"หลินหลิน เอาไงต่อ ฆ่าทิ้งเลยดีไหม?"ฟานฟานน้อยร้องถามนาง
"ไม่! มันง่ายเกินไป ข้าจะให้มันตาย ด้วยตัวมันเอง!" ตอบเสียงเข้มทางจิต พลางสาวเท้าเข้าไปหาสี่สหายน้อยร่างใหญ่ยักษ์ ที่กำลังใช้อุ้งเท้าเขี่ยขุนนางชั่วเล่น ไปทางโน้นทีมาทางนี้ทีราวกับลูกบอล ไม่ใส่ใจกับเสียงร้องหวาดกลัวเจ็บปวดของลูกบอลมนุษย์แต่อย่างใด
ในตอนแรกชิงหลินคิดจะสั่งสอนชายผู้นี้แค่พอหอมปากหอมคอ ไม่ได้คิดถึงขั้นจะฆ่าแกงให้อาสัญ แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ความเมตตาที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงไม่คิดจะให้อภัยง่ายๆ
สี่สหายน้อยหยุดเขี่ยลูกบอลมนุษย์ หันมาให้ความสนใจหลินหลินของพวกมันแทน ทำให้หานหนิงเฉิงที่ยังมึนงงเพราะต้องกลิ้งไปกลิ้งมา จากการกระทำของเจ้าสัตว์ปีศาจทั้งสี่ ได้พักหายใจหายคอ หันซ้ายหันขวามองรอบๆอย่างหวาดระแวง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้าหลุดลุ่ยจนดูไม่ได้ราวขอทานไม่ผิดเพี้ยน ใบหน้าอวบอูมที่แลดูใจดีซีดเป็นไก่ต้ม และยิ่งซีดหนักเข้าไปอีกเมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับร่างเล็กบอบบางของนังเด็กสารเลวตายยาก ที่มันเกลียดชังยิ่งกว่าสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น
"จะจะจะ..เจ้า! นางสารเลว! ข้าจะฆ่าเจ้า!ข้าจะฆ่าเจ้า!"หานหนิงเฉิง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลุกขึ้นไปหักคออีกฝ่าย แต่เพราะร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก ซ้ำยังถูกเจ้าสัตว์ปีศาจล้อมไว้อีก จึงไม่อาจทำอย่างที่ใจคิด ดังนั้นมันจึงใช้วาจาเป็นอาวุธทิ่มแทงอีกฝ่ายแทน
"....."ชิงหลินกอดอกเชิดหน้าขึ้น พร้อมกับปรายตามองอย่างดูแคลนระคนสมเพช ไม่สนใจคำด่าทอขู่อาฆาตของอีกฝ่าย อา..แต่เป็นครั้งแรกแฮะที่ถูกด่าอย่างนี้ อืม..ด่ากลับไงดีหว่า?...
"ฮึ่ม! นางสารเลว อย่าให้ข้ารอดไปได้เชียว ข้าจะเอาคืนให้สาสม!"เมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของนางทำให้หานหนิงเฉิงโกรธแค้นยิ่งนัก ใบหน้าอวบอูมแดงก่ำจนเห็นเส้นเลือดบริเวณขมับปูดโปน ดวงตาเรียวจ้องมองนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"หุบปากเน่าๆของเจ้าซะ! ขุนนางชั่วเช่นเจ้า ยังหวังจะรอดไปได้อีกรึ!?"หนึ่งในสามองครักษ์สกุลมู่ทนไม่ไหวตวาดกลับเสียงดังพร้อมกับชักดาบออกมา
"เจ้าถอยไป..ปล่อยให้นางจัดการ"แม่ทัพหนุ่มปรามองครักษ์พาร่างสูงใหญ่สง่างามมายืนเคียงข้างภรรยา องครักษ์ผู้นั้นจึงเก็บดาบ โค้งคำนับแล้วถอยไปยืนรวมกับกลุ่มองครักษ์ด้วยกัน
"หลินเอ๋อร์ ขุนนางชั่วช้าไร้คุณธรรมเช่นนี้ อยู่ไปรังแต่จะเป็นภัยแก่บ้านเมืองนะ"เตือนสติหวังให้นางคิดอ่านอย่างรอบคอบ
"หลินเอ๋อร์ทราบแล้ว"ตอบสามีแล้วจึงหันกลับมามองร่างอ้วนๆของขุนนางชั่วที่นั่งคุกเข่าห่างไปเพียงสิบก้าวพลางกล่าว
"ตาแก่ตัณหากลับ ใจคอโหดเหี้ยม ใช้อำนาจในทางที่ผิดเข่นฆ่าผู้อื่น แม้แต่ลูกตัวเองยังไม่ละเว้นเช่นท่าน ต้องให้ตายอย่างทรมานจึงจะสาสมกับความเลวที่ทำไว้"
"ฮ่าๆๆ...น้ำหน้าอย่างเจ้า จะทำอันใดข้าได้ ข้าเป็นถึงเสนาบดี ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักเชียวนะ! หากข้าเป็นอันใดไป เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆรึ?"
"...คิกๆ..อย่าห่วงเลย ข้ารึจะกล้าฆ่าขุนนางผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านได้ ข้าก็แค่อยากให้ท่าน เล่นอะไรนิดๆหน่อยๆเท่านั้น...."พูดจบก็เงยหน้าขึ้นส่งสัญญาณบอกเจ้าฟานฟานน้อย
"จะจะเจ้า..เจ้าคิดจะทำอันใดข้า? เหวอออ....ปละปละปล่อยข้าลงนะ ไอ้สัตว์ปีศาจ ปล่อยข้าลง ข้าบอกให้ปล่อยข้าลง ปล่อยข้า"
แม่ทัพหนุ่มมองดูพยัคฆ์ขาวร่างใหญ่ยักษ์คาบกลางลำตัวขุนนางชั่วไว้ในปาก จนเหลือเพียงส่วนศีรษะและปลายเท้าที่โผล่พ้นมุมปากทั้งสองข้างด้วยความประหลาดใจไม่เข้าใจว่านางกำลังจะทำสิ่งใด "หลินเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่?"เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
"ข้าอยากแสดงอภินิหารอะไรสักหน่อยเท่านั้น เดี๋ยวพี่เหวินช่วยสกัดจุดการเคลื่อนไหวและการพูดของตาแก่ตัณหากลับนั่นให้หน่อยนะเจ้าคะ"
"หือ?..ได้สิ??"คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเดินเคียงคู่นางกลับไปที่รถม้าซึ่งนางสั่งให้นำมาในครั้งนี้ด้วย
"เรียนฮูหยินน้อย แล้วคนร้ายทั้งสองร้อยยี่สิบคนเล่า จะทำเช่นไร? ส่งตัวให้ทางการดีหรือไม่?"หนึ่งในองครักษ์เอ่ยถาม ภายหลังยัดร่างขุนนางชั่วเข้าไปในรถม้าแล้ว
"ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ อีกหนึ่งชั่วยามพิษงูก็จะหมดฤทธิ์แล้ว ปล่อยให้มดแมลงกัดซะบ้าง จะได้เข็ดหลาบ เลิกทำงานให้คนชั่วเสียที"ใช้ปราณเสียงช่วยพูด ทำให้เหล่านักฆ่าได้ยินอย่างชัดเจน และเสียวสะท้านไปทั้งร่าง น่ากลัว...ช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวยิ่งนัก...นั่นคือสิ่งที่พวกมันคิด
"พี่ม้า ช่วยวิ่งไปที่ลานประหารจะได้หรือไม่?"มือเรียวลูบแผงคอม้าหนุ่มสีน้ำตาลเข้มพร้อมเอ่ยขอร้องมันทางจิต
"ได้สิ แค่วิ่งไปที่นั่นใช่หรือไม่?"ม้าหนุ่มร้องตอบพร้อมกับผงกหัวหงึกๆ
"ใช่ แค่ไปที่นั่นก็พอ ขอบคุณมากนะ"จุมพิตกลางหน้าผากมันอย่างขอบคุณ ทำเอาม้าหนุ่มชอบใจเลียหน้านางตอบแทนอย่างเอาใจ
"พอๆ เจ้าทำหน้าข้าเปื้อนหมดแล้ว"มุมปากแม่ทัพหนุ่มกระตุกที่เห็นเจ้าม้าหนุ่มทำชีกอใส่ภรรยาของตน
ยังดีที่สี่สหายน้อยหดตัวจนเล็กเท่าเดิม และเข้าไปอยู่ในรถม้าตามคำสั่งของหลินหลินแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าม้าหนุ่มอาจโดนสี่สหายน้อยจับกินเป็นแน่แท้
"หลินเอ๋อร์! รีบออกเดินทางเถิด ฟ้าใกล้มืดแล้ว"แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงห้วนจัดบ่งบอกอารมณ์ของผู้พูดได้เป็นอย่างดี ว่ากำลังหงุดหงิดอย่างแรง
"ไปเถิด"มือเรียวตบลำตัวม้าหนุ่มเบาๆ ม้าหนุ่มก็ออกวิ่งไปยังจุดหมายทันที
"รถม้าที่ไร้คนขับจะมิเป็นไรจริงหรือขอรับ?"หนึ่งในองครักษ์ถาม
"อืม..ไม่เป็นไรหรอก พี่เหวินเราก็ไปลานประหารกันเถิดเจ้าค่ะ"
"อืม.."แม่ทัพหนุ่มอุ้มส่งนางขึ้นม้าเสร็จแล้วจึงกระโดดขึ้นม้าอีกตัว ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปลานประหาร พร้อมกับความสงสัยเต็มเปี่ยม
"..."ก่อนจะออกเดินทาง แม่ทัพหนุ่มสังเกตเห็นนางชะโงกหน้าเข้าไปในรถม้า ไม่รู้สั่งการอันใด นานราวครึ่งเค่อ ในรถม้ายามนั้นมีสี่สหายน้อยกับเจ้าขุนนางชั่วที่ถูกตนสกัดจุดไว้และมันยังถูกมัดมือมัดเท้าอีกด้วย
---------
ลานประหารใจกลางเมืองหลวง
ชาวบ้านร้านตลาดให้ความสนใจรถม้าที่ไร้คนขับยิ่งนัก พากันเดินตามรถม้าที่วิ่งเหยาะๆและส่งเสียงร้องตลอดทางที่มันวิ่งผ่าน บางรายก็วิ่งไปบอกคนในร้านให้รู้ แล้วเพียงไม่นานลานประหารก็คลาคล่ำเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
ฝ่ายกลุ่มแม่ทัพหนุ่มได้มาถึงก่อนหน้าสักพักหนึ่งแล้ว และกำลังยืนรอดูละครฉากสำคัญอยู่
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ตูมมมม
"ว๊ายยยย!"
"ไอหยา!"
"โอ้วววว... สวรรค์"
"ว้าว..ท่านพ่อ นั่นตัวอะไร? ใหญ่โตเหลือเกิน"เด็กน้อยคนหนึ่งร้องถามเสียงดัง พลางชี้ไม้ชี้มือไปที่พยัคฆ์ขาวร่างใหญ่ยักษ์ ที่ทำตัวรถม้าปริแตก ระเบิดออก พัดเอาเศษไม้กระจัดกระจายปลิวว่อนรอบทิศทาง เล่นเอาผู้คนตื่นตระหนกหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่นแทบเหยียบกันตาย
"เอ๊ะ..แล้วนั่นคนไม่ใช่หรือขอรับ?"เด็กน้อยคนเดิมยังคงถามต่อ ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นจึงไม่รับรู้เลยว่าผู้เป็นบิดาหวาดกลัวจนทรุดลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อยนับแต่พยัคฆ์ขาวปรากฏตัว
เสียงที่ค่อนข้างดังของเด็กน้อยวัยราวห้าขวบ เรียกสติที่เตลิดเปิดเปิงของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ให้กลับมาอีกครั้ง
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังหน้าลานประหาร ภาพเบื้องหน้าทำเอาผู้สอดรู้สอดเห็นตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อเห็นพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่งับร่างมนุษย์แล้วโยนขึ้นไปบนแท่นประหารเสียงดังตุบ!
เมื่อเพ่งพิจารณาดูดีๆแล้ว ร่างที่ถูกโยนราวกับเป็นเศษเนื้อไร้ค่านั้น ช่างคุ้นตาเหลือเกิน
"ไอหยา..นั่นมันเสนาบดีหาน! หานหนิงเฉิง!"เสียงชายคนหนึ่งตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
"หือ?....อา.. เสนาบดีหานจริงๆด้วย เหตุใดจึงถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนั้นเล่า?"
"นั่นสิ..แล้วพยัคฆ์ขาวที่น่าเกรงขามนั่นมาจากที่ใด? เกี่ยวข้องอันใดกับชายผู้นั้น?"
"...."หานหนิงเฉิงทั้งโกรธแค้นทั้งอับอายที่กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ ดวงตาที่จ้องมองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
หนึ่งในองครักษ์ของแม่ทัพหนุ่ม เหาะไปบนแท่นประหาร จับอีกฝ่ายนั่งแล้วคลายจุดให้ขุนนางชั่วตามคำสั่งของฮูหยินน้อย
"นางสารเลว! ข้า..."เมื่อปาก และร่างกายขยับได้หานหนิงเฉิงก็พ่นคำหยาบออกมาทันที
"โฮกกก"
"เหวอออ"เพียงแค่เริ่มพูด ก็ถูกพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่ยักษ์คำรามใส่เสียจนเกือบปัสสาวะราดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า มันพยายามคิดหาทางออกทุกวิถีทาง ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากผู้คนรอบข้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเย็นชาและเย้ยหยัน ราวกับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน เจ้าพวกคนสารเลว!หากข้ารอดไปได้ ข้าจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด!
"พี่น้องทุกคน นี่คือ เสนาบดีหานหนิงเฉิง ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก ที่มากด้วยบารมีและอำนาจ แต่กลับนำมาใช้ในทางที่ผิด เข่นฆ่าผู้คนเป็นผักปลา จนสัตว์เทพยังไม่อาจให้อภัยได้ ต้องลงมาจัดการด้วยตนเอง"องครักษ์ของแม่ทัพหนุ่มประกาศเสียงดังพร้อมกับโค้งคำนับให้พยัคฆ์ขาวอย่างให้เกียรติ
"โฮกกกก โฮกกกกก"ฟานฟานน้อยแม้จะไม่เข้าใจที่องครักษ์ผู้นี้กล่าว แต่มันจดจำสัญญาณที่หลินหลินบอกได้ มันจึงร้องออกมาสองครั้งพร้อมกับผงกหัวให้เชิงรับรู้
"คิกๆ"ชิงหลินอดขำไม่ได้จึงหลุดหัวเราะออกมา กับละครที่หนึ่งคนกับหนึ่งพยัคฆ์เล่นเข้าขากันเสียจนอยากมอบโล่นักแสดงดีเด่นให้
"หากไม่อยากถูกขย้ำจมเขี้ยว ก็จงสารภาพความผิดออกมาให้หมด!!"องครักษ์ก้มลงกระซิบขู่ขุนนางชั่วเสียงเข้มต่ำ
"...ฮึ่ม..เจ้าพวกสารเลว..อย่าให้ข้ารอดไปได้เชียว..ฮึ่ม.."องครักษ์ยิ้มเยาะมุมปาก ยืดตัวเต็มความสูง เดินลงจากแท่นประหารด้วยท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย ปล่อยให้ หานหนิงเฉิงตกเป็นเป้าสายตา เผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง
"โฮกกกก"
"เหวอออ ได้ได้ ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูดแล้ว!!" หานหนิงเฉิงละล่ำละลักตอบกลับเสียงสั่น ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้ว เพราะบาดเจ็บจากการเล่นสนุกของสี่สหายน้อย บัดนี้ซีดเผือดหนักกว่าเดิมหลายเท่านัก
"ขะขะข้า หานหนิงเฉิง ชะใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ข่มเหงรังแกผู้อื่น ขะข้าสมควรถูกลงโทษ สะสมควรถูกผู้คนประณาม....เอ่อ..." หานหนิงเฉิงเหลือกตามองพยัคฆ์ขาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง จึงได้เห็นมันแยกเขี้ยวใส่น้ำลายไหลยืด ราวกับกำลังหิวโหย พอกระถดกายถอยหนีห่างก็ถูกอุ้งเท้ามหึมากดไหล่จนศีรษะคะมำไปข้างหน้าจนกระดูกสันหลังลั่นดังกร๊อบ
"อ๊ากกกก"หานหนิงเฉิงเจ็บจนเผลอร้องออกมาเสียงดัง
ชาวเมืองฉีที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวง ที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ ซุบซิบนินทา ด่าทอสาปแช่งและสมน้ำหน้า ไม่มีใครเห็นใจขุนนางใหญ่ที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกชาวบ้านผู้นี้
"ขะขะข้า คะคะเคยส่งนักฆ่า ปะไป ...เอ่อ..."หานหนิงเฉิงอึกอักไม่อยากพูดต่อ แต่พอเห็นอุ้งเท้าอันใหญ่โตยกขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะ
"ขะข้าเคยส่งนักฆ่า ไปจับตัวและลอบสังหารบุตรสาวของคหบดีชิง หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว จึงได้ว่าจ้างยอดฝีมือ จับตัวคหบดีชิงและฮูหยิน หวังจะให้ตายตกไปพร้อมกันทั้งครอบครัว โอ๊ย!...ใคร!!...ใครบังอาจปาหินใส่ข้า!!...ฮึ่ม!...เจ้าพวกคนชั้นต่ำ! กล้าทำร้ายขุนนางใหญ่เชียวรึ!"
"ขุนนางชั่วอย่างเจ้าสมควรตาย"
"ใช่ๆสมควรตาย"
"ท่านสัตว์เทพผู้ยิ่งใหญ่ ลงทัณฑ์มันเลย!"
"ใช่ๆลงทัณฑ์มันเลย!"
"ลงทัณฑ์ ลงทัณฑ์ ลงทัณฑ์"ชาวเมืองร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน ยกมือขึ้นลงไปด้วย คราที่ตะโกนคำว่า ลงทัณฑ์
"นี่คือ สิ่งที่เจ้าต้องการหรือ? ให้ขุนนางชั่วสารภาพความผิดท่ามกลางฝูงชนนับพัน โดยใช้ลูกเล่นจากความเชื่อของชาวเมือง ทำให้ดูน่าเชื่อถือ"แม่ทัพหนุ่มกอดอกกล่าวยิ้มๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองนางอย่างรักใคร่ หลินเอ๋อร์ของข้าช่างเฉลียวฉลาดนัก เพียงเท่านี้...ขุนนางชั่วก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจได้อีก ซ้ำยังอาจถูกจับตัวไปสอบสวนเพื่อเค้นหาความจริง จบสิ้นกันเสียที หานหนิงเฉิง!
"แล้วพี่เหวินชอบหรือไม่?"ชิงหลินคิดว่า การให้ตาแก่ตัณหากลับประจานตนเองต่อหน้าสาธารณะชน ก็เป็นการแก้แค้นที่สะใจใช้ได้ แต่อย่าหวังว่ามันจะจบเพียงเท่านี้ นางยังมีแผนเล่นงานตาแก่ตัณหากลับคนนี้อีก ให้มันอับอายอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วค่อยเริ่มแผนสอง!
"ชอบสิ ชอบมาก จนอยากตบรางวัลให้เสียเดี๋ยวนี้"แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าลงกระซิบข้างใบหูเล็กน่ารักของนางเป่าลมใส่เบาๆ ก่อนจะยิ้มพอใจ เมื่อเห็นร่างเล็กบอบบางมีอาการสะดุ้งย่นคอหนี ใบหูและลำคอแดงระเรื่อ
"อุ๊ย..ท่านแกล้งข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ"ต่อว่าพร้อมกับส่งสายตาดุให้อย่างไม่จริงจังนัก
"...หลินหลิน พวกเรามาแล้วเจ้าค่ะ"การหยอกเย้าของคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันชะงัก กับเสียงร้องขัดพร้อมกับร่างเล็กสีขาวน่ารักที่กำลังเอาหัวและตัวถูไถกระโปรงนางด้านหลังมีหนึ่งพยัคฆ์น้อยกับหนึ่งจิ้งจอกน้อยแหงนมองอยู่
"ลำบากพวกเจ้าแล้ว บาดเจ็บตรงไหนรึไม่?"ชิงหลินนั่งยองถามน้ำเสียงห่วงใย
สามสหายน้อยส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียง กิริยาของพวกมันน่ารักเสียจนชิงหลินอดลูบหัวของพวกมันไม่ได้ด้วยความเอ็นดู
"....."ผู้อยู่ในเหตุการณ์สองคน ที่ยืนห่างไปสองสามก้าวจากกลุ่มแม่ทัพหนุ่ม พากันมองด้วยความประหลาดใจ ต่อมาก็พากันยิ้มให้กับภาพความน่ารักน่าเอ็นดูของหญิงสาวกับลูกพยัคฆ์ขาวและสองจิ้งจอกน้อย
"อา..นั่นท่านแม่ทัพมู่ และนั่นก็..ฮูหยินท่านแม่ทัพมิใช่รึ?"
"หือ?...อา..ใช่จริงๆ..นั่นคือ..ท่านแม่ทัพมู่และฮูหยิน"
"เหตุใดทั้งสองจึงมาอยู่ที่นี่ได้?"ชายทั้งสองใช้มือป้องปากตะโกนคุยกันแข่งกับเสียงตะโกน ลงทัณฑ์ ลงทัณฑ์ ไม่หยุด
"หรือว่า..ทั้งหมดนี้ จะเป็นฝีมือของฮูหยินท่านแม่ทัพ?"
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
"เจ้าโง่! เจ้าไม่เห็นรึ ลูกพยัคฆ์ขาวตัวเท่าลูกแมว กับท่านสัตว์เทพที่อยู่บนแท่นประหารนั่น หากขนาดตัวเท่ากันล่ะก็...คงคล้ายกันราวกับฝาแฝดเป็นแน่!"
"...โอ...จริงของเจ้า..แล้วอย่างไร?"
"หากข้าเดาไม่ผิด สัตว์เทพตนนั้นก็คงเป็นพวกเดียวกับนางเป็นแน่!"
"ฮ่าๆๆเหลวไหล! ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามนุษย์สามารถบังคับหรือทำให้สัตว์เทพเชื่อฟังคำสั่งได้ มีเพียงราชามังกรฟ้าเท่านั้นที่ทำได้"
"ที่เจ้าพูดมันก็ถูก...ข้าคงจะคิดมาก...."ไปเอง คำว่า ไปเอง ของชายหนุ่มถูกกลืนลงท้องไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเสียงตะโกน ลงทัณฑ์ ลงทัณฑ์ ที่ดังก้องจนหูอื้อ เงียบลงแบบกะทันหัน กำปั้นที่ชูขึ้นยกลงค้างเติ่งอยู่กับที่ สายตาจับจ้องดูร่างเล็กจ้อยของพยัคฆ์ขาวที่กระโดดลงจากแท่นประหารวิ่งตรงไปยังหญิงสาว ผู้มีใบหน้างดงามจิ้มลิ้มข้างกายมีบุรุษรูปงามราวกับเทพเซียน ยืนกอดอกยิ้มบางๆให้หญิงสาวที่แสนโชคดีผู้นั้น
อา...นี่มันเกิดอันใดขึ้น? เหตุใดสัตว์เทพตัวใหญ่ยักษ์ มีพลังดุจช้างสาร ท่าทางสง่างามและน่าเกรงขามตนนั้น จึงกลายสภาพเป็นลูกพยัคฆ์น้อยน่ารัก ตัวเท่าลูกแมวไปได้! อา...สวรรค์..ท่านกำลังเล่นตลกอันใดอยู่กันแน่?
"อ้าว...ละครยังไม่จบเลย เหตุใดจึงรีบกลับมาเล่า?"ชิงหลินนั่งคุกเข่าตรงหน้าฟานฟานน้อย ที่หดร่างวิ่งแจ้นกลับมาหา
"ฟานฟานเบื่อแล้ว ไม่อยากเล่นแล้ว"ฟานฟานน้อยทำเสียงเบื่อหน่าย พร้อมกับก้าวขึ้นไปนั่งบนท่อนขานุ่มนิ่มของนาง
"เจ้าตัวดี ทำแผนข้าเสียหมด"แกล้งดุเจ้าพยัคฆ์น้อย ยีหัวกลมๆเล็กๆจนมันมึนงง เป็นการลงโทษลอบถอนใจ รู้งี้ให้ฟงฟงทำเสียก็ดี
"มีอันใดผิดพลาดหรือ?"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามเพราะไม่รู้ถึงแผนการของนาง แต่เห็นลอบถอนใจจึงเดาว่าน่าจะเกิดการผิดพลาดอะไรสักอย่างเป็นแน่
"..พี่เหวิน..คงต้องรบกวนให้ท่าน แสดงความใจกว้างและมีคุณธรรม หน่อยแล้วเจ้าค่ะ"ถ้อยคำเรียบรื่นกับรอยยิ้มอ่อนหวานทำให้ใจแม่ทัพหนุ่มอ่อนยวบมองตามสายตาของนาง จึงได้เข้าใจความหมายของถ้อยคำนั้น
"ได้"พูดจบก็หมุนกายสูงสง่าองอาจ ก้าวไปที่แท่นประหารอย่างห้าวหาญ
"ข้า มู่หลิ่งเหวิน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉี ขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่า ความผิดที่เสนาบดีหานหนิงเฉิง ได้สารภาพออกมาทั้งหมดในวันนี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี หรือ ข่มขู่ใดๆทั้งสิ้น แต่ฮูหยินของข้า ให้อภัย ไม่คิดติดใจเอาความ และขอให้เลิกแล้วต่อกันไปเสีย ซึ่งข้าเห็นด้วยกับความคิดของนาง"แม่ทัพหนุ่มประกาศออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะหันไปทางขุนนางชั่ว ตวัดดาบสองครั้ง เชือกเส้นโตที่ผูกมัดก็ขาดสะบั้น
"....แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ กับการกระทำในวันนี้!!"หานหนิงเฉิงกัดฟันกรอด เงยหน้าจ้องมองแม่ทัพหนุ่มอย่างอาฆาตแค้น ดวงตาทั้งสองแดงก่ำคล้ายภูตผีอาฆาตก็ไม่ปาน
"หึๆทำได้ก็ลองดู"แม่ทัพหนุ่มก้มตัวลงมาจนใบหน้าเสมออีกฝ่ายกล่าวท้าทาย แล้วหมุนตัวลงจากแท่นประหาร ตรงดิ่งไปหาภรรยาที่อุ้มเจ้ามารน้อยส่งยิ้มหวานมาให้ ปล่อยให้ขุนนางชั่วหาทางกลับเอาเอง
"กลับเถิด เรายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีก"จูงมือข้างหนึ่งของนาง ก้าวเดินนำหน้าอย่างมั่นคง ด้านหลังคือสามองครักษ์สกุลมู่ที่อุ้มฟงฟง เป่าเปา และ หมั่นโถว ปิดท้ายขบวนคือ เจ้าม้าหนุ่มสีน้ำตาล
ชาวเมืองต่างพากันเปิดทางให้ ทุกสายตาล้วนชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธา ในความใจกว้างและมีคุณธรรมของท่านแม่ทัพและฮูหยินจนเป็นที่โจษจันไปทั่วในเวลาต่อมา
"ถอยไป! มามุงดูอะไรกัน!"เสียงตวาดกร้าวดุดันของทหารในเครื่องแบบเต็มยศหลายสิบนายกรูกันเข้ามาในลานประหาร เป็นเหตุให้ฝูงชนแตกฮือรีบหลบทางให้
"ท่านเสนาบดี ขออภัยที่พวกข้ามาช้า"นายทหารที่นำทหารมาโค้งคำนับให้ พร้อมกับช่วยพยุงร่างอ้วนท้วมขึ้นมา
เพี๊ยะ!"เจ้าโง่!ๆๆๆ"หานหนิงเฉิงระบายความโกรธแค้น ฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของทหารหนุ่มที่เข้ามาช่วยพยุงสุดแรงเกิด พร้อมทั้งพ่นคำหยาบออกมาไม่หยุด จนทหารนายนั้นเลือดกบปาก ใบหน้าบวมฉึ่ง ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ สองมือที่แนบลำตัวกำแน่นจนเห็นกระดูกปูดโปน ยืนนิ่งกัดฟันทนให้มันตบ ไม่อาจตอบโต้ได้ด้วยเป็นเพียงทหารชั้นเลวตำแหน่งต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
"ฮึ่ม! เจ้าขุนนางชั่ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าขอสู้ตาย ย๊ากกก"หนึ่งในทหารที่ทนดูหัวหน้าถูกซ้อมไม่ไหว ชักดาบวิ่งเข้าใส่ด้วยความกราดเกรี้ยว แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อท้องฟ้าเหนือศีรษะมืดลง คล้ายมีเมฆก้อนมหึมาเข้ามาบดบังแสงสว่างกะทันหัน ผิดกับท้องฟ้านอกเขตแท่นประหารที่ยังคงสว่างเพราะยังเป็นยามกลางวัน
เกิดอะไรขึ้น? อดไม่ได้ที่จะเงยขึ้นหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องประหลาด เช่นเดียวกับทหารหนุ่มคนอื่นๆและชาวเมืองที่ชอบสอดรู้สอดเห็นนับร้อย
"..อา..สวรรค์..นั่นมัน...นก!"เสียงทหารนายหนึ่งดังขึ้น พลางถอยออกให้พ้นรัศมีของฝูงนกที่บินวนเหนือศีรษะของขุนนางใหญ่
"....."หานหนิงเฉิงผลักนายทหารหนุ่มให้พ้นตัว พลางเงยหน้าขึ้นฟ้า หรี่ตามองอย่างสงสัย
ฟิ้ว....แปะ...ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มูลนกสดใหม่จำนวนมากดั่งสายฝน ร่วงลงมาใส่ร่างของขุนนางใหญ่ ไม่ว่าร่างอ้วนท้วมจะวิ่งไปทิศทางใดก็หาพ้นจากทุ่นระเบิดมูลนกได้ไม่ สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ที่อยู่ดูเหตุการณ์ยิ่งนัก และต่อมาความตื่นตะลึงกลายเป็นความสนุกสนาน ตลกขบขับ เมื่อร่างอ้วนท้วมของขุนนางชั่วเต็มไปด้วยมูลนก ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ เหม็นจนต้องเบือนหน้าหนี กลั้นลมหายใจแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว
เมื่อการทิ้งระเบิดมูลจบลง เรื่องก็น่าจะยุติ แต่ทว่าสิ่งที่น่าสยดสยองชวนให้นอนฝันร้ายไปหลายคืนก็เกิดขึ้น!
เมื่อบรรดาฝูงนกนับพัน กลับพุ่งตรงเข้าทำร้ายขุนนางใหญ่ รุมทึ้งจิกตีร่างอ้วนท้วมอย่างโหดเหี้ยม เลือดสาดกระจายไปทั่ว ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส สองมือปัดป้องไปมาไหวๆ แต่สองมือมีหรือจะสู้ฝูงนกนับพันได้ เพียงไม่นานร่างอ้วนท้วมก็ล้มลงไปกองกับพื้นดิ้นพราดๆราวกับปลาที่ถูกโยนขึ้นบนบก เสียงร้องโหยหวนเริ่มขาดช่วง ร่างที่ดิ้นไปมาก็แน่นิ่งและเงียบลงในที่สุด
"....."หานหนิงหลงและทหารชุดใหม่มาถึงยามที่ฝูงนกนับพันบินขึ้นสู่ท้องไปแล้ว เขาได้รับแจ้งว่าเกิดเรื่องกับบิดาจึงได้รีบรุดมาดู
"ท่านพ่อ!ท่านพ่อ!ท่านพ่อ!"หานหนิงหลงรีบเข้าไปประคองร่างโชกเลือดของบิดา เอ่ยเรียกอย่างเป็นห่วง ดูจากบาดแผลภายนอกแล้วค่อนข้างสาหัสนัก โดยเฉพาะดวงตาและส่วนนั้น...ยามพูดว่าส่วนนั้น สายตาของหานหนิงหลง ก้มมองไปยังจุดที่แสดงความเป็นชาย ที่เผยให้เห็นเพราะอาภรณ์โดยรอบฉีกขาดเป็นวงกว้าง
หานหนิงหลง รีบถอดเสื้อคลุมตัวยาวของตนคลุมร่างของบิดา หลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนรอบข้าง ก่อนจะสั่งให้ทหารช่วยกันนำร่างหมดสติของบิดากลับจวนเสนาบดีหาน เพื่อทำการรักษาต่อไป