webnovel

0017 หน่วยปฏิบัติการพิเศษ

ราชันเร้นลับ 17 : หน่วยปฏิบัติการพิเศษ

“บริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ”

หลังจากอ่านป้ายจบ ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็พอเข้าใจได้

มันส่ายศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าไปเคาะบานประตูที่ถูกเปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะไม้ดังกังวานและเป็นจังหวะ แต่ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย ไคลน์เพียงได้ยินเสียงบางสิ่งกำลังดังอย่างบางเบา แต่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไร

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ไคลน์เคาะซ้ำ แต่ผลเหมือนเดิม

มันเปลี่ยนวิธีการ ไคลน์ตัดสินใจผลักประตูและเดินเข้าไปในห้อง ภาพแรกที่เห็นคือชุดโซฟาแบบคลาสสิกสำหรับต้อนรับแขก เก้าอี้ผ้าอ่อนนุ่ม และโต๊ะไม้แข็งแรงสำหรับดื่มกาแฟ

หญิงสาวผมสีน้ำตาล เธอกำลังหลับพิงโซฟายาวด้วยสภาพน้ำลายไหลย้อย

ถึงบริษัทรักษาความปลอดภัยจะเป็นแค่ฉากหน้า แต่ก็ควร… มีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่รึไงฟะ?

หลังจากเห็นความหละหลวม จะมีลูกค้าที่ไหนกล้าใช้บริการบ้าง?

เดี๋ยวสิ บางที… คนพวกนี้อาจไม่ต้องการลูกค้าด้วยซ้ำ

ไคลน์เดินเข้าไปใกล้โต๊ะกาแฟที่ทำจากไม้ มันออกแรงเคาะเพื่อให้สตรีคนดังกล่าวตื่น

ก๊อก! ก๊อก!

หญิงสาวผมน้ำตาลรีบดีดตัวนั่งในพริบตา เธอคว้าหนังสือพิมพ์ที่วางใกล้มือ ยกมันขึ้นอ่าน พร้อมกับใช้ปกปิดใบหน้าไปในตัว

หนังสือพิมพ์ซื่อตรงเมืองทิงเก็น… เป็นชื่อที่น่าสนใจมาก… ไคลน์ไล่อ่านพาดหัวข่าวอยู่ใหญ่ในใจ

“บริการรถจักรไอน้ำ ‘ด่วนทะยานฟ้า’ ที่เชื่อมระหว่างทิงเก็นกับคอนสแตนเปิดให้บริการแล้ววันนี้… ให้ตายสิ แล้วเมื่อไรจะมีสายที่ตรงไปถึงอ่าวดีซี่บ้าง? ไม่ชอบนั่งเรือเลย เวียนหัวชะมัด… เอ่อ… แล้วคุณเป็นใครคะ?”

หญิงสาวผมน้ำตาลแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์หน้าตาย ก่อนจะลดมือลงเล็กน้อย เผยให้เห็นหน้าผากสว่างใสและนัยน์ตาน้ำตาลนวล หล่อนขมวดคิ้วให้ไคลน์ พลางถามด้วยสีหน้าใสซื่อ

“สวัสดีครับ ผมไคลน์·โมเร็ตติ มาที่นี่เพราะได้รับคำชักชวนจากดันน์·สมิท”

ไคลน์ถอดหมวกและเลื่อนมาที่หน้าอก ก่อนจะคำนับเล็กน้อยตามมารยาท

สตรีผมน้ำตาลตรงหน้า อายุคงราวยี่สิบตอนต้น สวมเดรสสีเขียวอ่อนสไตล์โลเอ็น ชายแขนเสื้อและกระโปรงประดับประดาด้วยลูกไม้และสายห้อยงดงาม

“หัวหน้าสินะ… เข้าใจแล้ว รอที่นี่ก่อนนะ ขอเข้าไปถามก่อน”

เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวคนดังกล่าวเดินหายเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกันทันที

หล่อนไม่ได้เสิร์ฟชา… กระทั่งน้ำเปล่าก็ไม่!

การต้อนรับแขกของที่นี่เข้าขั้นวิกฤติ… ไคลน์ยิ้มแห้ง มันยังยืนรอในจุดเดิม

หลังจากผ่านไปสองถึงสามนาที หญิงสาวผมน้ำตาลเดินกลับมา เธออมยิ้มและกล่าว

“มิสเตอร์โมเร็ตติ ตามมาค่ะ หัวหน้ามีเวรเฝ้า ‘ประตูยานิส’ จึงไม่สามารถออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้”

“ตกลงครับ”

ไคลน์เดินตามอย่างว่าง่าย ภายในใจครุ่นคิด

ประตูยานิส… คืออะไรกัน?

หลังจากเดินผ่านฉากกั้น สิ่งแรกที่เห็นคือทางเดินแคบและสั้น สองข้างทางมีประตูห้องทำงานฝั่งละสาม

บางห้องล็อกปิดตาย บางห้องเปิดอ้าซ่า เผยให้เห็นบุคคลกำลังก้มหน้าพิมพ์งานขะมักเขม้นด้วยเครื่องพิมพ์ดีดกล

หลังจากชำเลืองมองหนึ่งครั้ง ไคลน์จดจำใบหน้าของชายผู้หนึ่งได้ทันที มันคือนายตำรวจหนุ่มนัยน์ตาสีมรกต เคยปรากฏตัวพร้อมกับดันน์·สมิทที่บ้านไคลน์ บรรยากาศรอบตัวยังคงแผ่กลิ่นอายนักกวีเช่นเคย

ตำรวจนัยย์ตาเขียวมิได้สวมเครื่องแบบทางการ เป็นเชิ้ตขาวปกตั้ง ชายเสื้อปล่อยนอกกางเกง เหมือนกับเด็กนักเรียนที่ไม่ยอมรักษาระเบียบ

หรือจะเป็นนักกวีตัวจริง…?

ไคลน์พยักหน้าหนึ่งครั้ง มันยิ้มให้ตำรวจหนุ่มคนดังกล่าว อีกฝ่ายก็มีท่าทีแบบเดียวกัน

สตรีผมน้ำตาลเดินนำไปจนสุดทาง ก่อนจะผลักประตูซ้ายมือพร้อมกับชี้นิ้ว

“พวกเราต้องเดินลงไปอีกหน่อย”

ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์แม้แต่ชิ้นเดียว กึ่งกลางห้องเป็นบันไดหินสีเทาปนขาว ปลายทางคือชั้นล่าง

ข้างบันไดทั้งสองฝั่งมีโคมไฟแก๊สถูกติดตั้ง แสงไฟที่สงบนิ่งได้สลายความมืดมิดภายในห้องอย่างชะงักงัน แถมยังสร้างวิวทิวทัศน์อันงดงามไปในตัว

สตรีผมน้ำตาลเดินนำหน้าลงไป สายตาจ้องขั้นบันไดอย่างพิถีพิถัน ขาทั้งสองเล็งก้าวระมัดระวัง

“แม้จะเดินขึ้นลงจนชินแล้ว แต่ฉันก็ยังกลัวกลิ้งตกเป็นลูกขนุนอยู่ดี… คุณอาจไม่เชื่อ แต่เลียวนาร์ดเคยทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นมาแล้ว ในวันแรกที่เขากลายเป็น ‘ผู้ไร้หลับ’ ขณะเลียวนาร์ดยังควบคุมพลังใหม่ไม่ได้ หมอนั่นกลิ้งตกบันไดเหมือนกับลูกขนุนไม่มีผิด! ฮะฮะ! นึกแล้วยังขำจนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์ผ่านมาแล้วสามปีเห็นจะได้… จะว่าไป ฉันก็ทำงานกับเหยี่ยวราตรีมาห้าปีแล้ว ตั้งแต่อายุสิบเจ็ด…”

หญิงสาวผู้ร่าเริงนินทาเพื่อนร่วมงานขณะก้าวขาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น เธอใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองหนึ่งฉาด

“ตายแล้ว… ลืมแนะนำตัวเองเสียสนิท! ฉันชื่อโรแซน บิดาเป็นอดีตเหยี่ยวราตรีที่เสียชีวิตในหน้าที่เมื่อห้าปีก่อน คงต้องเรียกคุณว่าเพื่อนร่วมงานสินะ… เอ่อ… เพื่อนร่วมงานคงเหมาะสมแล้ว เพราะพวกเราไม่ใช่ผู้วิเศษ จึงไม่ใช่เพื่อนร่วมทีม”

“หวังว่าผมจะได้รับเกียรตินั้น… ยังต้องรอให้มิสเตอร์สมิทยืนยันก่อน”

ไคลน์เริ่มสำรวจบรรยากาศรอบตัว มันรู้สึกเหมือนกับเดินดำดิ่งลงมายังชั้นใต้ดินที่ค่อนข้างลึก กลิ่นอายความชื้นจากผนังแผ่อบอวลจนร่างกายสัมผัสได้ ไอความร้อนจากฤดูร้อนเริ่มจางลง

“ไม่ต้องกังวล ถ้าหัวหน้าบอกให้คุณมาที่นี่ หมายความว่า เขาจะรับคุณเข้าทำงานแน่นอน อันที่จริง ฉันค่อนข้างกลัวหัวหน้า… แม้เขาจะมีบรรยากาศใจดีเหมือนกับคุณพ่อ แต่ทำไมถึงกลัวก็ไม่รู้”

โรแซนพูดติดขัด ราวกับกำลังอมลูกกวาดไว้ในปาก

ไคลน์อธิบายติดตลก

“ก็เพราะเป็นพ่อไม่ใช่หรือ? ถึงได้กลัว”

“จริงด้วย!”

โรแซนกล่าวขณะใช้ฝ่ามือยันผนังเพื่อพยุงร่างกาย

ในที่สุด คนทั้งสองก็เดินถึงสุดปลายบันได

พื้นทางเดินเบื้องหน้าปูจากหินทั้งหมด

เป็นทางเดินที่ค่อนข้างยาว สองฝั่งกำแพงมีโคมแก๊สถูกติดตั้งเป็นระยะ ผนังทำจากตะแกรงเหล็ก เงาคนทั้งสองทอดยาวและไหววูบวาบเป็นระยะ จากแสงไฟรอบทิศขณะก้าวเดิน

ไคลน์ช่างสังเกต มันเหลือบเห็น ‘สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด’ สองข้างฝั่งทุกหนึ่งถึงสองเมตรที่เดินผ่าน

สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ประจำตัวเทพธิดารัตติกาล พื้นหลังสีดำสนิท กึ่งกลางแต้มด้วยจุดแสงสว่าง รูปทรงคล้ายจันทร์สีเลือดครึ่งเสี้ยว

ตราสัญลักษณ์เหล่านี้ พวกมันไม่มีพลังพิเศษ แต่ไคลน์ที่เดินผ่านกลับรู้สึกจิตใจสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด กระทั่งโรแซนช่างจ้อ เธอเองก็เงียบงันไปพักใหญ่เช่นกัน

หลังจากทางเดินยาว ไคลน์มาถึงจุดที่เป็นสี่แยก โรแซนรีบอธิบาย

“ซ้ายมือเป็นทางเดินไปยังโบสถ์พระแม่เซเลน่าที่ตั้งบนถนนพระจันทร์แดง ทางขวาเป็นคลังแสง คลังอุปกรณ์ และคลังเก็บของเก่า ถ้าเดินตรงไปจะเป็นประตูยานิส”

โบสถ์พระแม่เซเลน่า?

ถนนซุตแลนใกล้กับถนนพระจันทร์แดงแค่นี้เองหรือ? ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย

โบสถ์พระแม่เซเลน่าบนถนนพระจันทร์แดง ถือเป็นสำนักงานใหญ่ของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลภายในเมืองทิงเก็น เหล่าสาวกและผู้ศรัทธาต่างเดินทางไปเรียนคำสอนและสักการะอย่างสม่ำเสมอ

ยังมี ‘โบสถ์ชะตาศักดิ์สิทธิ์’ ของเทพแห่งจักรกลไอน้ำ ที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมือง และ ‘โบสถ์ธารสมุทร’ ของเทพแห่งวายุสลาตันที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทิงเก็น

ทั้งสามโบสถ์ถือเป็นศูนย์รวมใจทางศาสนาที่สำคัญของชาวเมืองทิงเก็น

ไคลน์ตระหนักดีว่า ตัวมันไม่มีสิทธิ์ถามก้าวก่ายไปมากกว่านี้ จึงทำเพียงเดินตามและรับฟังอย่างเงียบงัน

คนทั้งสองเดินตรงผ่านสี่แยกไป เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที ไคลน์ได้เห็นบานประตูเหล็กสีดำสนิท ที่สลักสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดไว้ทั้งหมดเจ็ดอัน

บานประตูมอบความรู้สึกหนักแน่น เย็นยะเยียบ และปลอดภัย ให้แก่ผู้พบเห็น ประหนึ่งยักษาคอยปกป้องภัยอันตรายจากความมืดมิด

“ประตูยานิส”

โรแซนอธิบาย จากนั้น เธอชี้นิ้วไปยังห้องด้านข้างที่ติดกับบานประตูเหล็ก

“หัวหน้าอยู่ข้างใน เข้าไปหาเองนะ”

“ไม่มีปัญหา ขอบคุณมาก”

ไคลน์ตอบนอบน้อม

ห้องที่โรแซนหมายถึง ตั้งเยื้องกับประตูยานิสเล็กน้อย หน้าต่างไม่ถูกปิดม่าน เผยให้เห็นแสงมัวจากภายใน

ไคลน์สูดลมหายใจเข้าลึก มันพยายามสงบสติอารมณ์

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“เข้ามาได้”

เป็นเสียงอบอบอุ่นใจดีของดันน์·สมิท

ประตูไม่ได้ล็อก ไคลน์เปิดอย่างทะนุถนอม ภายในห้องมีโต๊ะเพียงหนึ่งตัว เก้าอี้สี่ตัว

ดันน์·สมิทที่หน้าผากเริ่มเถิกล้าน มันนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทีผ่อนคลาย เครื่องแต่งกายยังคงเหมือนกับคืนก่อน โค้ตสีดำสนิท บริเวณลำคอห้อยนาฬิกาที่โซ่เป็นสีทอง

“มานั่งสิ ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม? ที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา”

ดันน์อมยิ้ม มันวางหนังสือพิมพ์ลง

ไคลน์ถอดหมวกเลื่อนมาไว้ที่อก ก่อนจะโค้งนำคำนับอย่างสุภาพ จากนั้น มันเดินมานั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ

“ครับ… ผมตัดสินใจดีแล้ว”

“ถ้างั้นก็อ่านเอกสารก่อน… สมัยนี้คงต้องเรียกว่า ‘สัญญา’ สินะ”

ดันน์ก้มตัวลง มันดึงลิ้นชักออก หยิบเอกสารสัญญาออกมาสองฉบับ

ข้อกำหนดในสัญญามีไม่มาก ดันน์·สมิทเคยเล่าให้ฟังเกือบหมดแล้ว ส่วนสำคัญคือข้อห้ามด้านความลับ หากฝ่าฝืน จะต้องถูกดำเนินคดีโดยศาลพิเศษของโบสถ์เทพธิดารัตติกาล มิใช่ศาลอาณาจักร เหมือนกับทหารและตำรวจ ที่มีศาลวินัยข้าราชการแยกเป็นการเฉพาะ

สัญญายาวนานห้าปี… ค่าตอบแทนสองปอนด์ กับอีกสิบซูล ต่อสัปดาห์ และมีค่าเสี่ยงภัย รวมถึงค่ารักษาความลับ อีกสิบซูลต่อสัปดาห์… หลังจากอ่านจบ ไคลน์ตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

“ผมไม่มีปัญหา”

“งั้นก็เซ็นเลย”

ดันน์กล่าว มันชี้นิ้วไปยังปากกาขนนกสีดำแดงที่วางใกล้ขวดหมึก

ไคลน์ทดสอบเซ็นลงบนกระดาษไม่ใช่แล้ว หลังจากมั่นใจ มันทำการเซ็นลงบนเอกสารสัญญาทั้งสองฉบับในชื่อ : ไคลน์·โมเร็ตติ

ปัจจุบัน ไคลน์ยังไม่มีตราประทับเป็นของตัวเอง จึงต้องยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ

ดันน์รับสัญญากลับไป มันก้มตัวลง หยิบตราประทับจากลิ้นชัก ก่อนจะปั๊มลงบนส่วนสำคัญของเอกสาร ราวสองถึงสามจุด

เมื่อเสร็จสิ้น ดันน์เก็บหนึ่งฉบับไว้ในลิ้นชัก ส่วนอีกฉบับยื่นกลับให้ไคลน์ จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นและกล่าว

“ยินดีต้อนรับ นายกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว อย่าลืม เอกสารฉบับนี้ต้องถูกเก็บรักษาอย่างเป็นความลับเช่นกัน”

ไคลน์ยืนตาม มันรับเอกสารด้วยมือข้างหนึ่ง และจับมือตอบด้วยมืออีกข้าง

“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องเรียกคุณว่าหัวหน้าแล้วใช่ไหม?”

“ถูกต้อง”

ดวงตาสีเทาของดันน์สุขุมลุ่มลึกเป็นพิเศษ

เมื่อจับมือเสร็จ ทั้งคู่นั่งลงอีกครั้ง

ไคลน์เหลือบเห็นข้อความบนตราประทับ มันอ่านออกเสียง

“หน่วยเหยี่ยวราตรี เมืองทิงเก็น แคว้นอาโฮว่า อาณาจักรโลเอ็น”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พวกคุณเปิดสำนักงานบังหน้าชื่อ ‘บริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ”

ไคลน์กล่าวพลางอมยิ้ม

“อันที่จริง พวกเรายังมีอีกชื่อ”

ดันน์ก้มลงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากลิ้นชัก

เป็นแผ่นกระดาษที่มีตราประทับของกรมตำรวจ ร่วมกับตราประทับของเทศบาลเมือง

เนื้อหามีดังนี้

“หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ด กรมตำรวจแคว้นอาโฮว่า อาณาจักรโลเอ็น”

“สี่หน่วยแรกจะเป็นตำรวจทั่วไป มีหน้าที่อารักขาแขกคนสำคัญ รวมถึงภารกิจพิเศษจิปาถะ ตั้งแต่หน่วยที่ห้าขึ้นไป จะเป็นหน่วยสำหรับปราบปรามคดีเหนือธรรมชาติโดยเฉพาะ แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างหน่วยที่เจ็ด พวกเราต้องดูแลทุกคดีที่ผู้เกี่ยวข้องเป็นคนของโบสถ์เทพธิดารัตติกาล แต่หากเป็นคดีที่ผู้เกี่ยวข้องมาจากหลายโบสถ์ การดูแลจะแบ่งตามพื้นที่รับผิดชอบ ของพวกเราประกอบด้วย ทิศเหนือ ทิศตะวันตก และเขตฟินิกซ์ทอง”

ดันน์อธิบายต่อ

“หน่วยปฏิบัติการที่หกคือหน่วยทูตพิพากษาจากโบสถ์วายุสลาตัน บริเวณที่รับผิดชอบคือ เขตท่าเรือ ทิศตะวันออก และทิศใต้ ส่วนหน่วยปฏิบัติการที่ห้าคือหน่วยจิตแห่งจักรกล ดูแลรับผิดชอบเขตมหาวิทยาลัย และเขตชานเมืองทั้งหมด”

“เข้าใจแล้ว”

ไคลน์ไม่ถามเรื่องหน่วยพิเศษต่อ มันอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีคนติดต่อจ้างงานกับบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ?”

“ก็รับงานตามปรกติ ไม่มีเหตุจำเป็นต้องปฏิเสธสักหน่อย ถ้าหากมันไม่กระทบกับงานเหยี่ยวราตรี ตรงนี้ถือเป็นรายได้เสริมของทุกคน สมาชิกหน่วยส่วนใหญ่จึงเต็มใจทำ… แต่ก็อย่างว่า งานไม่ได้มีบ่อยขนาดนั้น เพราะงานจิปาถะส่วนใหญ่จะถูกบริษัทนักสืบแย่งส่วนแบ่งไป”

“เหยี่ยวราตรีมีทั้งหมดกี่คน”

ไคลน์ถาม

“คดีเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง และที่น้อยกว่าคือจำนวนผู้วิเศษ เหยี่ยวราตรีของพวกเรามีเจ้าปฏิบัติการหกคน และเจ้าหน้าที่พลเรือนอีกหกคน นับรวมคุณด้วย”

ไคลน์พยักหน้าเชื่องช้า ก่อนจะถามในสิ่งที่ค้างคาใจมานาน

“หัวหน้า… ผู้วิเศษคลุ้มคลั่งหมายถึงอะไร แล้วทำไมถึงเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้?”

........................

Próximo capítulo