ยามซื่อ สองวันต่อมา
มู่หลิ่งเหวินกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าตำหนักวังตะวันออก อยู่ในห้องอักษร "กระหม่อมมาเพื่อขอบพระทัยองค์รัชทายาทพะย่ะค่ะ"
"ขอบคุณ? เรื่องใดกัน?"ฉีเฟยหลงแสร้งทำเป็นไม่รู้ความ
"ใต้ซือซิ่นเจี้ยน จะทราบได้เยี่ยงไรว่าฮูหยินของกระหม่อมมีเคราะห์ ต้องอาศัยแรงศรัทธาจากผู้คนที่รักนางเป็นจำนวนมาก หากไม่ใช่มี ผู้หวังดีบางคน นำข่าวไปแจ้ง พระองค์ว่ากระหม่อมกล่าวถูกรึไม่?"
"ปิดเจ้าไม่ได้จริงๆ ใช่เป็นเราเองที่จัดการเรื่องนี้ นางคงปลอดภัยแล้ว? เจ้าถึงได้เดินทางมาขอบคุณเราด้วยตนเอง"ฉีเฟยหลงยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ปลอดโปล่งใจขึ้นหลายส่วน เมื่อทราบข่าวว่านางปลอดภัยแล้ว
"พะย่ะค่ะ นางปลอดภัยแล้ว ยามนี้กำลังอยู่ระหว่างพักฟื้นร่างกาย คงต้องใช้เวลาสักสองสามเดือนจึงจะออกมาต้อนรับแขกเหรื่อได้"
"....อืม..นางปลอดภัยก็ดีแล้ว"คำพูดของแม่ทัพหนุ่ม มีรึที่ฉีเฟยหลงจะไม่เข้าใจ หากเป็นไปได้ ช่วงนี้อย่าไปรบกวนนางจะดีกว่าอยากจะพูดเช่นนี้ใช่รึไม่? อาเหวินนะอาเหวิน...
--------------------
หลายวันต่อมา เรือนที่พักหลักในจวนแม่ทัพไร้พ่าย
"ส่งถ้วยยามาให้ข้า เจ้าจิ้งจอกจอมขี้แย"ฟานฟานน้อย ในร่างเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู กล่าวพร้อมกับยื่นมือออกไป
"ไม่..หมั่นโถวจะนำไปให้หลินหลินเอง"เจ้าจิ้งจอกน้อยในร่างเด็กหญิงน่ารัก ราวกับเทพธิดาตัวน้อยถอยหลังไปก้าวเบี่ยงถ้วยยาหลบไปข้างเอว
"สามวันมานี้ เจ้ายังได้รับคำชมจากหลินหลินไม่พออีกรึ!"เด็กชายยกแขนเท้าเอวถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง แต่ท่าทางนั้นกลับดูน่าเอ็นดูนักในสายตาเสี่ยวสุ่ยนัก
"หมั่นโถวทำด้วยความเต็มใจ หาใช่ต้องการคำชมอย่างที่หัวหน้ากล่าวหาไม่?"เด็กหญิงโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้าน่ารักงอง้ำน้ำตาปริ่มพร้อมจะหยดออกมาได้ทุกเมื่อ
"น้องเล็ก เจ้าเป็นหัวหน้าแก๊ง เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ให้เจ้าหมั่นโถวจัดการเถิด ส่วนเจ้าไปดูหลงเอ๋อร์กับเหม่ยเอ๋อร์กับข้าดีรึไม่?"ฟงฟงน้อยกล่าวยุติการโต้เถียงของทั้งสอง และเพื่อเบี่ยง เบนความสนใจของน้องเล็ก ด้วยหน้าตาที่คล้ายคลึงกันนั้นทำให้บ่าวไพร่เข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง สร้างความหนักใจแก่ฟงฟงน้อยยิ่ง เพราะน้องชายชอบที่จะกลั่นแกล้งคนรอบข้างอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่กับฟงฟงน้อยที่ไม่ชื่นชอบเท่าใดนัก
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้ามีอยู่สองคนที่มองออกว่าคนไหนคือฟงฟงน้อย คนไหนคือฟานฟานน้อย สองคนที่กล่าวถึงคือหลินหลินกับเหวินเหวิน ขนาดแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า ลองทำตัวเลียน แบบอีกฝ่าย ก็ไม่สามารถตบตาหลินหลินกับเหวินเหวินให้หลงกลได้
หลังจากวันที่ได้รับพรจากราชามังกรฟ้า เจ็ดวันต่อมาพวกมันก็กลายร่างเป็นเด็กมนุษย์วัยราวสิบขวบปี สร้างความตื่นเต้นดีใจแก่พวกมันยิ่งนักกระโดดโลดเต้นวิ่งวุ่นไปทั่วจวน ทหารยามและบ่าวไพร่ที่ไม่รู้ความเป็นมาแตกตื่นตกใจกันยกใหญ่ พากันวิ่งไล่จับพวกมันในร่างเด็กน้อยกันจ้าละหวั่น แต่ไม่มีผู้ใดสามารถจับพวกมันได้สักคน
แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกจับได้ด้วยฝีมือของ หมายเลขหนึ่ง สอง สาม และสี่ ผู้คุ้มกันสุดแกร่งของหลินหลิน
ครั้นพอแจ้งว่า พวกมันคือสี่สหายน้อยของหลินหลิน คราวแรกคนเหล่านั้นทำท่าไม่เชื่อ ฟงฟงน้อยจึงได้เอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นขึ้นมาคนเหล่านั้นจึงยอมเชื่อ แต่ยังไม่วายขอเข้าไปรายงานให้หลินหลินทราบก่อน
เมื่อได้รับอนุญาต พวกมันก็วิ่งแจ้นเข้าไปในห้องที่ร้อนอบอ้าว อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรฉุนแสบจมูกตรงไปยังร่างของหลินหลิน ที่นอนคลุมผ้าห่มผืนหนาอยู่บนเตียงบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
ฟงฟงน้อยเห็นหลินหลินส่งยิ้มอ่อนโยนยันกายลุกขึ้นนั่ง กวักมือเรียกพวกมันในร่างเด็กน้อยเข้าไปกอดทีละคนจนครบ ทั้งยังรู้ด้วยว่าใครเป็นใครทำให้พวกมันดีใจยิ่ง
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่พวกมันอยู่ในร่างเด็กมนุษย์ สามวันที่แล้วหมั่นโถวน้อยอ้อนวอนขอทำหน้าที่นำยาไปให้หลินหลิน ซึ่งตนและเป่าเปาน้อยก็ไม่คัดค้าน มีเพียงน้องเล็กเท่านั้นที่ตั้งท่าจะคัดค้าน แต่ถูกสายตาคล้ายตำหนิจากตนและเป่าเปาน้อยอีกทั้งสายตาอ้อนวอนของหมั่นโถวน้อยจึงจำใจต้องพยักหน้า
แล้วนี่อันใด? เพียงวันที่สามกำแพงความอดทนของน้องเล็กก็พังทลายลงเสียแล้ว เฮ้อ...ความอดทนเจ้าช่างต่ำเตี้ยเสียจริง ฟงฟงน้อยคิดพลางทอดถอนใจด้วยความอ่อนใจ
"เฮอะ!...วันนี้ข้าจะยอมเจ้าไปก่อนละกัน แต่พรุ่งนี้ ข้าจะเป็นผู้นำยาไปให้หลินหลินเอง"พูดจบก็ทำท่าฮึดฮัด แยกเขี้ยวใส่เจ้าจิ้งจอกน้อยอย่างลืมตัวไปว่ามันอยู่ในร่างเด็กมนุษย์หาใช่ร่างพยัคฆ์ไม่
ฟงฟงน้อย กับเป่าเปาน้อยหันมามองหน้ากันพลางส่ายหัวระอาใจกับความเอาแต่ใจของหัวหน้าแก๊ง "หมั่นโถว เจ้ารีบนำยาไปให้หลินหลินเถิด เดี๋ยวจะเย็นไปเสียก่อน"เป่าเปาน้อยกล่าวกับน้องสาว
"เจ้าค่ะ!"หมั่นโถวรับคำเสียงสดใส ใบหน้าน่ารักราวเทพธิดาตัวน้อยเผยรอยยิ้มกว้างประคองถาดยาเดินเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง
--------------
นี่เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความอ่อนอกอ่อนใจแก่ชิงหลิน บ่ายวันนั้นจึงเรียกเจ้าสี่แสบ มาคุยตกลงกันให้เข้าใจ จนได้ข้อสรุปว่าสี่วันที่เหลือให้แบ่งกันนำยามาให้นางคนละวัน ซึ่งเจ้าฟานฟานน้อย เจ้าหมั่นโถวน้อย ตัวต้นเรื่องก็ยอมรับแต่โดยดี แต่กระนั้นก็ยังไม่วายทำหน้าคว่ำใส่กันจนนางต้องส่งสายตาปรามจึงได้เลิกแล้วต่อกัน
------------
ช่วงสายวันหนึ่ง ห้องทำงานเรือนที่พักในค่ายทหารของสกุลมู่
"สถานการณ์ที่นั่นเป็นเยี่ยงไรบ้าง?"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถาม รองแม่ทัพหนุ่มหน้าหวาน ที่นั่งอยู่ด้านข้างขวามือ
"เสร็จสิ้นเร็วเกินคาด ชาวบ้านฝากขอบคุณท่านแม่ทัพและฮูหยินน้อยมาด้วยขอรับ"จางมู่หลงรายงานเสียงเรียบ บุรุษหนุ่มได้รับคำสั่งจากแม่ทัพหนุ่มให้คุ้มกัน ดูแลความปลอดภัยแก่ชาวบ้านผู้อพยพมาจากแคว้นฉิน ที่เคยมาคุกเข่าอ้อนวอนขอความช่วยเหลือเมื่อหลายเดือนก่อน กลับถิ่นฐานบ้านเกิดพร้อมเสบียงเครื่องใช้ที่จำเป็นและยารักษาโรค
ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งเดือนเศษก็มาถึงหมู่บ้านตงกวน หมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ติดชายแดนแคว้นฉี สภาพเบื้องหน้าเล่นเอาจางมู่หลงถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอึ้งไปพักใหญ่
หากจางมู่หลงเดินทางมาเพียงลำพัง คงคิดว่าที่แห่งนี้ คือหมู่บ้านร้างเป็นแน่แท้ ไร้ผู้คนเงียบเชียบราวกับยืนอยู่ในสุสาน พื้นดินแตกระแหงสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าสักต้นยังไม่มีผ่านเข้ามาในสายตา ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะช่วยชาวบ้านเหล่านี้อย่างไรดี หัวหน้าหมู่บ้านนาม จิวหู ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ตนอ่านพออ่านจบหัวใจก็พองโตด้วยความยินดี
'ขอให้ขุดสระ บ่อน้ำ ตามจุดที่ได้ทำเครื่องหมายไว้ ไม้กองเล็กให้ขุดเป็นบ่อน้ำ ไม้กองใหญ่ให้ขุดเป็นสระ' มู่หลิน
นี่คือจดหมายจากฮูหยินน้อย แม้จางมู่หลงจะไม่ได้เดินทางไปเมืองชานตง แต่ชายหนุ่มก็ได้ยินเรื่องราวความเก่งกล้าสามารถของฮูหยินน้อย จากเหล่าทหารหาญทั้งหลายที่เคยร่วมขบวนไปด้วย มากมายพอสมควร หนึ่งในนั้นคือเรื่องการชี้จุดตาน้ำใต้ดินได้อย่างแม่นยำราวกับตาเห็น เมื่อเข้าใจข้อความที่อยู่ในจดหมายแล้ว จางมู่หลง ก็สั่งการให้พลทหารบางส่วน กระจายกำลัง ออกสำรวจเครื่องหมายที่ว่าทั่วหมู่บ้าน และเริ่มลงมือขุดทันที
ในระหว่างที่ขุดดินตรงบริเวณนั้นอ่อนนุ่มง่ายแก่การขุดลอกยิ่งนัก สร้างความประหลาดใจแก่ตนและชาวบ้าน แต่นั่นทำให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จเร็วกว่ากำหนดถึงหนึ่งเดือน
"อืม...เจ้าพึ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเถิด" เสียงของแม่ทัพหนุ่มดึงสติของชายหนุ่มกลับมา ลุกขึ้นกล่าวลาแล้วเดินจากไปด้วยท่วงท่าองอาจ สง่างาม
แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มพอใจ ภารกิจช่วยเหลือชาวบ้านตงกวนขุดสระน้ำ บ่อน้ำ สำเร็จเสร็จสิ้นเร็วกว่ากำหนด ความดีความชอบนี้ต้องยกให้ภรรยารักกึ่งหนึ่ง อืม...แล้วข้าจะให้รางวัลอันใดกับนางดีเล่า?ซึ่งอาการนั่งยิ้มส่งเสียงหึๆของแม่ทัพหนุ่ม เล่นเอาสี่องครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าห้องลอบมองด้วยความประหลาดใจ
สามเดือนต่อมา
จวนแม่ทัพไร้พ่ายร่วมมือกับจวนเสนาบดีมู่บิดาได้ติดประกาศเมื่อสองเดือนก่อน ว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ทายาทแฝดของแม่ทัพหนุ่ม และเลี้ยงขอบคุณเหล่าผู้คนที่รักและศรัทธาในตัวธิดาสวรรค์ เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งยังเปิดจวนแม่ทัพไร้พ่ายให้แขกเหรื่อได้มีโอกาสเข้ามาอวยพรให้ทายาททั้งสอง กันถึงในจวนเลยทีเดียว
นับเป็นครั้งแรกที่แม่ทัพหนุ่มกระทำเช่นนี้ ทำให้ผู้คนที่ทราบข่าว หลั่งไหลกันมาจับจองที่พักในเมืองหลวงล่วงหน้าก่อนวันงานนับเดือน ด้วยเกรงว่าจะพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ไป ส่งผลให้การค้าขาย ที่คึกคักอยู่แล้วยิ่งคึกคักมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
ยามไฮ่หลังจากกล่อมสองทารกน้อย จนหลับปุ๋ยไปเป็นที่เรียบร้อย ชิงหลินซึ่งออกจากการอยู่ไฟมาได้เดือนกว่าและย้ายมานอนที่ห้องเดิมของตนกับสามีรักแล้วเดินมายังเตียงนอนที่สามีรักกำลังเอนหลังพิงหัวเตียงอ่านตำราด้วยท่วงท่าสบายๆ เพื่อพักผ่อน
"เด็กๆหลับแล้วหรือ?"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามเสียงนุ่มวางตำราบนโต๊ะข้างหัวเตียง รวบร่างเล็กนุ่มนิ่มหอมกรุ่นวางบนท่อนขาที่เหยียดยาว ให้ขาทั้งสองของนางวางบนขาทั้งสองของตน วางคางสากกับไหล่เล็กหลับตาสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆพลางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
"หลับแล้วเจ้าค่ะ เหนื่อยหรือเจ้าคะ?"ย้อนถามอย่างเป็นห่วง
"อีกเจ็ดวันก็จะถึงงานเลี้ยงแล้ว มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก ภรรยารักก็รู้ ว่าสามีรักไม่ใคร่ชื่นชอบงานเลี้ยงจึงค่อนข้างเบื่อหน่ายเล็กน้อย"แม่ทัพหนุ่มโอดครวญให้นางฟังทั้งที่ยังหลับตา
"ให้ภรรยารักช่วยดีรึไม่?"ถามอีกครั้งจำไม่ได้ว่าพูดประโยคนี้มาแล้วกี่รอบ แต่จำคำตอบได้ดีว่า ไม่ได้!
"สามีรักขอปฏิเสธ"นั่นอย่างไรเล่าพูดยังไม่ทันขาดคำ ชิงหลินคิดในใจ
"แต่ภรรยารักทำได้นะ แค่ชี้นิ้วสั่งการเองไม่ได้จะไปยกของหนักอะไรเสียหน่อย"ลองเสี่ยงดูเผื่อสามีรักจะใจอ่อน
"สามีรักไม่วางใจ หากลื่นหกล้มขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร? อยู่นิ่งๆที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่สามีรักเถิด"กล่าวไปมือหนาก็เริ่มซุกซนจากเดิมประสานกันอยู่หน้าท้องของภรรยารัก ก็เริ่มเลื้อยขึ้นสูง
"อุ๊ย..หยุดเลยนะเจ้าคะ"ชิงหลินรีบตะปบมือใหญ่ทำเสียงดุ
"อืม..สามีรักต้องอดกลั้นมานานหลายเดือน ใยจึงใจดำนักเล่า?"แม่ทัพหนุ่มตัดพ้อน้ำเสียงแหบพร่า จุมพิตที่ไหล่ไล่ขึ้นมาซุกไซ้ลำคอระหงขาวผ่อง กดจมูกแรงๆเห็นนางสะดุ้งหดคอหนีก็ยิ่งลุกไล่หยอกเย้าไม่หยุด
"อย่าเจ้าค่ะ ลูกๆก็อยู่ในห้องนะเจ้าคะ"เตือนเสียงสั่นพร่าพร้อมกับเบี่ยงกายหนี
"อืม...พวกเขายังเป็นเพียงทารกไร้เดียงสา ใยจะรู้เรื่องราวอะไรได้"แม่ทัพหนุ่มแย้ง จับปลายคางเล็กให้หันมาแล้วจุมพิตอย่างอ่อนโยนดูดดื่ม แล้วค่อยเร่าร้อนขึ้นไปตามแรงเสน่หา พร้อมกับพลิกร่างเล็กนุ่มนิ่มลงนอนบนเตียงกว้าง ริมฝีปากตามประกบติดไม่ห่าง
มือหยาบหนาลูบไล้จากลำคอระหง ไล้มาที่หน้าอกสอดมือผ่านอาภรณ์เข้าไปกอบกุมดอกบัวงามแล้วออกแรงบีบหนักเบาสลับกันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาที่เอว กระชากสายคาดเอวออกให้พ้นทาง
ทันทีเมื่อสายคาดเอวหลุดออกไป แม่ทัพหนุ่มก็ผละใบหน้าออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มหอมหวาน จัดการกับอาภรณ์สีขาวตัวบางออกไป จนเหลือเพียงเอี๊ยมชั้นในสีขาว ที่บริเวณหน้าอกทั้งสองข้างมีรอยเปื้อนเป็นวงกว้าง
"..อยะอย่ามองนะ!"ชิงหลินรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกตนเอง เมื่อเห็นสามีรักขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองหน้าอกนาง ใบหน้าจิ้มลิ้มบัดนี้แดงก่ำทั้งขัดเขินทั้งอับอาย ถึงจะมีเอี๊ยมปิดไว้อยู่ก็เถอะ แต่เพราะพึ่งคลอดบุตรจึงทำให้มีน้ำนมมากจึงทำให้ไหลออกมาเปื้อนซับในอย่างนี้
"ภรรยารักงดงามเช่นนี้ สามีรักจะอดใจไหวได้เยี่ยงไร?"มือหนาออกแรงเพียงนิด ก็สามารถจัดการกับมือเรียวเล็กของนางได้แล้ว จากนั้นมือหนาข้างหนึ่งก็สอดเข้าไปใต้เอี๊ยมตัวจิ๋วกอบกุมดอกบัวงามที่ใหญ่ขึ้น เต่งตึงขึ้นจากการมีบุตรลูบไล้คลึงเคล้นอย่างเมามัน
"อ๊ะ...อา.."เสียงครางของภรรยารัก กระตุ้นไฟเสน่หาในกายชายหนุ่มให้ลุกโชน บทรักอันเร่าร้อนจึงเริ่มต้นขึ้นในรอบหลายเดือน.....
หนึ่งวันก่อนงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้น ณ จวนแม่ทัพไร้พ่ายและจวนเสนาบดีมู่ ขอทานน้อยร้อยกว่าชีวิตที่อาศัยอยู่ในวัดต้าเจาซื่อและขอทานทั่วเมืองหลวง ได้รับของขวัญเป็นชุดใหม่เอี่ยมสวมใส่มาร่วมงานที่จวนแม่ทัพไร้พ่าย สร้างความตื่นเต้นยินดีแลตื้นตันใจแก่เหล่าขอทานยิ่งนัก ด้วยไม่คาดมาก่อนว่าจะมีวาสนาถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอันทรงเกียรตินี้ ทั้งยังจะได้มีโอกาสกล่าวคำอวยพรให้ธิดาสวรรค์และคุณหนูคุณชายน้อยอีกด้วย
ในส่วนของวัดต้าเจาซื่อ เฟิ่งอิงได้รับมอบหมายจาก ชิงหยวนเกณฑ์คนงานมาช่วยซ่อมแซมศาลาอาคารที่ชำรุด และขยับขยายที่พักของผู้อพยพและขอทานให้กว้างขึ้น มีพื้นที่มากขึ้นไว้รองรับผู้ยากไร้ขาดที่พักพิงพร้อมอาหารวันละสามมื้อ
เนื่องจากวัดต้าเจาซื่อ มีพื้นที่ว่างเปล่าหลายสิบไร่ น้ำท่าอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก พอเฟิ่งอิงนำเรื่องนี้มาปรึกษาเมื่อหลายวันก่อน ชิงหลินจึงเสนอให้ทำแปลงเกษตร เพาะปลูกพืชผักสมุนไพรและผลไม้ที่นำมาจากหุบเขากินคน ซึ่งล้วนแต่เป็นพันธุ์พืชเฉพาะของไทยทั้งสิ้น ด้วยเชื่อว่าต่อไปในวันข้างหน้าพืชพันธุ์เหล่านี้จะกลายเป็นสินค้าขายดีติดตลาดอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องคนงานจะเป็นใครไปได้ ก็ต้องผู้อพยพและขอทานที่มาขออาศัยพักอ้างแรมชั่วคราวและถาวรนั่น คนเหล่านี้จะเป็นผู้ดูแลทุกขั้นตอนภายใต้คำแนะนำของชิงหลินผ่านตัวอักษรที่เขียนให้ เพราะถูกสามีรักห้ามไม่ให้ออกจากจวน
------------
ในขณะที่สถานศึกษามู่ชิง ชิงหลินได้รับความช่วยเหลือจาก หูเอ้าเทียน เจ้าสำนักศิลปะหลิ่งจือ ส่งศิษย์เอกที่อายุมากว่าผู้เป็นอาจารย์อย่างเจียวจ้าน มาช่วยดูแลแทนไปก่อน ซึ่งนางและสามีรักก็เห็นด้วย
การเรียนการสอนที่ผ่านมาศิษย์รุ่นแรกทั้งหนึ่งร้อยชีวิต หญิงสามสิบชายเจ็ดสิบ ล้วนตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกันมาก จนเหล่าอาจารย์ชายหญิงชื่นชมไม่ขาดปากทำนางอดปลื้มใจไม่ได้และคิดต่อในใจว่า ภายภาคหน้า หนึ่งในเด็กน้อยเหล่านั้นจะต้องได้เป็นขุนนางอย่างแน่นอน!!
------------------
วันต่อมาชิงหลินถูกปลุกโดยสามีรักตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง เตรียมความพร้อมสำหรับงานเลี้ยงที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อนางและลูกน้อยโดยเฉพาะ
"หลินหลิน พวกเราตื่นแล้ว"ฟานฟานน้อยในร่างเด็กชายวิ่งเข้ามาทันทีที่เสี่ยวอี้เปิดประตู
"ชู่ว...ฟานฟานเบาเสียงหน่อย"ชิงหลินบอกปรายตาไปทางเตียงของลูกน้อยทั้งสอง
"แอ๊ๆๆ"นั่นอย่างไรพร้อมใจกันตื่นเลย
"...เพี๊ยะ"
"โอ๊ย!...ข้าเจ็บนะ!"
"สมควรแล้ว"
"เฮ้อ...เอาอีกแล้ว"ชิงหลินส่ายหน้าระอา
"หลินหลินดูสิ เหวินเหวินแกล้งฟานฟานอีกแล้ว"เจ้าพยัคฆ์น้อยในร่างเด็กชายหน้าตาน่ารักฟ้องนางด้วยน้ำตาคลอเบ้า มือข้างหนึ่งลูบหน้าผากตนเองป้อยๆ
"ไหนเจ็บมากหรือ?จงหายๆ โอม...เพี้ยง!"ชิงหลินใช้นิ้วโป้งคลึงหน้าผากที่แดงเรื่อเพราะถูกดรรชนีพิฆาตของสามีรักเบาๆ พร้อมกับแกล้งบริกรรมคาถาเป่าลงหน้าที่หน้าผากนั้น แล้วจึงถามด้วยรอยยิ้มละไม "หายเจ็บแล้วหรือไม่?"
"อื้อ! ฟานฟานหายเจ็บแล้ว"ฟานฟานน้อยยิ้มกว้างอวดฟันขาว ส่งผลให้ใบหน้าเดิมที่น่ารักอยู่แล้ว ยิ่งน่ารักมากขึ้นไปอีก บวกกับสองแก้มยุ้ยที่แดงเรื่อทำให้นางอดใจไม่ไหว ดึงแก้มน่ารักเล่นเบาๆอย่างมันเขี้ยว โดยมีฟงฟงน้อย เป่าเปาน้อย ยืนมองอมยิ้มน้อยๆ ผิดกับเจ้าหมั่นโถว ที่ยืนหน้างอง้ำที่ถูกหัวหน้าแย่งความสนใจจากเหวินเหวินและหลินหลินไปจนหมด
"อะแฮ่ม"ชิงหลินชะงักหยุดมือที่ดึงแก้มยุ้ยนุ่มนิ่มอย่างเสียดาย ปรายตามองสามีรัก แล้วหันไปสั่งเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ยที่ยืนรั้งอยู่หน้าประตูให้นำน้ำล้างหน้าเข้ามาให้แม่ทัพหนุ่ม ตนเอง และสี่สหายน้อย ส่วนนางเดินไปดูลูกน้อยที่ตื่นแล้วส่งเสียงอ้อแอ้ทักทาย ร่างกายเล็กๆที่ถูกห่อหุ้มไว้อย่างดีขยับดุกดิก ดวงตาคู่เล็กจ้องมองสองแขนยื่นออกมาไขว่คว้าสิ่งที่เคลื่อนไหวตรงหน้าด้วยความสนใจใคร่รู้
ลูกจ๋า....ทำไมเจ้าถึงน่ารักน่าชังอย่างนี้นะ....ชิงหลินกรีดร้องในใจ
มู่หลิ่งเหวินอมยิ้มยืนมองภรรยารักอุ้มทารกน้อยด้วยสายตาเปี่ยมสุข ในอกมีคำว่าครอบครัวลอยอบอวลออกมาโดยรอบ พลอยทำให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วย ปล่อยให้สองสาวใช้รับมือกับสี่แสบในร่างเด็กน้อยอยู่หลังฉากกั้นไป
ยามเซินเวลางานเลี้ยงมาถึง แม่ทัพหนุ่มพร้อมภรรยารักและลูกน้อย ก็ได้เวลาทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีออกมาต้อนรับแขกเหรื่อที่ด้านหน้าจวน
วันนี้มีแขกเหรื่อมากมาย หลายชนชั้น มีทั้งขุนนาง พ่อค้า ชาวบ้านไร้ยศไร้ตำแหน่ง และที่ขาดไม่ได้คือเหล่าผู้อพยพและขอทานน้อยที่มามากกว่าพันคน ทำให้โต๊ะที่จัดเรียงข้างกำแพงด้านหน้าจวนแม่ทัพไร้พ่ายลากยาวไปจนสุดกำแพงสูงของจวนเสนาบดีมู่ผู้เป็นบิดา และโต๊ะที่จัดไว้ด้านในจวนทั้งสอง เต็มทุกโต๊ะอย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น นับว่าเป็นงานเลี้ยงที่แขกเหรื่อให้ความสำคัญยิ่งนัก
ส่วนเหล่าขอทานน้อยและผู้อพยพ ชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าที่เคยยุ่งเหยิงยามนี้เก็บรวบขึ้นเรียบร้อย สวมใส่อาภรณ์ใหม่เอี่ยมมองดูราวกับคุณชายคุณหนูจากตระกูลขุนนางทิ้งคราบขอทานจนหมดสิ้น
"พี่ชาย!...ธิดาสวรรค์ออกมานั่นแล้ว!"ขอทานน้อยในชุดใหม่เอี่ยมชี้นิ้วบอกพี่ชายที่นั่งโต๊ะเดียวกัน เสียงที่ตื่นเต้นของเด็กน้อย ทำให้คนอื่นๆที่ได้ยินละมือจากอาหารเลิศรสตรงหน้า พากันเดินเข้าไปหานางด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเต็มที่
แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวธิดาสวรรค์อย่างที่ใจต้องการ...
"องค์รัชทายาทเสด็จ พระชายาหลิวเสด็จ!!"
การปรากฏตัวไม่คาดฝันของฉีเฟยหลงและหลิวซูเหม่ย สร้างความตื่นตระหนกแก่แขกเหรื่อและเจ้าของงานยิ่งนัก รีบถวายความเคารพทันที มีเพียงแม่ทัพหนุ่มที่ยังรักษาความนิ่งไว้ได้
"ถวายพระพรองค์รัชทายาท ถวายพระพรพระชายา!!"
"ลุกขึ้นได้!!"ฉีเฟยหลงกล่าวด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ พร้อมกับผายมืออนุญาต กระแอมครั้งหนึ่ง "ชิงหลินรับราชโองการ!!"เสียงขององค์รัชทายาททำให้ผู้คนที่ที่พึ่งลุกขึ้นต้องคุกเข่าลงอีกครั้ง
ชิงหงินสะดุ้งตกใจ หันไปมองสามีรักที่ยืนข้างกาย เห็นเขาพยักหน้าและคุกเข่านำภรรยารัก นางจึงคุกเข่าเพื่อรับราชโองการด้วยใจที่สับสน ราชโองการอะไรอีกละเนี่ย....
"ชิงหลินสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง หาแหล่งน้ำให้ชาวบ้านผู้ประสบภัย ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีจิตใจงดงาม ไร้ซึ่งความโลภ เราในนามฮ่องเต้ ขอมอบบรรดาศักดิ์ฮูหยินขั้นหนึ่ง พร้อมมอบชุดผ้าแพรปักลายหงส์เมฆา เป็นสิ่งตอบแทน"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาทจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี"ชิงหลินรับม้วนราชโองการมาถือไว้ด้วยมือที่สั่นเทาและชื้นเหงื่อ
ฮูหยินขั้นหนึ่ง? อะไรคือฮูหยินขั้นหนึ่ง?....มีอำนาจมากขนาดไหนกันนะ? แต่ดูแล้วคงต่ำกว่า ตำแหน่งองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์? เฮ้อ....ฝ่าบาทนะฝ่าบาท ท่านว่างนักหรือไง? ช่างสรรหาเรื่องมาให้ข้าปวดหัวเสียจริง!!