ตอนที่ 1250 โอกาสสุดท้ายที่จะได้อยู่เพียงลำพัง
ทุกคนปลดค่ายกลรอบเตียงของหลี่ชิวอวี่อันแล้วอันเล่า
เพราะกลัวว่ากู่ฉิงซานอาจจะซ่อนของอันตรายเอาไว้ ทุกกระบวนการจึงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
หลี่ชิวอวี่ได้สติเพราะทุกคนในท้ายที่สุด
เมื่อทราบว่าถูกกู่ฉิงซานทำให้หมดสติไป นางระเบิดโทสะออกมา
หลังจากหลี่ชุนเตาอธิบายเพิ่มเติมจึงทราบว่าเป้าหมายของกู่ฉิงซานไม่ใช่นาง แต่เป็นหลี่ซานหลาง
นางยิ่งมีน้ำโหมากขึ้น
“พี่ใหญ่ คนสวยเช่นข้าไม่น่ายั่วยุเขาได้ ข้าทำอะไรผิดไปหรือ” หลี่ชิวอวี่ถามอย่างเดือดดาล
หลี่ชุนเตาตอบอย่างจนใจว่า “อย่าคิดมากน่า เขาแค่อยากใช้พลังจิตของชิวซาน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรูปลักษณ์ของเจ้าหรอก”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว นับจากนี้ไปให้ชุนเตาไปอยู่กับชิวอวี่และชิวซาน กู่ฉิงซานจะได้ไม่กล้ามาทำร้ายอีก” ซานไห่ชีเสียกล่าว
“ขอรับ” หลี่ชุนเตากล่าว
ตอนนี้ ชิ้นส่วนกระดูกสีม่วงเข้มพลันตกลงมาจากท้องนภาก่อนลอยอยู่ตรงหน้าซานไห่ชีเสีย
นางมองชิ้นส่วนกระดูกใกล้ๆ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี
หัวใจของทุกคนบีบรัดเมื่อมองมัน
“จ้าวสำนัก ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า” นักดาบนิรันดร์หวังชุ่นถาม
ซานไห่ชีเสียชำเลืองมองทุกคน
นอกจากหลี่ชิวซานอายุสิบสามปีแล้ว พวกเขาทุกคนเป็นแกนนำของสำนัก
ซานไห่ชีเสียกล่าวว่า “ซากศพเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติแล้ว พวกเราต้องส่งคนเข้าไป อย่าปล่อยให้พวกมันผูกขาดความลับข้างในนั้น”
ทุกคนตกตะลึง
ซากศพ
ซากศพอะไร
ต้องเป็นวิญญาณชั่วร้ายนั่นแน่ๆ !
มันเป็นเพียงซากศพสัตว์ประหลาดดั้งเดิมทั้งหกที่ถูกพบจนถึงตอนนี้
มันข้องเกี่ยวกับความลับของทั้งหกภพ!
กู่ฉิงซานแทบจะควบคุมสีหน้าของตัวเองไม่ได้
สิ่งนี้มันมากเกินไป
ไม่ว่ายังไง โลกวิญญาณชั่วร้ายจะต้องไม่ได้ประโยชน์จากมัน ไม่อย่างนั้นโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะตกอยู่ในอันตราย
แต่เขาจะออกไปตอนนี้ได้อย่างไร
ตัวตนของเขาในตอนนี้ใสซื่อมาก เขาต้องทนจากการตรวจสอบอันเข้มงวดกว่าจะชนะใจได้
แม้แต่ซานไห่ชีเสียก็พูดออกมา ไม่มีปกปิดแต่อย่างใด
เพราะนางรู้สึกว่าเด็กอายุสิบสามปีไม่สามารถเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้อย่างแน่นอน
ความจริง หากกู่ฉิงซานไม่แลกเปลี่ยนข้อมูลกับนางก่อนหน้านี้ เขาย่อมไม่มีทางคาดเดาสิ่งที่นางพูดได้อย่างแน่นอน
กู่ฉิงซานรีบสรุปในใจขณะฟังซานไห่ชีเสียถ่ายทอดคำสั่ง “หลี่ชุนเตาและหวังชุ่น พวกเจ้าคุ้มกันสำนัก; จางจิ่วไป๋และฉีโยวไห่ พวกเจ้าตามข้าไปสุสานเดี๋ยวนี้เลย!”
“ขอรับ” ทุกคนตอบรับ
ซานไห่ชีเสียไม่รอให้ใครพูดอะไรอีก ร่างของนางทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
ร้อยหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างจางจิ่วไป๋และผู้เฒ่าฉีโยวไห่ตามหลังนางไปติดๆ
ร่างของพวกเขาสั่นไหวในอากาศสักพักก่อนหายไปอย่างสมบูรณ์
นักดาบนิรันดร์หวังชุ่นถอนสายตากลับมาแล้วกล่าวว่า “เจ้าดูแลพวกน้องเล็กไป คืนนี้ข้าจะคุ้มกันเอง เจ้าค่อยมาสับเปลี่ยนช่วงเช้าของพรุ่งนี้”
หลี่ชุนเตาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ พวกเราสับเปลี่ยนกัน หากเจ้าพบว่ากู่ฉิงซานมาอีก รบกวนแจ้งเตือนทันทีด้วย!”
“อืม”
หวังชุ่นหันหลังแล้วเดินจากไป เขาเรียกทหารยามขณะเดินก่อนเริ่มตระเตรียมการป้องกันทั่วสำนัก
เขาได้ยินอีกฝ่ายพูดจากไกลๆ ว่า “ฟังให้ดี นับจากนี้ไป ด่านหน้าจะต้องเพิ่มกำลังเป็นสามเท่าจนกว่าจ้าวสำนักจะกลับมา…”
หลี่ชุนเตาถอนสายตากลับมาก่อนกล่าวกับหลี่ชิวอวี่และหลี่ชิวซานว่า “เอาล่ะ นับจากนี้ไป ข้าจะกินอยู่ด้วยเพื่อปกป้องพวกเจ้า”
กู่ฉิงซานลังเล “แต่ว่า แล้วพวกเราจะใช้ชีวิตกันยังไงล่ะ”
สองพี่น้องมองไปทางที่เขาชี้
เขาเห็นว่าถ้ำของหลี่ชิวอวี่ถูกฟันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
…นี่คือผลลัพธ์จากตอนที่หลี่ชุนเตาพุ่งออกมาเมื่อครู่
“พี่ใหญ่ เจ้าต้องจ่ายค่าบ้านข้ามาก่อน” หลี่ชิวอวี่พึมพำ
หลี่ชุนเตาสะบัดมือแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปหาผู้เชี่ยวชาญกระดูกมาสองสามคนเพื่อซ้อมให้ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว!”
…
วันต่อมา
กู่ฉิงซานไปสำนักตามปกติ
หลี่ชุนเตาทำหน้าที่ตอนกลางวัน ดังนั้นจึงไม่ตามเขามา
ตรงกันข้าม เมื่อนักดาบนิรันดร์หวังชุ่นรับไม้ต่อจากหลี่ชุนเตา เขาจะไปปกป้องกู่ฉิงซานทันที
“เจ้าจะปกป้องเขาหรือ ไม่ใช่ว่าหน้าที่นี้เป็นจ้าวสำนักที่มอบให้ข้าหรือไง” หลี่ชุนเตาถามด้วยความสับสน
หวังชุ่นตอบเสียงเจื่อนว่า “เพราะข้าต้องหาโอกาสพบกู่ฉิงซานอีกครั้งให้ได้… คราวที่แล้วข้าปล่อยให้หนีไป ครั้งนี้จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก พวกเราจะต้องจับตัวเขาให้ได้!”
เขาแตะศีรษะของกู่ฉิงซานแล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “หลี่ซานหลาง วางใจได้ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“งั้น… ขะ… ขอบคุณพี่หวัง”
กู่ฉิงซานมีสีหน้าซับซ้อน
เด็กอย่างเขาแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา อีกฝ่ายจึงคิดว่าเขาตื้นตันเล็กน้อย
หลี่ชุนเตารู้สึกว่ามีเหตุผลหลังจากได้ฟังถึงตรงนี้ ดังนั้นเขาจึงส่งมอบกู่ฉิงซานให้หวังชุ่นก่อนออกไปปฏิบัติหน้าที่
จากนั้น…
ระหว่างไปสำนัก หวังชุ่นตามกู่ฉิงซานตลอดเพื่อคอยระแวดระวังรอบข้างให้
เมื่อเข้าสู่อาศรม กู่ฉิงซานเห็นเพื่อนร่วมชั้นสองสามคนเดินมาจึงพูดขึ้นว่า
“พี่หวัง ท่านไม่ต้องเข้าไปตอนพวกข้าเรียนนะ ไม่อย่างนั้น หากคนใหญ่โตอย่างท่านอยู่ในห้องเรียนขึ้นมาจะไม่เป็นอันเรียนเอา”
หวังชุ่นยักคิ้วและกำลังจะพูด แต่เขาเห็นว่าเด็กสองสามคนพุ่งเข้ามาแล้ว
“ท่านนักดาบนิรันดร์!”
“พระเจ้าช่วย เป็นท่านนักดาบนิรันดร์จริงๆ !”
“ว้าว ข้าไม่ได้ตาฝาดไป ทำไมเขาถึงมาอาศรมพร้อมกับหลี่ชิวซานล่ะ”
หวังชุ่นชำเลืองมองพวกเด็กๆ ก่อนจะเห็นว่ามีหนุ่มสาวอีกมากอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย
เขาขยับริมฝีปากก่อนจะกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับไป
ท้ายที่สุด เมื่อหนุ่มสาวเริ่มเข้าห้องเรียน เขายืนอยู่ชั้นบนสุดของสำนัก ปิดกั้นทางเข้าออกของสำนักขณะสังเกตสายลมและใบหญ้าทั้งหมดเงียบๆ
ช่วงเช้าเป็นวิชาทั่วไป
วิชานี้เป็นวิชาเกี่ยวกับวัฒนธรรมมากมายของโลก รวมถึงความรู้จากสารานุกรมต่างๆ
ทุกอย่างปกติ
ในช่วงบ่าย เป็นวิชาต่อสู้อีกครั้ง
กู่ฉิงซานเข้าสู่โลกที่ถูกทำลายอีกหน
“ฟู่…”
กู่ฉิงซานถอนหายใจขณะจมสู่ห้วงความคิด
ซากศพของวิญญาณชั่วร้ายโบราณที่อยู่ชั้นใต้ดินเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ถ้ำหมื่นอสูรและโลกวิญญาณชั่วร้ายต่างรวบรวมมือดีมาหมดขณะจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
แต่ตอนนี้เขาไปไม่ได้
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในอนาคตจะมีนักดาบนิรันดร์หวังชุ่นคอยดูแลตอนกลางวันและนักดาบหลี่ชุนเตาคอยดูแลตอนกลางคืน เป็นการยากที่เขาจะละสายตาจากอีกฝ่ายเพื่อไปทำสิ่งที่อยากลงมือได้
โลกที่ถูกทำลายนี้เป็นสถานที่เดียวที่เขาสามารถอยู่เพียงลำพังได้
…ถึงแม้หวังชุ่นจะไม่ได้ตามมาในครั้งนี้ แต่ก็พูดยากว่าเขาจะตอบสนองด้วยการขอเข้ามาเพื่อคุ้มกันในครั้งต่อไปหรือเปล่า
หรือก็คือ การเข้ามาในครั้งนี้เปรียบเสมือนโอกาสสุดท้ายที่จะได้อยู่เพียงลำพัง
หากอยากทำอะไรก็ต้องรีบทำในโอกาสสุดท้ายนี้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่ต้องทิ้งตัวตนนี้ไป…
“หน้าต่างระบบเทพสงคราม” กู่ฉิงซานเรียก
“ข้าอยู่นี่แล้ว”
หน้าต่างระบบเทพสงครามส่งเสียง
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนถามว่า “เจ้าได้สืบเรื่องมรดกที่ข้าได้รับมาหรือเปล่า มีปัญหาอะไรกับมันหรือไม่”
หายากนักที่หน้าต่างระบบเทพสงครามจะถามกลับมา “ท่านสงสัยอะไรหรือ”
กู่ฉิงซานตอบว่า “ข้าเข้าสุสานด้วย ‘เทพท่องราตรี’ สัตว์ประหลาดแห่งความว่างเปล่าพุ่งเข้ามาหาข้า ข้าคิดว่าที่พวกมันทำเพราะอยากเอาตัวรอด ไม่ใช่เพราะตามหาผู้สืบทอด ไม่อย่างนั้นมารดาแห่งความว่างเปล่าทมิฬคงไม่ลงมือหลังจากข้าปฏิเสธจนถึงขั้นสาปส่งให้ตายทันที”
“อีกอย่าง ตั้งแต่ข้าเข้าโลกนี้มา ข้ายังไม่ถูกทำให้แปดเปื้อนจากสิ่งใดในโลกนี้เลย แต่หลังจากวิญญาณกรีดร้องเห็นข้า มันกลับหวาดกลัวและเลือกที่จะผสานเข้ากับความโกลาหลแทน”
หน้าต่างระบบเทพสงครามไม่ตอบสักพัก
กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “หลี่ชิวอวี่บอกว่าตอนข้าใช้พลังจิต ข้าถึงกับมองนาง ความจริงแล้ว ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ด้วยระดับของข้า ย่อมสามารถควบคุมร่างกายได้ ยิ่งเรื่องมองคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ข้าถึงขั้นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเส้นผมได้เลยล่ะ”
“ถ้าที่นางพูดมาไม่ใช่เรื่องโกหก ถ้างั้นก็ต้องไม่ใช่ข้าที่กำลังมองนาง”
ถึงนี่จะฟังดูน่าสนใจบ้าง แต่หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ยังไม่ตอบ
กู่ฉิงซานกล่าวเพิ่มอีกว่า “หากปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ข้าคิดว่าน่าจะมีปัญหาบางอย่างกับมรดกที่ข้าได้รับมา… เจ้าไม่สังเกตเห็นอะไรเลยหรือ”
หลังจากรอสักพัก
กู่ฉิงซานเห็นว่าพลังวิญญาณของเขาถูกพรากไปหนึ่งพันแต้ม
หลังจากนั้น หน้าต่างระบบเทพสงครามอธิบายว่า “มรดกมีของบางอย่าง”
“มันคือวิชาพิเศษ คล้ายกับการเสริมพลัง ผสานความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่เคยรับรู้มาในอดีตเข้าด้วยกันก่อนถ่ายเข้าไปในทะเลแห่งความตระหนักรู้ของผู้ที่สืบทอด”
“…เพราะมรดกก็เป็นได้แค่มรดก การตัดสินใจสุดท้ายจึงอยู่ที่ว่าจะเรียนรู้ จะฝึกฝนหรือจะใช้หรือไม่ก็เท่านั้น แต่มันล้วนถูกถ่ายทอดเข้ามาแล้ว”
“ดังนั้น หน้าต่างระบบเทพสงครามและบัญญัติกับความโกลาหลทั้งหมด รวมถึงสิ่งต่างๆ จึงมีมุมมองต่อมรดกนี้เพียงข้อเดียว”
“นั่นก็คือยอมให้ผ่าน”
“พูดง่ายๆ หากมีปัญหากับมรดกหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว หน้าต่างระบบนี้มีความมุ่งมั่น ความมั่นใจและความสามารถที่จะลบล้างมรดกออกจากทะเลแห่งความตระหนักรู้ของท่านได้อย่างสมบูรณ์”
กู่ฉิงซานฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นเงยหน้าเพื่อครุ่นคิดสักพัก
“ข้าสงสัยน่ะ… ว่าจะมีมรดกที่ไม่มีพิษภัยใดๆ จนสามารถยอมให้ผ่านไปได้จริงหรือเปล่า”
“ทว่า หลังจากข้าเข้าใจมรดกอย่างถ่องแท้แล้ว มันจะไปกระตุ้นอะไรหรือเปล่า”
หน้าต่างระบบเทพสงครามกล่าวว่า “หากการกระตุ้นทำร้ายท่าน หน้าต่างระบบนี้จะลบล้างมรดกที่ข้องเกี่ยวทันที”
กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ สิ่งที่กระตุ้นไม่ทำอันตรายข้า แต่เป็นตัวที่ทำให้เกิดการกระตุ้นต่างหากที่ทำร้ายข้า”
คำพูดออกจะคลุมเครือไปหน่อย
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “ยกตัวอย่างเช่น… สร้างการอัญเชิญพลังจิตขึ้นมาโดยไม่ทำร้ายข้าเพื่อทำให้เจ้ายอมรับการคงอยู่ของมัน”
“ถูกต้อง หน้าต่างระบบนี้จะยอมรับการอัญเชิญพลังจิตดังกล่าว” หน้าต่างระบบเทพสงครามกล่าว
ดวงตาของกู่ฉิงซานลึกล้ำขึ้นขณะกล่าวต่อว่า “แต่เจ้ากับข้าไม่รู้ว่าตัวตนที่พวกเราอัญเชิญมานั้นจะส่งผลต่อชะตากรรมของข้าหรือเปล่า”
“หากช่วยมันไว้จนทำให้ส่งผลต่อชะตากรรมของข้าจริง… มันจะต้องเป็นชะตากรรมสิ้นหวังที่ทนทุกข์ทรมานสุดแสน เจ็บปวดชั่วนิรันดร์และไร้ซึ่งอนาคตแน่ๆ”
“วิญญาณกรีดร้องไม่แม้แต่หวาดกลัวการหลอมรวมเข้ากับความโกลาหล แต่มันไม่กล้าสู้กับข้า มันต้องหวาดกลัวบางสิ่งแน่ๆ”
“ข้าคิดว่าจะคต้องเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวกว่าการหายไปตลอดกาล มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”
…………………………………………..