"สวัสดี"
ท่ามกลางห้วงอากาศอันเวิ้งว้างสีดำทะมึน เสียงทักทายอันลึกล้ำโอฬารเสียงหนึ่งพลันก้องกังวานขึ้น พร้อมกับเปลวเพลิงสีน้ำเงินอันแรงกล้าสายหนึ่งที่สาดส่องกระทบให้เห็นเงาร่างมหึมาร่างหนึ่งที่แทบจะปิดบังรังสีแสงขุมนั้นไว้มิด จนฉายให้เห็นรูปร่างอันมโหฬารนั้นรำไร
"ท่านเป็นใคร?"
เพียงได้เห็นแวบแรก ธีรพลก็บังเกิดจิตระย่นย่อในแสนยานุภาพของอีกฝ่าย เพราะร่างที่สูงเกือบห้าวา กายบึกบึนกำยำ อีกทั้งมีหน้าตาและช่วงขาที่ดูคล้ายกับนกอินทรี พร้อมด้วยปีกอันทรงพลังอีกคู่หนึ่ง จึงทำให้ธีรพลที่กลายเป็นตัวกระจ้อยร่อยไม่กล้าพูดจาจาบจ้วง เอ่ยถามอย่างให้เกียรติอีกฝ่ายเป็นที่สุด
"ไม่ต้องกลัว เราไม่ได้มาทำร้ายเจ้า อันที่จริง เราอยู่กับเจ้ามาโดยตลอด" ร่างปริศนาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"อยู่มาตลอด! ท่านจะมาอยู่กับข้าตลอดได้อย่างไร? เหตุใดเราจึงไม่เคยพบเจอท่านมาก่อน?" ด้วยความงงงันจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ธีรพลที่มีคำถามอัดแน่นอยู่เต็มอกก็จึงพรั่งพรูซักถามข้อสงสัยออกมาเป็นขบวน
"กลับไปที่คำถามแรกของเจ้าก่อน เจ้าสามารถเรียกเราว่า สุบรรณ"
เสียงอันลึกล้ำโอฬารพลันก้องกังวานดังสะท้อนขึ้นอีกครา พร้อมกับร่างมหึมาที่โน้มตัวลงมาจนเผยให้เห็นใบหน้าที่จะเป็นนกก็ไม่ใช่จะเป็นมนุษย์ก็ไม่เชิงให้ธีรพลได้ยลโฉม
"สุบรรณ"
ธีรพลทวนย้ำชื่ออยู่เที่ยวหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไป "ท่านเป็นวิญญาณอย่างนั้นหรือ?"
"จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่หากจะพูดให้ถูกต้องที่สุด ต้องบอกว่าเราเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่มีปัญญาญาณและอัตลักษณ์" สุบรรณตอบ
"หรือจะเป็นอัตลักษณ์พลังที่ลุงทองใบพูดถึง" ธีรพลก้มหน้าพูดพึมพำจมอยู่ในความนึกคิด
"ไม่ผิด ในโลกของเจ้าเรียกเราว่า อัตลักษณ์พลัง แต่อัตลักษณ์พลังที่สถิตอยู่กับลุงเจ้าและตัวเรานั้นแตกต่างกัน สำหรับเราที่ถูกลิขิตให้มาสถิตอยู่กับเจ้าตั้งแต่เจ้ากำเนิด แต่ของลุงเจ้าเป็นอัตลักษณ์พลังที่ได้รับมาในภายหลัง เงื่อนไขในการพึ่งพาอาศัยย่อมแตกต่างกัน" สุบรรณอธิบาย
"ถ้าอย่างนั้น ที่ข้าปลดปล่อยเปลวไฟออกมาได้นั้นหรือเป็นเพราะท่านอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่?" ทันทีที่นึกเชื่อมโยงขึ้นได้ ธีรพลก็พลันโพล่งถามขึ้น
"ไม่ผิด ในเวลานั้นเราเพียงทดลองเชื่อมโยงพลังงานธาตุเข้ากับกายเจ้าดูเท่านั้น" สุบรรณพยักหน้าตอบ
"ในยามปกติ เราไม่สามารถเชื่อมโยงจิตเข้าหาเจ้าได้ เจ้าจึงไม่ได้รับการสื่อสารใดๆมาก่อน แต่สำหรับการเชื่อมโยงพลังงานธาตุนั้นกลับไม่เป็นปัญหา ผลจึงเป็นอย่างที่เจ้าเห็น แต่ตั้งแต่เจ้าเริ่มฝึกเชื่อมโยงจิตเข้าควบคุมพลังงานชีวิต จิตของเราก็เริ่มที่จะเคลื่อนเข้าหาจิตเจ้าได้มากขึ้น จนเมื่อครู่นี้ที่พลังงานชีวิตในกายเจ้าสูงขึ้น พวกเราจึงเชื่อมโยงหากันได้" สุบรรณสาธยายต่ออย่างละเอียด
"ถ้าอย่างนั้น ต่อจากนี้ข้าจะขอหยิบยืมพลังงานธาตุจากท่านได้อีกหรือไม่?" ธีรพลเอ่ยถามอย่างคาดหวัง เพราะตั้งแต่เห็นเปลวไฟดวงนั้นเป็นต้นมา เขาก็หลงใหลในอานุภาพของมันจนโงหัวไม่ขึ้น
"คำตอบคือทั้งได้และไม่ได้ หากอยู่ในยามปกติเหตุการณ์ไม่ขับขันจวนเจียน เจ้าจะต้องพึ่งพาฝีมือตนเอง แต่ถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาดคิด เราก็จะให้เจ้าหยิบยืมพลังงานธาตุได้เพียงชั่วคราว แต่จงจดจำไว้ เนื่องจากเราเป็นอัตลักษณ์ที่ติดตัวเจ้ามาแต่กำเนิด พลังงานธาตุจึงเหลือระดับพลังเพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น หากเจอยอดฝีมือที่จริงแท้เข้า เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาเจ้าและเราได้แตกดับไปพร้อมกันเป็นแน่" สุบรรณเอ่ยตอบก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังในตอนท้าย
"จากนี้ข้าจะพูดคุยกับท่านได้อย่างไร?" ธีรพลที่ยังคงมีข้อสงสัยที่ค้างคาใจอยู่พลันเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
"ไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้เจ้ากับเราเชื่อมโยงถึงกันแล้ว เจ้าสามารถสื่อสารกับเราได้ทุกเวลา" สุบรรณยิ้มตอบก่อนจะเอ่ยร่ำลาธีรพลเอาเสียดื้อๆ
"เจ้าไปเถิด เกลอเจ้ากังวลใจแย่แล้ว"
ทันทีที่สิ้นประโยคจิตของธีรพลก็พลันถูกดึงกระชากอีกครา แต่ครานี้กลับเคลื่อนย้อนไปราวกับร่างถูกดึงให้ลอยขึ้นไปในอากาศสูงหลายร้อยวา
เปรี้ยง!
เสียงท้ายทอยธีรพลกระแทกเข้ากับพนักพิงไม้จนเกิดเสียงดังสะท้าน
"ไอ้ธี เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง? ข้านึกว่าเอ็งถูกผีดึงวิญญาณออกจากร่างไปแล้วเสียอีก" สิงห์ที่หน้าตาตื่นตระหนก รีบเข้ามาสำรวจดูอาการของเกลอรักในทันใด
"ข้าแค่ผล็อยหลับไปเท่านั้น ไม่มีอะไร" ธีรพลเอ่ยปดปิดบังให้เรื่องราวพ้นผ่านไปพร้อมกับยกมือขึ้นนวดท้ายทอยที่ปวดหนึบอยู่
"โธ่ ข้าก็อุตส่าห์นึกเป็นห่วงเอ็ง เห็นนั่งนิ่งไม่ไหวติ่งตั้งแต่ออกจากถ้ำขุนตานจนป่านนี้จวนจะถึงเขลางค์นครอยู่แล้ว" สิงห์เอ่ยกล่าวอย่างรำคาญใจ
ด้านธีรพลที่เข้าใจในความห่วงใยของเกลอรัก ก็จึงไม่ต่อปากต่อคำใดๆ เพียงหัวเราะยิ้มแห้งๆแก้เขินให้ผ่านพ้นไป
เขลางค์นครเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเวียงพิงค์ เดิมทีเขลางค์นครเคยเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟปลายทางของทางรถไฟสายเหนืออยู่หลายปี ดังนั้นที่นี้จึงเคยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าจากพระนครมายังภาคเหนือของสยามประเทศมาก่อน ตัวเมืองจึงมีความเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งยังมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย และที่อยู่ห่างออกมาทางตะวันตกจากตัวเมืองไม่ไกลนัก เพียงข้ามฝั่งลำน้ำวังมาก็จะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟขนาดใหญ่ประจำเขลางค์นคร
หลังจากเดินออกจากสถานีรถไฟมา เฮียจวงก็นำธีรพลและคณะ จ้างวานรถม้าสัญลักษณ์ประจำเขลางค์นครนำส่งไปยังอาคารพาณิชย์ในกาดกองต้าหรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันติดปากกันว่าตลาดจีนในทันที
"สวัสดีครับ เฮียจวง" พนักงานที่ดูจะสนิทสนมรู้หน้าคร่าตาอีกฝ่ายเป็นอย่างดีพลันเอ่ยทักขึ้นอย่างพินอบพิเทาทันทีที่ได้พบหน้า
"สวัสดี" เฮียจวงทักตอบกลับอย่างมีมารยาท ก่อนจะชักนำทั้งคณะเดินตามพนักงานต้อนรับผู้นั้นไปยังภายใน
"เฮียสามอยู่หรือไหม?" เฮียจวงเอ่ยถามพนักงานคนดังกล่าว
"วันนี้เฮียสามภารกิจรัดตัว คงจะไม่ได้เข้ามา" พนักงานเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมพร้อมกับเชิญให้ทั้งหมดนั่งพักรออยู่สักครู่ ส่วนตัวเขาเองหลังจากกล่าวขอตัวแล้วก็หายลับเข้าส่วนหลังของอาคารไป
"ไอ้ธี เอ็งว่า เจ้าของที่นี่ทำกิจการใดกัน เหตุใดตึกจึงได้ใหญ่มโหฬารออกปานนี้" สิงห์ที่มองดูตัวอาคารด้วยอาการตื่นเต้น เพราะยังไม่เคยเห็นที่ใดเฉพาะเพียงส่วนต้อนรับก็กินเนื้อที่กว้างขวางกว่าสามสี่คูหา
"คงจะเป็นการค้าใดสักอย่าง ที่นี่อยู่ติดแม่น้ำวัง อาจจะค้าไม้ซุงก็เป็นได้"
เนื่องจากภาคเหนือของสยามประเทศมีการให้สัมปทานป่าไม้กันในหลายพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่สำนักงานของผู้ได้รับสัญญามักจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำในหัวเมืองใหญ่ ธีรพลจึงคาดเดาไปในแนวทางนั้น
"สวัสดีเฮียจวง รอนานหรือไม่?" ชายในวัยราวๆห้าสิบหกสิบปีผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลสถานที่ เดินแย้มยิ้มออกมาจากหลังม่านเข้ามาจับมือเฮียจวงเอ่ยทักทายอย่างสนิมสนม
"เหล่าแปะ ไม่เจอกันหลายเดือนดูซูบผอมไปนะ" เฮียจวงเอ่ยทัก
"ผู้ใดจะสุขสบายเท่าเฮียจวงกันเล่า" เหล่าแปะเอ่ยกระเส้า
"ว่าแต่ ของชิ้นที่ว่ามาถึงหรือยัง?" เฮียจวงพลันเอ่ยตัดบทเข้าเรื่อง
"ของมาถึงแล้ว อยู่ด้านบน" เหล่าแปะตอบพร้อมกับผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายขึ้นไปชมดูด้วยตัวเอง
แต่ครั้นไอ้ใหญ่และลูกน้องทำท่าจะเดินติดตามเจ้านายไป เหล่าแปะก็พลันยกมือขึ้นทัดทานไว้ จึงทำให้ทั้งหมดหยุดชะงักงงงันว่าเป็นเรื่องราวใด
"ต้องขออภัยเฮียจวงเป็นอย่างสูง ช่วงนี้ทางเราเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษ จึงอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น" เหล่าแปะโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แม้การกระทำนี้จะเป็นการลิดรอนสิทธิของเฮียจวง แต่การพูดจาที่ผ่าเผยของเขาก็ทำให้เฮียจวงไม่อาจไม่ยอมรับคัดค้าน
"พวกเอ็งรออยู่นี่ ธี ขึ้นไปกับเฮียได้หรือไม่?"
ถึงคราที่ธีรพลต้องงงงันในการกระทำของเฮียจวง เพราะตลอดมาเฮียจวงมักจะใช้ให้ไอ้ใหญ่ติดสอยห้อยตามตัวอยู่เสมอ อีกทั้งสถานะของเขาก็ค่อนข้างครุมเครือจะจัดให้เป็นมิตรก็ไม่ใช่ศัตรูก็ไม่เชิง หากจะพูดในเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจกลับเทียบไม่ได้กับไอ้ใหญ่ที่เป็นลูกน้องสายตรง แต่ในครั้งนี้เฮียจวงกลับร้องขอให้เขาติดตามไป ทำให้ธีรพลยิ่งขบคิดยิ่งไม่เข้าใจ
แต่ในด้านเฮียจวงที่ทราบอยู่แล้วว่ากิจการนี้เป็นธุรกิจใต้ดินผิดกฎหมาย แม้จะค่อนข้างมั่นใจในการรักษาความปลอดภัยของอีกฝ่าย แต่ครานี้ตัวเขาเองก็พกเงินติดตัวมาด้วยไม่น้อย ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท การมีผู้ช่วยอย่างธีรพลที่มีฝีมือสูงเยี่ยมติดตามไปด้วยย่อมประเสริฐกว่า และหากแม้ธีรพลจะไม่ยอมเข้าช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันฉุกเฉิน ตัวเขาก็มีไพ่ตายไว้บีบบังคับอีกฝ่ายให้ปฏิบัติตามได้อยู่เช่นกัน
แม้จะยังไม่ทราบในเจตนาที่แท้จริงของเฮียจวง แต่ในเมื่ออยู่ว่างไร้เรื่องราว ธีรพลก็จึงตอบรับอีกฝ่ายและเดินตามขึ้นไปยังชั้นสองในทันที
หลังจากเดินเข้าประตูบานใหญ่ ธีรพลและเฮียจวงก็มาพบเข้ากับโถงขนาดเล็กที่ยืนไว้ด้วยผู้ดูแลความปลอดภัยสถานที่ราวเจ็ดแปดคน ซึ่งเมื่อลองสำรวจดูแล้วก็พบว่าแต่ละคนดูมีฝีมือติดตัวอยู่มิใช่ชั่ว ซึ่งหากจะลองเปรียบดูก็คงจะเทียบเท่าหรือไม่ก็อ่อนด้อยกว่าไอ้ใหญ่ไม่มากนัก ซึ่งด้วยปริมาณกำลังพลขนาดนี้ ธีรพลก็พอที่จะคาดได้ว่าทั้งหมดนี้กำลังให้การอารักขาบางสิ่งบางอย่างที่มีราคาค่างวดอย่างยิ่งยวดอยู่
เมื่อผ่านการตรวจค้นอาวุธแล้วเสร็จ เหล่าแปะก็เชื้อเชิญทั้งสองให้เดินขึ้นไปบนชั้นสามของสถานที่ ซึ่งบริเวณนี้เองเป็นพื้นที่ในส่วนจัดแสดง และหากดูว่าพื้นที่ต้อนรับที่เบื้องล่างกว้างขวางใหญ่โตแล้ว ในพื้นที่ส่วนนี้กลับโอ่โถงกว้างขวางขึ้นกว่าอีกเป็นเท่าตัว อีกทั้งภายในยังถูกตกแต่งใส่คิ้วปิดบัว ไม้ถูกย้อมไว้ด้วยน้ำมันสีแดงยามกระทบด้วยแสงไฟสีส้มทำให้ทั้งชั้นดูหรูหราโอ่อ่าเป็นที่สุด
ภายในห้องมีแท่นไม้ตั้งสูงขึ้นมาจากพื้นราวครึ่งวาเศษ วางไว้ยังตำแหน่งกึ่งกลางห้องเรียงรายจำนวนหลายสิบต้น มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กแตกต่างกัน แต่ที่เบื้องบนมีโบราณวัตถุรูปร่างลักษณะต่างๆวางไว้ ส่วนที่มาก็มีจากทั้งในสยามประเทศและต่างแดน ทั้งที่เป็นพระพุทธรูปและเทวรูปเทพตามความเชื่อในแต่ละแห่งผสมปะปนกันไป ซึ่งแต่ละชิ้นก็ดูเหมือนมีค่ามากเสียจนแทบประเมินไม่ได้เฉกเช่นเดียวกัน
แต่แปลกก็ตรงที่ของชิ้นที่เฮียจวงถามหากลับไม่ใช่วัตถุมีค่าที่เรียงรายให้เห็นอยู่นี้ แต่กลับเป็นแท่นที่อยู่ลึกเข้าไปในอีกมุมหนึ่งซึ่งมีวัตถุวางตั้งไว้เพียงห้าชิ้น และที่ตำแหน่งกึ่งกลางนั้นก็คือพระพุทธรูปทรงเครื่องหล่อด้วยทองคำ ขนาดหน้าตักเก้านิ้วองค์หนึ่ง
"งดงามอะไรเช่นนี้"
ทันทีที่ได้พบเห็นเฮียจวงก็พลันพึงตาต้องใจ ใคร่เข้าไปจับต้องมองดูอย่างละเอียด แต่ก็ติดที่กฎของสถานที่ที่บังคับไม่ให้ผู้มา แตะต้องวัตถุใดๆหากยังไม่ได้ชำระซื้อวัตถุชิ้นนั้นอย่างถูกต้อง
"ตั้งราคาองค์นี้ไว้เท่าใด?" เฮียจวงที่ตื่นเต้นเสียจนแสดงอาการออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน เอ่ยถามขึ้นอย่างใจร้อน
"เพียงเฉพาะเนื้อทองคำในองค์พระพุทธรูปนี้ก็มีค่าเกินห้าพันบาท นี้ยังไม่นับความเก่าแก่และที่มาของของโบราณชิ้นนี้ และก็ต้องขออภัยเฮียจวงอีกครั้ง เรายังคงไม่สามารถจะขายพุทธรูปนี้ให้ได้ เนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เฮียสามจึงได้ปรับเปลี่ยนวิธีเป็นการประมูลซื้อแทน" เหล่าแปะผู้ดูแลสถานที่โค้งคำนับ เอ่ยกล่าวอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
เมื่อไม่เป็นดั่งหวัง เฮียจวงจากที่แย้มยิ้มเริงร่าก็พลันหน้าเสียไม่สบอารมณ์ในทันใด ของโบราณสิ่งนี้เป็นสินค้าชิ้นที่เขาหมายปองมาตั้งแต่ทราบข่าว อีกทั้งเขายังรู้แน่อยู่แก่ใจว่าตัวเขาเป็นลูกค้าประจำดีเด่นที่ใช้บริการสถานแห่งนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี อย่างไรเสียก็น่าจะให้สิทธิพิเศษในการต่อรองซื้อก่อนผู้อื่น แต่นี้อีกฝั่งกลับเลือกที่จะใช้วิธีให้ลูกค้าประชันขันแข่งกันเอง แม้จะยุติธรรมแต่ก็เป็นวิธีที่ใช้ขูดเลือดขูดเนื้อรีดเงินจากผู้ซื้อได้มากเช่นกัน