ตอนที่ 124 ค้นพบ
ทันใดนั้นสายตาของกู่ฉิงซานก็ถูกดึงดูดโดยร่างร่างหนึ่งที่กำลังโบยบินอยู่
มันเป็นร่างของเด็กสาวที่มีดวงตาสีเลือด กล้ามเนื้อตามแขนขาของเธอหายไปโดยสมบูรณ์ เหลือทิ้งไว้เพียงกระดูกสีขาวอันแหลมคมเท่านั้น
หญิงสาวฆ่าสังหารทุกสิ่งอย่างที่เธอเห็น ปากอ้ากว้างหวีดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นเต้น
“ฆ่า! ความรู้สึกที่ได้ฆ่าสังหารช่างวิเศษยิ่ง! มันสุขสมอย่างไม่มีที่เปรียบ!”
เธอโบกสะบัดแขนที่เหลือเพียงกระดูกสีขาวอันแหลมคม ใช้มันแทนใบดาบ เชือดเฉือนผู้คนที่กำลังวิ่งหนีไปตลอดทิศทางที่โฉบผ่านอย่างป่าเถื่อน แม้กระทั่งผีดิบด้วยกันเองก็ยังโดนเธอเฉือนออกเป็นชิ้นๆ
เมื่อใดก็ตามที่กระดูกขาวอันแหลมคมของเธอตัดผ่านเลือดเนื้อ สีหน้าของเธอมันจะเผยถึงความสุขเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนอยู่เสมอ บัดนี้ผมที่ยาวสลวยของเธอกลับชี้ขึ้นโดยไม่รู้ตัว แลดูไม่ต่างอันใดกับคนบ้าที่อยู่ในสภาวะติดยาเสพติดขั้นรุนแรง!
เลือดจางๆ จากทั่วทุกบริเวณค่อยๆ ถูกดึงดูดมายังร่างกายของเธอ
ม่านตาของกู่ฉิงซานหดวูบลงอย่างฉับพลัน
การที่เด็กสาวเบื้องหน้าถูกกระตุ้นจนกลายร่างเป็นผีดิบนักฆ่าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้าที่จะติดไวรัส เธอจะต้องเป็นหนึ่งในพวกมืออาชีพ!
หลังจากมืออาชีพกลายเป็นผีดิบนักฆ่าแล้วนั้น พลังดั้งเดิมของพวกเขาจะหายไปโดยสิ้นเชิง ทว่าจะถูกแทนที่ด้วยพลังใหม่ที่ทรงอำนาจมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
การวิวัฒนาการทางศักยภาพอันน่าอัศจรรย์ใจนี้ หากไม่นับว่าตนจะต้องกลายเป็นคนวิปริต คลั่งไคล้ในการฆ่าสังหารเพียงอย่างเดียว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทุกคนล้วนย่อมเต็มใจที่จะลอง
เด็กสาวคนนี้ เพียงไม่นาน กลับสามารถกระตุ้นและวิวัฒพลังของเธอขึ้นมาได้ จนกลายเป็นหนึ่งในผีร้ายนักฆ่าที่โดดเด่น!
หากยังปล่อยทิ้งไว้ เมื่อเวลาผ่านไป เธอคงไม่แคล้วกลายพันธุ์เป็นผีดิบนักฆ่าระดับสูงอันน่าหวาดกลัว!
กู่ฉิงซานยกธนูเย่หยูขึ้น ศรที่ถูกขึงจนตึงถูกผละออกไป
โผล๊ะ!
หัวของเด็กสาวราวกับลูกโป่งเลือดที่ถูกระเบิดออก ลูกศรที่เปรียบดั่งเข็มแหลมเจาะเข้าและทะลวงผ่านไป
ร่างไร้หัวสั่นสะท้าน มันส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนจะร่วงตกลงบนพื้นดิน หมอกเลือดสาดเป็นฟูฝอยตามรายทางที่เธอร่วงหล่นจากท้องฟ้า
กู่ฉิงซานเก็บธนูลงและถอนหายใจออกมา
ในระยะไกลออกไป ปรากฏเสียงคำรามจากการต่อสู้เกราะรบขับเคลื่อนผสมผสานไปด้วยเสียงคร่ำครวญและกรีดร้องดังอยู่ประปราย
มีบ้างเป็นครั้งคราวที่จะพบเห็นกลุ่มกองกำลังทหารวิ่งผ่านมุมถนนไป ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับหยุดลง และเบนสายตามองมายังทั้งสาม
กู่ฉิงซานขณะนี้ยืนอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านสีดำสนิทที่เกิดจากฝีมือแอนนา ทั้งสามกำลังมองสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะหยุดสายตาลงไปยังกลุ่มกองกำลังทหารที่กำลังมองพวกเขาพลางกระซิบกระซาบกันอยู่
“สามคนนั้นเป็นมืออาชีพใช่ไหม”
“ดูเหมือนว่าจะยังไม่ติดเชื้อ”
“อืม...พวกเขาคงแข็งแกร่งพอสมควร อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะไม่พบเจออันตราย”
“นั่นสินะ สามคนนี้คงไม่เป็นอะไรหรอก รีบไปช่วยคนอื่นกันเถอะ”
พวกเขาพูดคุยกับอย่างเร่งร้อน และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ในสนามรบส่วนใหญ่แล้วที่พบเจอกัน มักจะเป็นพวกเกราะรบขับเคลื่อนเสียมากกว่า ยากนักที่จะเห็นทหารตัวเป็นๆ ปรากฏตัวขึ้น
ทหารน่ะหากไม่ขึ้นไปขับหุ่นรบ ก็จะไปทำหน้าประสานงานในยานรบประจัญบาน หากคุณได้พบเจอกับพวกเขาตัวเป็นๆ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องเป็นมืออาชีพ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กองกำลังชั้นยอดของรัฐบาลกลาง ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ในเวลานั้นเอง ยานรบขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ยานรบหยุดลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ประตูยานเปิดออก ทหารกลุ่มหนึ่งก็วิ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน ก้มหัวโค้งตัวทำความเคารพและกล่าว “พวกเราได้รับคำสั่งระดับสูงสุดให้มารับตัวท่าน โปรดไปยังสถานที่หลบภัยกับพวกเราด้วย”
“ไปกันเถอะ ขั้นแรกคงต้องดูสถานการณ์กันก่อน” กู่ฉิงซานกะพริบตาข้างหนึ่ง ส่งสัญญาณให้แอนนา
แอนนาพยักหน้า ก่อนจะขึ้นไปยังยานรบด้วยกันกับกู่ฉิงซาน
โลกที่แต่เดิมสงบสุขพลันแปรเปลี่ยนกลับกลายอย่างไม่น่าเชื่อ แอนนาคิดว่าแม้กระทั่งในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่พ้นจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เธอจึงยินยอมขึ้นมาบนยานรบ เพื่อต้องการที่จะทำการตรวจสอบให้เร็วที่สุดว่าสถานการณ์มันรุนแรงขนาดไหน
นอกจากนี้ยังมี ‘เรื่องน่ากังวล’อยู่อีกเรื่อง แต่จำเป็นจะต้องอยู่ในสถานที่ปลอดภัยเสียก่อน จึงจะทำการตรวจสอบได้
ณ กองบัญชาการใหญ่ของสามเหล่าทัพ
แอนนามองดูแผนที่บนจอม่านแสงและพบว่าสถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างจะเกินความคาดหมายของเธอไปมากโข
บนแผนที่โลก บริเวณที่เป็นสีเขียวจะแสดงถึงสถานที่ที่ยังปลอดภัย ทว่าขณะนี้มันค่อยๆ ตีวงแคบลง หรือบางจุดก็จางหายไปเลย และถูกแทนที่ด้วยสีแดงที่ไม่บอกก็ย่อมต้องรู้ว่ามันหมายถึงจุดที่ไวรัสกำลังระบาด
“แล้วนั่นมันอะไรน่ะ?” เธอชี้ยังไปจุดสีดำเล็กๆ บนแผนที่
จุดสีดำกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ และดูเหมือนว่าทิศทางของมันจะมุ่งตรงมายังรัฐบาลกลาง
พอเธอถาม บนจอม่านแสงก็เฉลยคำตอบ มันเปลี่ยนไปเป็นภาพของร่างเงาที่ดูคลุมเครือ
สายลมพัดผ่านส่งเสียงหอนโหยหวน ละอองน้ำปกคลุมเกือบทั้งหน้าจอ ประปรายไปด้วยเม็ดทราย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นภาพถ่ายจากสภาพอากาศที่เลวร้ายอย่างชัดเจน ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะสามารถระบุลักษณะแบบเฉพาะเจาะจงของร่างเงาได้
เส้นบรรทัดคำอธิบายสั้นๆ ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสงข้างๆ ร่างเงา
“อสูรยักษ์แห่งท้องทะเล ความสูงสิบห้าเมตร จุดประสงค์ของมัน ไม่ทราบ ระดับพลังของมัน ไม่ทราบ ทิศทางการเคลื่อนไหว ไม่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะมาถึงชายฝั่งของรัฐบาลในอีกครึ่งวันให้หลัง”
“ที่แท้มันก็คือมอนสเตอร์ แอนนากล่าวออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะกวาดสายตาไปบนแผนที่”
จากจุดสีดำๆ ทั้งหมดบนแผนที่ มีราวๆ เจ็ดสิบแปดจุด ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาจากทุกทิศทาง
และทิศทางของพวกมัน ต่างมุ่งตรงไปยังที่ตั้งในของแต่ละประเทศ
“ให้ตายเถอะ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?” วอนฟอร์ดที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวออกมา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ที่พอจะบอกได้ก็คือ มันคงไม่มีสถานที่ใดที่จะเรียกได้ว่าปลอดภัยอย่างแท้จริงอีกแล้ว” แอนนากล่าว
กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นในบริเวณประตูทางเข้า
“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” แอนนาถาม
“ท่านประธานาธิบดีและสมาชิกวุฒิสภายังคงประชุมกันอยู่ แต่ต้องบอกว่าส่วนมากพวกเขากำลังทะเลาะกันเสียมากกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว
“ตอนนี้เนี่ยนะ? ยังมีอะไรให้พวกเขาต้องทะเลาะกันอีก” แอนนาเอ่ยด้วยสีหน้างงงวย
“มันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากจนเกินไป อ่า...ประมาณว่าหากทำการอนุมัติแล้วมันจะก่อให้เกิดผลกระทบออกไปเป็นวงกว้างน่ะ”
“แล้วตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่?”
“เรื่องการมอบสิทธิ์ให้ผู้คนทั่วไปสามารถใช้งานหุ่นรบได้”
แอนนาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อย “ไม่น่าแปลกใจเลย”
ในยุคปัจจุบัน ระบบปัญญาประดิษฐ์ ของหุ่นรบนับว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก ดังนั้นแม้พลเรือนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านการใช้งานก็ยังสามารถบังคับหุ่นรบได้ ตราบเท่าที่ส่งคำสั่งไปยังหุ่นรบ ก็จะสามารถปฏิบัติการได้อย่างง่ายดาย
ทว่าหากทุกคนสามารถใช้เกราะรบขับเคลื่อนแล้วล่ะก็ ด้วยสถานการณ์และห้วงอารมณ์ในตอนนี้ พวกเขาอาจจะใช้มันเป็นเครื่องมือแก้แค้นเหล่าชนชั้นสูงที่ในอดีตมิเคยกล้าแม้กระทั่งแหงนหน้ามองเลยก็เป็นได้
“เธอพักผ่อนไปก่อนนะ ส่วนถ้ามีอะไรคืบหน้าฉันจะโทรหาเอง” กู่ฉิงซานกล่าว หันหลังเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูลง
“ฝ่าบาท งานคุ้มกันของเรานับว่าเสร็จสิ้นลงแล้ว ทีนี้พวกเราจะจากไปกันเลยดีไหม?” วอนฟอร์ดกล่าว
แอนนาที่ตกใจอยู่นาน ทันใดนั้นก็ได้สติและเอ่ยความคิดของตัวเองออกมา “ครั้งหนึ่งพระบิดาของฉันเคยกล่าวเอาไว้ว่า ฉันไม่สมควรจะใกล้ชิดกับพระสันตะปาปามากเกินไป”
“แต่ในวันนี้ เขากลับอยู่ด้วยกันกับเธอ”
“และที่สำคัญที่สุด พระบิดาไม่เคยจ้องมองฉันด้วยแววตาเหมือนดั่งในวันนี้มาก่อน”
แม้เสียงของเธอจะแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ทว่าวอนฟอร์ดกลับสามารถได้ยินมันได้อย่างชัดเจน จู่ๆ ทั่วทั้งร่างของเขาก็พลันรู้สึกเย็นเยียบ
“นั่น...” เขากำลังจะเอ่ยปากกล่าว
แอนนายกนิ้วชี้วางลงบนริมฝีปากของเธอ ส่งสัญญาณบอกว่าให้เขาเงียบ
เธอเปิดอุปกรณ์สื่อสารส่วนบุคคล กลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลริน และพิมพ์ตัวอักษรลงไป
“พระบิดา ท่านยังคงจำได้หรือไม่ว่าในวันเกิดข้าปีที่แล้ว พระองค์ทรงให้อะไรเป็นของขวัญ และมันคือสีอะไร?”
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงกดส่งข้อความออกไป
แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่เธอที่กำลังเฝ้ารอกลับรู้สึกราวผ่านพ้นไปเป็นศตวรรษ สุดท้ายข้อความก็ถูกส่งกลับมา
“ถุงมือ สีแดง”
วอนฟอร์ดมองไปยังแอนนาอย่างเงียบๆ และเอ่ยถาม “ใช่สีแดงหรือไม่?”
“ใช่ มันเป็นสีแดง”
แอนนาพยักหน้า
ความตึงเครียดของวอนฟอร์ดบรรเทาลงหลายส่วน
หากแต่ แอนนายังคงเอ่ยประโยคต่อไปว่า “แต่ฉันเคยนัดแนะกับพระบิดาว่า หากฉันเอ่ยถามคำถามนี้ออกไปในกรณีที่เขายังคงสบายดี ก็ไม่จำเป็นต้องตอบกลับมา”
“ทว่าหากเขาตอบ นั่นหมายความว่าเขาได้ล่วงลับไปแล้ว”
หยาดน้ำตาที่พยายามอดกลั้นเอาไว้หลั่งรินเป็นสายบนใบหน้าอันงดงามของแอนนา
“พระบิดาได้ล่วงลับไปแล้ว...”
ริมฝีปากถูกเม้มจนแน่น หยาดน้ำตาไหลรินไปกองรวมกันอยู่ตรงปลายคาง ก่อนจะร่วงหยดลงหยดแล้วหยดเล่าแลคล้ายเม็ดฝน
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานกำลังขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ
“เทพธิดากงเจิ้ง” เขาเอ่ยเรียก
“ฉันอยู่นี่” เสียงของเทพธิดาดังขึ้น
“อะไรที่ยังทำให้คุณยังคงลังเล?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เพราะมันยังไม่ได้รับการอนุมัติ จึงยังไม่สามารถอนุญาตมอบสิทธิ์ในการใช้งานหุ่นรบได้” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“ไม่ได้เพราะท่านประธานาธิบดีไม่อนุมัติ?”
“ประธานาธิบดีได้ทำการอนุมัติแล้ว ทว่าในเรื่องดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสองในสามส่วนของสมาชิกวุฒิสภาด้วย เพื่อร่างกฎบัญญัติที่จะสามารถบังคับใช้ได้”
“พวกเขาพูดคุยกันมานานแค่ไหนแล้ว?”
“ด้วยอำนาจพลเมืองสูงสุดของใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซาน ทำให้ท่านสามารถได้รับคำตอบนี้ได้ สมาชิกสิบคนจากทางรัฐบาลกลาง และเก้าคนจากตระกูลใหญ่ กำลังถกเถียงกันจนทำให้ประเด็นนี้เกิดความล่าช้า”
“แม้จะฟังดูเหมือนว่าทางฝั่งรัฐบาลมีคนมากกว่า แต่ทางเก้าตระกูลใหญ่ก็ได้ทำการเกลี้ยกล่อมสมาชิกฝั่งรัฐบาลกว่าครึ่งให้มาร่วมกับตน เพื่อต่อต้านมาตรานี้ต่อไป”
“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ” กู่ฉิงซานกล่าว “มันเป็นไปไม่ได้ที่การร่างกฎบัญญัติใหม่นี้จะผ่านเกณฑ์ใช่หรือเปล่า”
“โอกาสที่จะผ่านเกณฑ์ คือ 7.16925 เปอร์เซ็นต์”
ดวงตาของกู่ฉิงซานวูบไหว เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “แล้ววิธีการที่ใช้ในการสร้างหุ่นรบขณะนี้คืออะไร?”
“ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสูตรโครงสร้างชีวิตของคุณ ทว่าอัลกอริทึมหลักอยู่ที่ฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“งั้นก็ดีเลย”
กู่ฉิงซานพยักหน้าด้วยความพอใจ
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ยากจะตัดสินใจ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
มือของเขาอดไม่ได้ที่จะวูบไหว คว้าจับไปยังสิ่งหนึ่งในความว่างเปล่า
คว้าจับไปยังบางสิ่งที่เขาตระหนักได้ว่ามันคือคำตอบที่ออกมาจากจิตใต้สำนึก ซึ่งเขารู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร กู่ฉิงซานยิ้มให้ตัวเองอย่างขบขัน เขาวางมือลงบนของตน ถูไปมา จนกางเกงเต็มไปด้วยรอยยับย่น
………………………………….