง ความจริงที่ว่านั่นก็จะถูกเปิดเผย
ดังนั้น ในตอนนี้กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถละทิ้งโลกจริง และไปกลับไปยังต่างโลกอีกใบได้ในทันที
เขาจ้องมองข้อความเสียงเหล่านั้น อยู่เนิ่นนาน
เมื่อไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจว่าจะยังไม่ไปจากที่นี่ชั่วคราว
เนื่องจากมีหลายสิ่งมากมายที่เกิดขึ้น และจำต้องสืบเสาะหาความจริงของมันอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝนที่หยุดตกลงมาอย่างกะทันหัน หรือปัญหาต่างๆ ในโลกจริงที่สมควรจะถูกแก้ไขให้แล้วเสร็จเสียก่อน
คงต้องรอจนกระทั่งภัยพิบัติเปิดเผยตัวตนของมันออกมา จากนั้นก็เร่งแก้ปัญหา แล้วจึงค่อยออกเดินทางกลับไป
ในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะต้องออกเดินทางไปยังต่างโลก กู่ฉิงซานก็ยังมีบางอย่างที่ต้องเตรียมการเสียก่อน
เขาติดต่อซางหยิงฮ่าวเป็นคนแรก
“มีเรื่องอะไร?…อ๋อเปล่าๆ ไม่ได้กำลังยุ่งอยู่ แต่ฉันแค่พึ่งจะได้นอนพักหลังจากที่ยุ่งและล้ามาทั้งวันน่ะ” ซางหยิงฮ่าวขยี้ตา
“ฉันต้องการจะไปเรียนรู้อะไรบางอย่างจากสมาคมนักฆ่าของนายน่ะ นายพอจะช่วยเรื่องนี้ได้ไหม” กู่ฉิงซานถาม
“ว่าไงนะ! นายต้องการที่จะเข้าร่วมกับสมาคมของฉัน!? นี่นายจริงจังรึเปล่า!!” ซางหยิงฮ่าวลุกพรวดขึ้นทันที
“ใช่ พอดีว่าฉันอยากเรียนรู้ทักษะบางอย่างน่ะ บางทีเย่เฟย์หยูก็คงต้องไปด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
“งั้นนายก็กลับมาก่อนแล้วกัน ฉันจะไปรอนายที่ห้องนั่งเล่น” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“ตกลง”
การสื่อสารสิ้นสุดลง
“เทพธิดากงเจิ้ง ฉันอาจจะจำเป็นที่จะต้องทำการศัลยกรรมในระดับพันธุกรรม” กู่ฉิงซานกล่าว
“เหมือนกับเหลียวฮังใช่หรือไม่”
“ใช่ แต่มันไม่ใช่การแปลงโฉมหน้าแบบถาวร มันจะต้องสามารถเรียกคืนใบหน้าเดิมของฉันกลับมาได้ด้วย”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ว่าแต่คุณต้องการจะปรับหน้าตาตนเองให้เป็นอย่างไร?”
“เอาแบบนี้”
ระหว่างกล่าว ในมือของกู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ
บังเกิดแสงสวรรค์ขั้นพื้นฐานที่สุด ก่อรูปขึ้นเป็นร่างลวงตา เจ้าสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พลังใดๆ กระทั่งผู้ฝึกยุทธทั่วไปก็สามารถเชี่ยวชาญมันได้
แสงสวรรค์เริ่มจำลองเค้าโครงร่างและใบหน้าของฉีหยานขึ้นในอากาศ
มันดูราวกับภาพสามมิติของร่างมนุษย์โดยสมบูรณ์ ทุกรายละเอียด ล้วนเป็นลักษณะเดิมของฉีหยาน ราวกับว่าเบื้องหน้านี้เป็นตัวจริง
เทพธิดากงเจิ้ง “ฉันได้ทำการบันทึกเอาไว้แล้ว เริ่มต้นคำนวณการจัดเรียงพันธุกรรมในระดับรูปร่างมนุษย์”
“ขอบคุณที่ลำบากนะ”
“สำหรับคุณ ฉันยินดี”
…
กู่ฉิงซานกลับมายังวิลล่าบนภูเขา
เขาเปิดประตูเข้าไป และพบกับคนสามคนที่อยู่ภายในนั้น
เหลียวฮังกำลังดื่มเบียร์ ทิ้งตัวเอนกายลงบนโซฟา ขณะเดียวกันก็นั่งดูข่าวในทีวีอยู่
ส่วนซางหยิงฮ่าว ตอนนี้เขากำลังตำหนิเย่เฟย์หยูอยู่
“นั่นมันคือการถ่ายทอดสดระดับชาติ! คนอื่นๆ กำลังขึ้นกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับการเข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภา! แต่จู่ๆ นายกลับเข้าไปป่วนมัน แถมยังจับคนมาเฉือนเนื้อทิ้งเล่นๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน! นายคิดว่าทุกคนที่อยู่ที่งานนั่นจะตาบอดรึไง?”
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ นี่น่ะมัน...เป็น...เรื่อง...ใหญ่...มาก...!”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างกับคนจะขาดใจตาย “เป็นถึงพี่น้องกับฉัน แต่กลับฆาตกรรมคนโจ่งแจ้งแบบนี้เนี่ยนะ? จะดีจะร้ายทำไมไม่รอจนกว่าการถ่ายทอดสดจะจบลงซะก่อน หรือไม่นายก็ระเบิดอุปกรณ์ถ่ายภาพของพวกเขาซะให้หมดตั้งแต่แรก แล้วค่อยไปฆ่ามันก็ได้ แบบนี้จะดีกว่าตั้งหมื่นเท่า!”
เย่เฟย์หยูก้มหัวลง ไม่พูดอะไรสักคำ
กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เย่เฟย์หยู แล้วนั่งลงบนโซฟา
“ฉันลืมถามนายไปเลยว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เขากล่าว
“ดีโคตรๆ!”
เย่เฟย์หยูตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง
ซางหยิงฮ่าวกลืนน้ำลายลงคอ แล้วหันมาถาม “เดี๋ยวก่อนนะ…นี่นายเป็นคนอนุญาตให้เขาทำอย่างนั้นเหรอ?”
“โทษที ที่พึ่งมาบอกนายตอนนี้” กู่ฉิงซานยิ้มขอโทษ
“หยุดเลย! อย่าพึ่งไปด่ามัน ขอฉันบ่นกับมันก่อน!” เหลียวฮังยกมือขึ้น
กู่ฉิงซานหันไปมองอีกฝ่าย
“เฮ้เพื่อน แกต้องจินตนาการไม่ออกแน่ ไอ้หมอนั่นมันย้ายป้ายหลุมศพทั้งก้อนไปไว้ในห้องของมัน…แกพอจะนึกออกไหมว่าฉันกลัวขนาดไหน” บนใบหน้าของเหลียวฮังยังคงเผยถึงร่องรอยไม่อยากจะเชื่อ
“แค่ป้ายหลุมศพ? นี่นายไม่ได้เอาโลงมาด้วยเหรอ” กู่ฉิงซานหันหน้าไปถาม
“เธอติดอยู่กับป้ายหลุมศพ ฉะนั้นพอเคลื่อนย้ายมันไปที่ไหน เธอก็จะติดตามมันมาด้วย” เย่เฟย์หยูกล่าว
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอล่ะ?”
“ฉันเผาร่างเธอทิ้งและเก็บเถ้ากระดูกมาไว้ในห้องตัวเองเรียบร้อยแล้ว” เย่เฟย์หยูอธิบาย
ซางหยิงฮ่าวอ้าปากค้าง เขาไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ได้
ส่วนเหลียวฮังก็ค่อยๆ ยืดหลังตรงจากบนโซฟาเขยิบก้นตัวเองให้ห่างจากพวกเขา แต่ยังคงนั่งฟังอย่างเงียบๆ
“อย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน ถ้าจะต้องเทียบกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสุสาน มีนายไว้พูดคุยกับเธอ แค่นี้เธอก็จะไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป” กู่ฉิงซานกล่าวอนุมัติเห็นด้วย
เย่เฟย์หยูพอได้ยิน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข
ส่วนใบหน้าของอีกสองคนกลับซีดเซียวลง
คราวนี้ แม้กระทั่งซางหยิงฮ่าวก็ค่อยๆ หย่อนตูดลงบนเบาะ และขยับหนีไปให้ไกลที่สุด
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน” เหลียวฮังผุดลุกขึ้นและกล่าว
“รอก่อน นี่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยปาก
เหลียวฮังหันกลับมามองเขาอย่างระแวดระวัง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสงบ วิธีการพูดก็เยือกเย็นไม่เหมือนกับถูกพวกวิญญาณร้ายเข้าสิงเลย
สีหน้าของกู่ฉิงซานยังคงสดใส ไม่ซีดขาว บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตและปกติดี เหลียวฮังจึงค่อยเริ่มเชื่อคำพูดของเขา และคลายใจลงอย่างช้าๆ
ซางหยิงฮ่าวก็สงบลงเช่นกัน
“แล้วตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซางหยิงฮ่าวถาม
กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้เปิดปากของเขา เย่เฟย์หยูก็อธิบายออกไปซะก่อน “หลังจากที่เธอตายลง ฉันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธออยู่เสมอ ดังนั้นฉันจึงไปที่สุสานเพื่อรับเอาวิญญาณของเธอกลับมาที่นี่”
ตายลง…ร้องไห้…วิญญาณ…!?
วินาทีนั้นพลันบังเกิดลมหนาวพัดโชยเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เย่เฟย์หยูเอ่ยต่อว่า “อ๋า? บางทีเธออาจจะแวะออกมาแล้วก็ได้ และคงกำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่ข้างๆ แต่ฉันไม่เห็นร่างเธอน่ะ เอาไว้จะแนะนำตัวเธออีกครั้งหลังจากที่ฉันได้ยินเสียงของเธออีกรอบก็แล้วกันนะ”
ไม่ต้องกล่าวถึงเหลียวฮัง กระทั่งซางหยิงฮ่าวก็ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้อีกต่อไป
ซางหยิงฮ่าวกระแอมไอเบาๆ และกล่าว “จู่ๆฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ ดังนั้นตอนนี้ขอตัวไปก่อน...”
แต่แล้วเขาก็ถูกคว้าตัวไว้โดยกู่ฉิงซาน
“นายเป็นใคร? นายเป็นถึงนักฆ่าเชียวนะ ฆ่าคนเป็นประจำทุกวัน แล้วทำไมถึงกลายเป็นคนกลัวผีไปได้เล่า?” กู่ฉิงซานถาม
“ฉันมีเทคนิคมากมายในการฆ่าคนก็จริง…แต่ฉันไม่เคยฆ่าผีหรือรับมือกับมันมาก่อน” ซางหยิงฮ่าวปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
“เธอไม่เป็นอันตรายอะไรหรอก เธอเป็นแฟนของเย่เฟย์หยูนะ นายอย่าคิดมากเลย”
“แฟน!!!?”
ทั้งซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังอุทานออกมาพร้อมกัน
ในหัวใจของทั้งสองเริ่มจะสั่นสะท้าน
คนตัวเป็นๆ แต่อาศัยอยู่กับผี?
ไม่สิ หากจะพูดแบบเฉพาะเจาะจง ควรพูดว่า เป็นผีดิบนักฆ่าอยู่ร่วมกันกับผีต่างหาก
แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นผีเหมือนกัน และอาจจะเคยผสานหยินหยางกันมาแล้ว แต่หลังจากทั้งหมดนี้ ต้องเข้าใจนะว่า ทั้งสองได้แยกจากกัน อยู่คนละโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แบบนี้ไม่ดีแน่ นี่มันน่ากลัวมากเกินไป น่ากลัวเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของมนุษย์
“จริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซางหยิงฮ่าวพยายามรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกมา
แล้วกู่ฉิงซานก็เปิดปากเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ
พอได้เข้าใจสถานการณ์และที่มาที่ไปของหญิงสาวที่เสียชีวิตลง ทั้งสองก็ค่อยสงบลงในที่สุด
ซางหยิงฮ่าวสบถออกมา “ถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าหวังหมิงซีก็สมควรแล้วที่จะถูกฆ่า”
ส่วนเหลียวฮังก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น “เดิมทีแล้วโลกใบนี้มีผีจริงๆสิ นะ! นี่มันคือการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์! พวกเราจะต้องก่อตั้งทีมวิจัย เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเธออย่างจริงจังแล้ว!”
เย่เฟย์หยูหันไปมองเขาวูบหนึ่ง
ก่อนจะกดมือลงบนไหล่ของเหลียวฮังและกล่าวว่า “นั่นคือแฟนของผมนะ คุณต้องการที่จะศึกษาเธอจริงๆ น่ะเหรอ?”
พร้อมด้วยเลือดสังหารที่เอ่อล้นออกมาจากมือของเขา ค่อยๆ ไหลวนเข้าไปครอบคลุมร่างกายของเหลียวฮัง
เลือดสังหารนี้ ครั้งหนึ่งเคยได้คร่าชีวิตของแชมเปี้ยนส์ในเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ไปหลายคนแล้ว
เหลียวฮังเป็นคนฉลาดสุดๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถประเมินเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และรีบหดตัวกลับไป
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงถูกจับโดยเย่เฟย์หยู และไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
เลือดสังหารสีแดงค่อยๆไหลวนไปมา เหลียวฮังเลยรีบเอ่ยออกไปว่า “ฮ่าๆๆๆ ก็แค่เรื่องตลกล้อเล่นกันขำๆ น่ะ ฉันไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก”
“แต่ถ้าคุณมีความคิดอะไรแบบนี้อีกครั้งละก็…อย่าลืมมาบอกผมด้วยล่ะ” เย่เฟย์หยูเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“มั่นใจได้เลยว่ามันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว” เหลียวฮังปาดเหงื่อเย็นของเขา
หลังจากที่ทำลายความคิดของเฒ่าลามกลงได้ สองมือของเย่เฟย์หยูก็ชักกลับคืน ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉันเพียงแค่ต้องการอยู่กับเธอ แต่ก็อยากจะทำให้มันง่ายสำหรับทุกคนเหมือนกัน”
กู่ฉิงซานมองไปยังซางหยิงฮ่าว และพบว่าซางหยิงฮ่าวก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
“ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“ภายในห้องของฉันมีความลับมากมายของนักฆ่า และมันไม่สามารถเปิดเผยให้คนนอกเห็นได้” ซางหยิงฮ่าวยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว
เย่เฟย์หยูเผยร่องรอยของความอ้อนวอนบนสีหน้า
กู่ฉิงซานหันไปขยิบตาให้ซางหยิงฮ่าวอย่างเงียบๆ
ซางหยิงฮ่าวเลยยักไหล่ และกล่าวต่อว่า “แต่หากเป็นผีแล้วมันคงไม่สำคัญหรอก เพราะเธอจะไม่มีทางเปิดเผยความลับให้รั่วไหลไปยังผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน”
สีหน้าของเย่เฟย์หยูดีขึ้นหลายส่วน คราวนี้เขาหันไปมองเหลียวฮัง
เหลียวฮังเมื่อเห็นพี่น้องทั้งสองพูดแบบนั้น ในหัวใจเขาก็รับรู้ได้ว่าทุกอย่างถูกตัดสินแล้ว
เขาเอ่ยปากกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “บอกแฟนของแกว่า อย่าได้เข้ามาวุ่นวายในห้องฉันตอนกลางคืน ไม่อย่างนั้นอาจจะพบเจอกับสิ่งที่ไม่สมควรจะเห็นได้ ถึงเวลานั้นก็อย่ามาตำหนิฉันก็แล้วกัน”
........................................