ยามโฉ่วเรือนพักรับรองในลานฝึกทหารจวนแม่ทัพไร้พ่าย
"เรียนท่านแม่ทัพ รองแม่ทัพมู่กลับมาแล้วขอรับ"กองกำลังปีศาจมู่นายหนึ่งเดินเข้ามารายงาน
"อืม..ให้มู่หลงเข้ามาพบข้า"มู่หลิ่งเหวินหมุนตัวกลับไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยยากจะคาดเดาถึงสิ่งที่กำลังคิดอยู่
"ท่านแม่ทัพ"จางมู่หลงประสานมือคำนับทันทีที่เข้ามาใกล้ ด้านหลังเป็นกองกำลังปีศาจมู่ พร้อมด้วยครอบครัวคนแซ่ ชง อีกเจ็ดชีวิต
"ลุกขึ้น..."พยักหน้าให้กองกำลังปีศาจมู่ทั้งยี่สิบ พริบตากองกำลังปีศาจมู่ก็หายไปจากตรงนั้นทันทียามนี้จึงเหลือเพียงจางมู่หลงและครอบครัวคนแซ่ ชง
"ชงซื่อ.."
"ขอรับท่านแม่ทัพ"
"พาบิดามารดาของเจ้าไปพักก่อน"
"ขอบคุณท่านแม่ทัพ"ชงซื่อเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณแทนทุกคน แล้วช่วยกันประคองบิดามารดาที่บาดเจ็บเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกและคราบเลือด แม้จะไม่เห็นถึงบาดแผลภายใต้อาภรณ์สีเทาขมุกขมัว แต่ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดทรงตัวแทบไม่อยู่ก็พอจะเดาออกว่า ช่วงเวลาหลายวันที่ถูกขัง บิดามารดาคงถูกทุบตีทรมานอย่างไร้ความปรานีเป็นแน่
"ท่านแม่ทัพ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านคาดการไว้ไม่ผิด"จางมู่หลงรายงานผลทันทีเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้แต่ไม่กล่าวสิง่ใดจึงถอยออกมายืนด้านข้าง
สองเค่อผ่านไป...มู่หลิ่งเหวินยังคงนั่งกอดอกหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตานิ่ง จางมู่หลง ได้แต่เหลือบมองท่านแม่ทัพเป็นระยะๆ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไปที่ใด ด้วยรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มกำลังรอสิ่งใดอยู่
จู่ๆแม่ทัพหนุ่มก็ลืมตาขึ้น สายตาแน่วแน่จับอยู่ตรงประตูทางเข้ายกยิ้มเมื่อเห็นร่างบุรุษชุดดำสวมหน้ากากปีศาจนายหนึ่งเดินเข้ามาเร็วๆ
"ท่านแม่ทัพ"ประสานมือคำนับอย่างเข้มแข็ง
"ว่ามา"
"ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านคาดการไว้ขอรับ"
"ข้ารู้แล้ว สั่งคนของเราจับตาดูต่อไป"
"ขอรับ!!"สิ้นคำบุรุษชุดดำสวมหน้ากากปีศาจก็หายไปจากสายตาทันที
"ผงนิทราจะหมดฤทธิ์ยามใด?"ถามจางมู่หลง
"อา..น่าจะราวยามซวีวันพรุ่ง เพราะนางถูกลักพาตัวและถูกผงนิทราราวยามนั้นขอรับ"
"ระหว่างทางก็ได้เปลี่ยนชุดและสวมหน้ากากหนังมนุษย์ให้นาง แล้วพานางไปไว้ในกระท่อม รอแลกเปลี่ยนตัว"จางมู่หลงรายงานเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ
"เหตุใดท่านจึงปล่อยมัน ไม่สังหารมันทิ้งเสียที่กลางป่านั่น?"หากเป็นตนเอง จางมู่หลงจะสังหารมันทิ้งเสีย! แต่ท่านแม่ทัพกลับปล่อยมัน เรื่องที่ให้สตรีผู้นั้นสวมหน้ากากหนังมนุษย์ยังพอเข้าใจได้ แต่เรื่องที่ปล่อยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ จางมู่หลงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จางมู่หลงจะติดใจสงสัย ด้วยแม่ทัพหนุ่มไม่ได้บอกถึงแผนการหลังจากนั้นให้จางมู่หลงฟัง
"หึๆข้าอยากเห็นมัน อยู่ไม่สู้ตาย มากว่า"จางมู่หลงถึงกับสะท้านไปทั้งร่าง อา..อยู่ไม่สู้ตาย? ท่านแม่ทัพ...ท่านทำอันใดกันอยู่กันแน่?
ยามเฉินจวนเสนาบดีหาน
หานหนิงเฉิงที่อาการเจ็บปวดทุเลาลงมากแล้วพร้อมด้วยฮูหยินใหญ่และบุตรชาย หาน หนิงหลง กำลังอยู่ที่โต๊ะอาหารส่วนภรรยารองอนุทั้งหลายไม่ได้รับอนุญาตให้มาร่วมโต๊ะอาหาร
"อันเอ๋อร์เล่า?"หานหนิงอันถามหาบุตรีคนโปรด
"ข้าให้บ่าวไปตามแล้วเจ้าค่ะ"ฮูหยินใหญ่ตอบผู้เป็นสามี
"ท่านพ่อ อาการป่วยของท่านเป็นเช่นใดบ้างขอรับ?"หานหนิงหลงเอ่ยถามบิดาด้วยความเป็นห่วง
หานหนิงหลงวัยยี่สิบ จัดว่าเป็นหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเลยทีเดียว แม้ร่างกายจะไม่สูงใหญ่บึกบึนเท่าแม่ทัพหนุ่มหรือรูปงามเท่าก็ตามที แต่ก็เป็นบัณฑิตผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดทันคนยึดมั่นในคุณธรรม ผิดว่าไปตามผิดไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ผิดกับผู้เป็นบิดายิ่งนัก
"ฮึ!..เจ้าลูกอกตัญญู รู้จักห่วงข้าด้วยรึ!?"หานหนิงเฉิงชี้นิ้วใส่บุตรชายพ่นถ้อยคำที่คนฟังปวดใจยิ่งนัก
"โธ่...ท่านพี่ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้กับหลงเอ๋อร์เล่าเจ้าคะ?"ฮูหยินใหญ่รีบกางปีกปกป้องบุตรชาย
"อย่าสอด!...ข้าอุตส่าห์ปูทางไว้ให้เสียดิบดี หวังจะให้เป็นขุนนาง เชิดหน้าชูตาให้แก่วงศ์ตระกูล แต่เจ้ากลับ...ฮึ่ย!..."
"ขออภัยที่ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง แต่ถึงอย่างไรลูกก็ยังยืนยันคำเดิม ว่าจะไม่ยอมเป็นขุนนางเด็ดขาดขอรับ!"
"เจ้า!..เจ้า!...เจ้า!..."หานหนิงเฉิงโกรธจนหน้ามืด ฉวยถ้วยชาหยกอย่างดีที่มีน้ำชาร้อนๆอยู่เต็มถ้วย ขว้างใส่บุตรชายที่นั่งอยู่ห่างสองช่วงแขนสุดแรง
ปึก! เพล้ง! ว้าย!
ปึก! คือเสียงของถ้วยชากระทบกับหน้าผากของหานหนิงหลง
เพล้ง!ต่อมาคือเสียงถ้วยชาหยก ตกกระทบพื้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ว้าย! คือ อาการตกใจจากฮูหยินใหญ่ที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์
"นายท่าน!...แย่แล้ว!...เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!"เสียงตะโกนของพ่อบ้านชราทำเอา หานหนิงเฉิง สะบัดหน้าอวบอ้วนแดงก่ำเพราะอารมณ์โกรธมาทางพ่อบ้านชราทันที
"มีเรื่องอันใด!!!?"ดวงตาจิ้งจอกแดงก่ำด้วยแรงโทสะที่ถูกกระตุ้นโดยไม่ตั้งใจของหาน หนิงหลงผู้เป็นบุตรชายสายตรง
"เอ่อ....นะนี่..นะนี่..ขอรับ"น้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างหวาดหวั่น มือที่สั่นเทาราวกับถูกผีเข้ายื่นจดหมายที่อยู่ในมือให้นายเหนือหัวอย่างยากเย็น
หานหนิงเฉิง รับจดหมายมาถือไว้ในมือ พลิกดูซองสีขาวขุ่นเพื่อหาร่องรอยของผู้ที่ส่งจดหมาย แต่กลับไร้ซึ่งที่มา สิ่งที่ทำต่อมาคือเปิดจดหมายออกอ่าน
"ฟันไม่ขาด ดาบนั้นคืนสนอง"
"...ใครเป็นผู้ส่งจดหมายนี้?"หานหนิงเฉิงเอ่ยปากถามพ่อบ้าน
"เรียนนายท่าน...จดหมายนี้อยู่บนเตียงนอนของคุณหนูขอรับ"
"เจ้าว่าอันใดนะ!? พบจดหมายปริศนานี้ อยู่บนเตียงนอนของอันเอ๋อร์รึ?"เสียงของหานหนิงเฉิงดังขึ้นจนแทบจะกลายเป็นตะโกน
"ขะขอรับ..นายท่าน"
"แล้วอันเอ๋อร์ลูกข้าอยู่ที่ใด? อยู่ในห้องใช่หรือไม่!?"หานหนิงเฉิงจับต้นแขนของพ่อบ้าน เขย่าเต็มแรงหวังจะได้ยินคำตอบดีๆจากพ่อบ้านชรา
"ระระเรียนนายท่าน...ข้าได้ให้บ่าวช่วยกันออกตามหาคุณหนูแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดพบเห็นคุณหนูเลยขอรับ"
"แล้วอันเอ๋อร์หายไปตั้งแต่เมื่อใด?!!"
"มะมะไม่ทราบแน่ชัดขอรับ..."
"ไม่ทราบรึ!! เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง! เลี้ยงเสียข้าวสุก!! ไป!สั่งบ่าวในจวนทั้งหมดออกตามหาลูกข้าให้พบ! หากลูกข้ามีแม้แต่รอยขีดข่วน ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด!!"พ่อบ้านชราพาร่างอันบอบช้ำเพราะถูกเตะถูกกระทืบหลายครั้งออกไปทันที ไม่กล้าแม้แต่จะร้องโอดครวญ
หานหนิงเฉิงตวัดสายตามองฮูหยินใหญ่และบุตรชาย สูดลมหายใจเข้าแรงระงับโทสะ สะบัดแขนเสื้อเสียงดัง กลับห้องทำงานไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการ ช่างเป็นบิดาที่ใจดำยิ่งนัก
"หลงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?"ฮูหยินใหญ่ถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
"ข้าไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่อย่าห่วงเลย"หานหนิงหลงใช้ผ้าเช็ดเลือดที่หน้าผาก แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบที่บาดแผล แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยราวกับกำลังเช็ดเหงื่อ ดวงตาเฉลียวฉลาดมองตามหลังผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าบิดา ก่อนจะถอนหายใจอย่างเจ็บปวด
--------------
ในเวลาเดียวกัน ณ จวนแม่ทัพไร้พ่าย
"หลินเอ๋อร์ รีบไปเตรียมตัวเถิด พี่จะพาเจ้าไปเยี่ยมคนๆหนึ่ง"มู่หลิ่งเหวินกล่าว วางถ้วยชาเงยหน้ามองใบหน้าจิ้มลิ้มของภรรยาด้วยสายตารักใคร่ลึกซึ้ง
"คนป่วยหรือเจ้าคะ?"หลบสายตาแก้เขินแล้วถาม
"อา.อาจใช่หรืออาจไม่ใช่คนตอบเผยรอยยิ้มร้ายประกายดำมืดวาบผ่านดวงตาคมทรงเสน่ห์แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
"หลินหลินจะไปเที่ยวหรือ?"เจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้ามาหานางแล้วส่งเสียงถามอย่างสนใจ ยามที่พูดคุยกับหลินหลิน สามสหายน้อยจะส่งเสียงออกมาเป็นเสียงร้องของพยัคฆ์และเสียงจิ้งจอก ซึ่งมู่หลิ่งเหวินไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ยามที่เจ้าพยัคฆ์น้อยต้องการพูดคุยกับเขามันจะส่งกระแสจิตแทน
"ไม่รู้เหมือนกัน"ชิงหลินตอบทางจิตอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยขึ้นมาแนบอกอวบอิ่ม
"หมั่นโถวขอไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?"จิ้งจอกน้อยตัวน้องแหงนมองหลินหลินตาแป๋ว กิริยาท่าทางของมันดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนอดใจไม่ไหวอุ้มมันขึ้นมาแนบอกอีกตัว
"ได้สิ..เป่าเปา..เจ้าอยากไปด้วยไหม?"ก้มถามจิ้งจอกน้อยอีกตัวที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าใครเพื่อน
"ได้หรือขอรับ?"
"แล้วทำไมถึงจะไม่ได้เล่า"ส่งยิ้มเอ็นดู ก้มลงไปจะอุ้มมันขึ้นมาอีกตัว ทว่า....
"พี่จะช่วยเจ้าเอง"เป็นสามีรูปงามที่อุ้มจิ้งจอกน้อย ไม่พอยังฉวยอีกสองตัวในอ้อมแขนนางไปอย่างรวดเร็ว แล้วส่งเจ้าพยัคฆ์น้อยให้จิ๋นซาน จิ๋นซื่อรับผิดชอบสองจิ้งจอกน้อย ส่วนตนเองนั้นหรือ จับจูงมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มพากันเดินออกจากเรือนไป
------------
กลับมาที่จวนเสนาบดีหานอีกครั้ง
หลังจากสั่งให้บ่าวไพร่ออกตามหาบุตรีคนโปรด หานหนิงเฉิงก็ถือจดหมายปริศนากลับมายังห้องทำงานของตน หน้านิ่วคิ้วขมวดกับข้อความในจดหมายที่กางอยู่ตรงหน้า
"ฟันไม่ขาด ดาบนั้นคืนสนอง...มันเป็นใครกัน? มีจุดประสงค์อันใดกันแน่?"พึมพำกับตนเอง มันเข้ามาในจวนข้าได้ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาแน่ หรือจะเป็นฝีมือของเจ้าแม่ทัพอ่อนหัดนั่น?! อา...เป็นไปไม่ได้ นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว เหตุใดจึงไร้วี่แววข่าวคราวการเคลื่อนไหวของมัน รวมถึงนักฆ่ากลุ่มนั้นด้วย
ยิ่งคิด หานหนิงเฉิง ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ขณะกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว
"เรียนนายท่าน แม่ทัพมู่มาขอพบขอรับ"พ่อบ้านชราส่งเสียงรายงานเข้าไปในห้องทำงานที่ปิดประตูลงกลอนจากด้านใน
"แม่ทัพมู่รึ?..มันบอกรึไม่ว่ามาทำไม?"หานหนิงเฉิงมีอาการชะงักเล็กน้อย ใบหน้าอวบอูมเพราะไขมันดำมืดและเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ชอบใจ
"เอ่อ...แม่ทัพมู่แจ้งว่า พาฮูหยินน้อยมาเยี่ยมคารวะนายท่านขอรับ"
"เจ้าว่าอันใดนะ!!!?"หานหนิงเฉิงลุกพรวด เปิดประตูออกส่งเสียงถามอย่างไม่อยากเชื่อถึงสิ่งที่ตนได้ยิน พาฮูหยินน้อยมาเยี่ยมคารวะ? จะเป็นไปได้เช่นไร?..ในเมื่อ..นางเด็กสารเลวนั่นยังอยู่ในห้องใต้ดิน!!
"พูดชัดๆอีกครั้งหนึ่งซิ!!"หานหนิงเฉิงตะคอกพ่อบ้านชราเสียงดัง ใบหน้าอวบอูมถมึงทึง น่าเกลียดน่ากลัว ราวกับปีศาจจากขุมนรก
"อะเอ่อ..มะแม่ทัพมู่พาฮูหยินน้อยมาเยี่ยมคารวะนายท่าน บัดนี้รออยู่ที่โถงรับแขกขอรับ"พ่อบ้านชราก้มหน้าต่ำเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
"เป็นไปไม่ได้...ในเมื่อ..."หานหนิงเฉิงชะงักคำพูด เหลือบตามองพ่อบ้านชราแวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเสียงดังผลุนผลันไปยังโถงรับรองเพื่อให้เห็นกับตาตนเอง
-------
เมื่อมาถึงโถงรับแขก หานหนิงเฉิงถึงกับตะลึงลาน นัยน์ตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมานอกเบ้า ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงทางเข้า ใบหน้าอวบอูมซีดเผือดราวกับกระดาษและมีเหงื่อผุดออกมามากมายมือไม้เย็นเฉียบและเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆ
"มู่หลงเหวิน คารวะท่านเสนาบดี"ผูมาเยือนลุกขึ้นประสานมือคารวะทักทายตามมารยาท มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยราวกับยินดีที่ได้พบอีกฝ่าย
"...."หานหนิงเฉิงยังคงยืนแข็งท่ออยู่กับที่ไม่ได้ตอบรับหรือขยับเขยื้อนร่างกาย
"มู่หลิน คารวะท่านเสนาบดีเจ้าค่ะ"ชิงหลินลุกขึ้นยอบกายคารวะบ้าง นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเอาแต่จ้องนางราวกับเห็นภูติผีปีศาจ
"...ปะปะเป็นไปไม่ได้...จะเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?..ในเมื่อ..."หานหนิงเฉิงถึงกับปากคอสั่นพูดติดๆขัดราวกับคนติดอ่าง นิ้วที่ชี้ไปทางสตรีสั่นเทาเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
"โอ..ดูเหมือนท่านจะยังไม่หายดี เช่นนั้นข้าและฮูหยิน คงต้องขอตัวก่อน ขอให้ท่านหายป่วยโดยเร็ว"เน้นคำว่า ฮูหยิน ยามที่กล่าวกับอีกฝ่าย
"หากท่านยังมีใจเมตตาและรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง มันคงไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้"แม่ทัพหนุ่มเดินเข้ามากระซิบให้ได้ยินแค่สองคน ยืดกายเต็มความสูง ประสานมือคารวะให้อีกครั้ง ก่อนจะจับจูงมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มของภรรยา นำหน้าสององครักษ์ที่อุ้มสามสหายน้อยอยู่ตลอดเมื่อก้าวเข้ามาในจวนเสนาบดี ออกไปไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมาดู
ซึ่งกว่าหานหนิงเฉิงจะกลับมาเป็นตัวเองได้ ก็ต่อเมื่อ "แขกไม่รับเชิญ"กลับไปแล้ว
"ไม่..เป็นไปไม่ได้..เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้..."หานหนิงเฉิงพึมพำราวกับคนเสียสติ เหตุการณ์เมื่อสักครู่คล้ายถูกฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม สองขาก้าวไปยังห้องใต้ดินอย่างเหม่อลอย
เมื่อเข้ามาในห้องใต้ดิน กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเหม็นอันไม่พึงประสงค์ก็ลอยเข้ามาแตะจมูก จนต้องเบือนหน้าหนีทำให้สติที่หลุดลอยกลับมาอีกครั้ง
ภายในห้องขัง ยังคงมีนักฆ่าเล่นสนุกกับร่างขาวผ่องอวบอิ่มอยู่ ทั้งที่ผ่านมาแล้วหลายชั่วยามอย่างไม่รู้จักอิ่มจักพอ ราวกับอดอยากมานาน
"นะนายท่าน"หนึ่งในนักฆ่าที่ออกมานั่งพักเหนื่อยหลังเสร็จกิจกามแล้ว ลุกพรวดประสานมือเคารพนายเหนือหัว
"..ออกไป!!"ตวาดเสียงดังทำเอาเหล่านักฆ่ารีบหลบไปยืนด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกสี่ห้าคนที่กำลังเล่นสนุกกับร่างเปลือยอวบอิ่มสลบไสล ตกใจรีบสวมใส่เสื้อผ้าอย่างลนลานแล้วยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียง
"เจ้า!..ตรวจดูซิว่า ใช่นางเด็กสารเลวผู้นั้นจริงรึไม่?"คำสั่งของนายเหนือหัว ไหนเลยจะมีใครกล้าคัดค้าน
"ขอรับ"นักฆ่าที่ถูกสั่งรีบขึ้นไปนั่งยองๆบนเตียงข้างร่างเปลือยที่ไร้อาภรณ์ปกปิดกาย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่
นักฆ่าใช้สายตาสำรวจอย่างถี่ถ้วน เริ่มจากใบหน้าจิ้มลิ้ม ก่อนที่นิ้วจะสะดุดรอยบางอย่างใต้คางมน เขาจับคางของนางให้เอียงไปอีกข้าง จึงได้เห็นความผิดปกติตรงบริเวณนั้น
ความสงสัยก่อเกิดขึ้น พร้อมกับคำถามในใจ คงไม่ใช่...
"เหวออออ...คะคะคุณหนู!!"มันร้องออกมาเสียงดัง กระถดกายถอยหนีไปจนติดกำแพง ดวงตาเบิกโพลงราวกับถูกผีหลอก เมื่อใบหน้าแท้จริงที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเผยออกมาให้เห็น คุณหนู..หานหนิงอัน!!
".....!!"หานหนิงเฉิงรู้สึกชาไปทั้งตัว พาร่างอ้วนท้วมหนักอึ้งของตนมายืนข้างเตียง เพ่ง มองใบหน้าที่นอนหายใจรวยรินด้วยหัวใจที่แตกสลาย หลับตาลงพร้อมกับภาวนาขอให้สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาหาใช่เรื่องจริงไม่ แล้วลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง แต่ใบหน้างดงามนั่นก็ยังคงเป็นบุตรีคนโปรดของตน
"อันเอ๋อร์....อันเอ๋อร์ลูกพ่อ...อันเอ๋อร์...อันเอ๋อร์.."หานหนิงเฉิงดึงร่างสลบไสลของบุตรีคนโปรดมาไว้แนบอกแล้วร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตากลุ่มนักฆ่า ที่เริ่มได้สติต่างพากันหนีเอาตัวรอดจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ปล่อยให้หานหนิงเฉิงร้องไห้คร่ำครวญ ปริ่มว่าใจจะขาด ดังก้องไปทั่วห้องใต้ดิน