การลักพาตัวฮูหยินน้อยผู้เป็นที่รักยิ่งของท่านแม่ทัพในเวลากลางวันแสกๆ ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจ โง่เขลาเบาปัญญาของคนสิ้นคิดที่หมดอาลัยตายอยากไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่
เจ้าโจรชั่วพวกนั้นไม่ตายดีแน่!โจรชั่วทั้งห้าที่จิ๋นซานเรียกให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบขนลุกเกลียวจนเผลอลูบแขนตนเอง
"พี่ใหญ่ ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเลย"หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น
"น้องห้า เจ้าอย่ากังวลไปนักเลย หากงานนี้สำเร็จ เราก็สามารถช่วยบิดามารดาได้ แล้วเราก็จะได้กลับเผ่าเหลียงพร้อมกัน"เสียงตอบจากชายชุดดำอีกคน ที่ชายชุดดำคนแรกเรียกว่าพี่ใหญ่พยักหน้าลงน้อยๆ ดวงตาดุดูน่ากลัวฉายแววความยินดี
ย้อนกลับไปเมื่อสิบวันก่อน เผ่าเหลียงถูกโจรชั่วบุกโจมตี สังหาร เข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม กระทั่งลูกเล็กเด็กแดงก็ไม่ละเว้น เพียงเพื่อคัมภีร์ล่องหนเพียงเล่มเดียว!
ในขณะนั้นบิดาของตนซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าและมารดาถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับคัมภีร์ล่องหน แต่ยามนั้นคัมภีร์ล่องหนอยู่กับตนและน้องชายทั้งสี่ที่เก็บตัวฝึกวิชาล่องหนอยู่บนเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปราวห้าสิบลี้หลังสำเร็จวิชาก็เผาทำลายคัมภีร์ล่องหนทิ้งตามคำสั่งของบิดา
ครั้นพอกลับมาถึงในวันเดียวกัน กลับต้องมาพบกับภาพสะเทือนใจ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่อาจลืมเลือนได้ ภาพบ้านเรือนถูกไฟเผาผลาญ ผู้คนถูกสังหารนอนตายเกลื่อนกลาด กลิ่นเลือดผสมกลิ่นควันไฟโชยลอยคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนและเจ็บปวดใจยิ่งนัก
จำได้ว่าตนและน้องชายทั้งสี่ช่วยกันค้นหาบิดาและมารดากันอย่างบ้าคลั่ง จับศพพลิกดู ศพแล้วศพเล่าแทบจะทุกศพแต่ก็หาพบไม่ หรือว่าบิดามารดาจะยังมีชีวิตอยู่?นั่นคือความคิดที่แวบเข้ามาในหัว
"นายน้อย.....นายน้อย...."เสียงเรียกที่เบาบางราวสายลมที่ดังอยู่ใกล้ๆทำให้ตนและน้องชายทั้งสี่ยินดียิ่งนักที่อย่างน้อยก็ยังมีผู้รอดชีวิต
แต่ความยินดีพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นโกรธกริ้วอาฆาตเคียดแค้น เมื่อได้รับรู้ความจริงว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังครั้งนี้คือ เจ้าขุนนางชั่วหานหนิงเฉิง!
ตนและน้องชายทั้งสี่จึงได้รีบรุดไปที่จวนเสนาบดีหานทันที เมื่อไปถึงเจ้าขุนนางชั่วพอได้ทราบความจริงว่า คัมภีร์ล่องหนถูกเผาทำลายไปแล้ว แทนที่เจ้าขุนนางชั่วจะกริ้วโกรธเกรี้ยวกราดใส่ มันกลับยื่นเงื่อนไขใหม่
นั่นคือ ลักพาตัวฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพให้มัน แลกกับชีวิตบิดามารดา ซึ่งตนตกลงในทันที และคิดว่าจะรีบทำงานให้สำเร็จเพื่อจะได้พาบิดามารดากลับเผ่าเหลียงโดยเร็ว
แต่กลับพบว่า ภารกิจในครั้งนี้ยากยิ่งนัก เพราะรอบกายนางมีแม่ทัพหนุ่มและองครักษ์ที่ดูจะไม่ธรรมดาคอยคุ้มกันแน่นหนาตลอดทั้งยามกลางวันและยามค่ำคืน ไม่มีช่องโหว่ให้พวกตนทำงานได้อย่างที่ใจคิดจนตนเริ่มจะร้อนใจขึ้นมา
จนวันนี้โอกาสที่รอคอยมากว่าห้าวันก็มาถึง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าการลักพาตัวยามกลางวันแสกๆหาใช่สิ่งที่ควรทำไม่ มันเป็นการการกระทำที่โง่เขลาอุกอาจและเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก แต่หากไม่ชิงลงมือในวันนี้ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานเท่าใด ยิ่งนานวันชีวิตบิดามารดาของตนก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ต่อให้ถูกหัวเราะเยาะก็ช่างปะไร ขอเพียงชีวิตบิดามารดาปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว!
ตอนนี้ภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีไม่มีผู้ใดพบเห็น เพราะพวกตนใช้วิชาล่องหนเข้าช่วย ซ้ำยังเป็นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ผู้คนสัญจรบางตาและเช้านี้เหมือนโชคเข้าข้าง นอกจากกลุ่มคนของนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดสัญจรผ่านหน้าจวนแม่ทัพเลย
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ รอให้เจ้าขุนนางชั่วพาบิดามารดาของตนมาแลกเปลี่ยนกับสตรีน้อยนางนี้ ขออภัยทีเถิดแม่นางพวกข้าทำเพราะความจำเป็นหวังว่าเจ้าจะให้อภัยพวกข้า
"พี่ใหญ่! แย่แล้วขอรับ!!"ชายชุดดำที่ยืนเฝ้าสังเกตการหน้าเรือนร้าง วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาน้ำเสียงฟังดูร้อนรน
"น้องรอง มีเรื่องอันใดรึ?หรือเจ้าขุนนางชั่วมาที่นี่?"ชายชุดดำที่เป็นพี่ใหญ่ลุกขึ้นพรวด เมื่อเห็นท่าทีร้อนรน กระวนกระวายของน้องชายคนรอง
"มะไม่ใช่ แฮ่ก...ไม่ใช่พี่ใหญ่..แฮ่กๆ"ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าน้องรอง หยุดพักหายใจก่อนแล้วจึงแจ้งข่าวต่อ "ยามนี้ เราโดนล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลังแล้ว พี่ใหญ่!!"
"พวกมันเป็นใคร?!!" ยังไม่ทันได้คำตอบ ชายชุดดำสองคนที่เหลือก็ถูกจับตัวเข้ามาในห้องที่เขา น้องรองและน้องห้ายืนอยู่
ในลักษณะมีดาบยาวเงาวับจ่อพาดผ่านลำคอ ใบหน้าไร้สิ่งปิดบังซีดเผือด มุมปากมีเลือดไหลซึม มือทั้งสองถูกมัดไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนายากต่อการหลบหนี โดยชายชุดดำร่างใหญ่หนาสวมหน้ากาก
"พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ"หนึ่งในสองชุดดำที่ถูกจับเอ่ยกับชายชุดดำที่กระชับดาบอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มองมาด้วยสายตาคล้ายมิอยากจะเชื่อว่า นี่เป็นเรื่องจริง
เป็นไปไม่ได้! เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้? นี่พึ่งจะผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
สิ่งที่ชายชุดดำคำนวณพลาดไปก็คือ เรื่องความสามารถของเจ้าสามสหายน้อย หากรู้ความจริงว่า พ่ายแพ้เพราะเจ้าสัตว์หน้าขนสามตัวพวกเขาจะรู้สึกและทำหน้าอย่างไรกัน?
"เจ้าโจรชั่ว! กล้าลักพาตัวฮูหยินน้อยของท่านแม่ทัพอยากตายนักใช่รึไม่!!!?"จิ๋นซื่อก้าวออกมาแล้วตวาดเสียงกร้าวใส่ชายชุดดำสามคนที่ปิดบังอำพลางใบหน้าเห็นเพียงดวงตา
"ไม่ต้องพูดมาก อยากฆ่าข้าก็เข้ามาเลย!!"ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่โต้ตอบกลับอย่างห้าวหาญไม่เกรงกลัวความตาย ชักดาบยาวของตนออกมาส่งสายตาท้าทายจิ๋นซื่อ
"คิดว่าตายก็จบเรื่องเช่นนั้นรึ?"น้ำเสียงเย็นเยียบประดุจดังน้ำแข็งทำชายชุดดำสั่นสะท้าน มองร่างสูงใหญ่ในชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้มที่ก้าวเข้ามาในห้องรอบกายมีกลิ่นอายการฆ่าฟันและคุกคาม สัญชาตญาณเตือนให้ร่างกายขยับถอยโดยไม่รู้ตัว
"พี่ใหญ่ พี่รอง น้องห้า รีบหนีไปก่อนเถิด ไม่ต้องห่วงข้ากับน้องสี่!"ชายชุดดำที่ถูกกองกำลังปีศาจมู่นายหนึ่งจับกุมไว้ตะโกนบอกพี่น้องทั้งที่ดาบยังจ่ออยู่ที่คอ
"ไม่!! หากจะตายก็ตายด้วยกัน!! พี่ใหญ่ไม่มีวันทอดทิ้งพวกเจ้า!!"
"หากตายกันหมดแล้วใครจะไปช่วยท่านพ่อท่านแม่จากเจ้าขุนนางชั่วนั่นเล่า!!!"ชายชุดดำที่ถูกจับข้างๆกล่าวเตือนด้วยน้ำตานองหน้า
"ท่านแม่ทัพ...ดูเหมือนเจ้าพวกนี้ทำไปเพราะความจำเป็นนะขอรับ"จางมู่หลงที่พากองกำลังปีศาจมู่ห้าสิบนายลอบเข้ามาทางด้านหลังจวนกระซิบบอก
"...แล้วอย่างไร?"มู่หลิ่งเหิวนย้อนถามเสียงเย็น มือลูบหลังเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ยอมอยู่นิ่งๆแล้วพลันให้จิตใจสงบขึ้นมาหนึ่งส่วน
เป่าเปาน้อยในอ้อมกอดจิ๋นซานหลับตาลงทันใดเมื่อภายในหัวปรากฏภาพที่หลินหลินนอนอยู่บนเตียงขยับตัวแล้วลุกขึ้นนั่งในเวลาต่อมา สองมือนวดขมับหมุนวนไปมาก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วอุ้มน้องสาวของมัน จากนั้นก็เดินมาที่ประตูออกแรงเขย่าเบาๆ แต่ประตูถูกลั่นดานจากข้างนอกทำให้หลินหลินออกมาไม่ได้
"ท่านแม่ทัพ หากเราสามารถเกลี้ยกล่อมคนกลุ่มนี้มาอยู่ฝ่ายเราได้ นอกจากจะเป็นผลดีกับเราแล้ว ยังอาจใช้จัดการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้สำเร็จก็เป็นได้นะขอรับ"จางมู่หลงให้เหตุผล
"...อืม"มู่หลิ่งเหวินส่งเสียงอนุญาตโดยที่สายตาไม่ละไปจากำชายชุดดำตรงหน้า
"ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เต็มใจทำงานนี้ ใช่หรือไม่?"จางมู่หลงเริ่มด้วยการเห็นใจอีกฝ่าย ดวงตาคู่งามจับอยู่ที่ชายชุดดำ ที่ยืนในท่าเตรียมพร้อมตรงกลางซึ่งถูกเรียกว่าพี่ใหญ่
"เจ้าถามทำไม?"ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงห้วนจัด มือที่ถือดาบไม่ลดความระมัดระวังลง
"ตอบมา!!"จางมู่หลงตะคอกเสียงดังจนเป่าเปาน้อยสะดุ้ง ภาพในหัวหายวับไปทันที ดวงตาเรียวเล็กหันมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าแทน
"ใช่! หากไม่ใช่เพราะเจ้าขุนนางชั่วช้าสารเลวนั่นจับตัวพ่อแม่ข้าไว้ เจ้าคิดว่าพวกข้าจะกล้าทำเรื่องเลวทรามกลางวันแสกๆเช่นนี้รึ!"มันโต้กลับน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บใจและเคียดแค้น
"หานหนิงเฉิง คือเจ้าขุนนางชั่วที่เจ้าว่า?"จางมู่หลงกอดอกเลิกคิ้วถาม
"เจ้ารู้ได้อย่างไร?"ชายชุดดำคนเดิมเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
"เรื่องนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ข้ามีข้อเสนอ จะลองฟังดูหน่อยไหมเล่า?"จางมู่หลงเริ่มรุกด้วยคำพูด
"..ข้อเสนอ?"ดวงตาดุจ้อง บุรุษผู้มีใบหน้างามคล้ายสตรีด้วยความประหลาดใจแล้วหันไปทางซ้ายขวาก็เห็นน้องรองกับน้องห้าพยักหน้า ให้ลองฟังข้อเสนอดู "ว่ามา"
"หึๆ เราจะช่วยบิดามารดาเจ้าออกมาเอง แลกกับการเล่นละครเล็กๆน้อยๆของพวกเจ้า"
"..เล่นละคร?"ชายชุดดำคนเดิมทวนคำอย่างงุนงง
"ใช่..หากเล่นได้สมจริง เจ้าและพี่น้องก็จะรอด รวมถึงบิดามารดาของเจ้าด้วย"
"แล้วถ้าข้าปฏิเสธ?"
"หึๆ ต่อให้เจ้าทำงานสำเร็จ เจ้าคิดจริงๆรึว่า เจ้าขุนนางชั่วเจ้าเล่ห์นั่น จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป"คำตอบของจางมู่หลงทำชายชุดดำชะงักวูบ
"ท่านแม่ทัพของเรา เป็นคนที่ยึดมั่นในคำพูด มิเคยตระบัดสัตย์"
ได้ยินดังนั้นชายชุดดำจึงหันไปทางบุรุษหนุ่มรูปงามที่นั่งลูบหลังลูกพยัคฆ์ ด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ภายใต้ท่วงท่าที่เห็นว่าสบายๆนั้น กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจของความเป็นผู้นำที่บุรุษทั่วหล้าปรารถนาจะมี
"แล้วท่านจะให้พวกข้าทำสิ่งใด เชิญว่ามาได้"ท่าทีและคำพูดที่เปลี่ยนไปเรียกรอยยิ้มหวานจากบุรุษผู้มีใบหน้างามคล้ายสตรีได้ทันที
"ฮูหยินของข้า?"
"เอ่อ..อยู่ในห้องใต้ดิน ข้าจะรีบพาตัวนางมามอบให้ท่าน..."ชายชุดดำคนเดิมยังพูดไม่ทันจบคำดี
"ไม่ต้อง!นำทางไป!"น้ำเสียงแข็งกร้าวทำชายชุดดำรู้สึกหวาดหวั่นรีบเปิดประตูก้าวนำลงบันไดไปยังห้องใต้ดิน
"หลินหลิน เหวินเหวินมาช่วยแล้วเจ้าค่ะ"หมั่นโถวน้อยเงยหัวร้องบอกนาง
"จริงหรือ?"ชิงหลินเดินมาเอาหูแนบที่ประตู ดวงตากลมโตกระตุกวาบเมื่อได้ยินเสียงคล้ายฝีเท้าคน และค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆจึงถอยออกมารอให้มีคนเปิดอย่างใจจดจ่อ
ห้องใต้ดินนี้มีโครงสร้างแตกต่างจากห้องใต้ดินที่เธอเคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในทั่วไป ที่มักจะเป็นลูกกรงเหล็กสี่เหลี่ยมคล้ายห้องขัง ดูไปแล้วคล้ายห้องขังนักโทษรอการประหาร
ห้องสี่เหลี่ยมที่นางถูกขังมีเพียงช่องลมเล็กๆขนาดลูกสุนัขลอดสองช่องติดกับเพดานซ้ายขวาของประตูที่ทำจากเหล็กกล้า ซึ่งเป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวหากคิดจะหนียากยิ่งนัก
ทันทีที่ประตูเหล็กเปิดออก ร่างเล็กบอบบางของภรรยาอันเป็นที่รัก ที่ควรจะสลบไสลไม่ได้สติเพราะผงนิทรา กลับกำลังยืนส่งยิ้มหวานให้ตนอยู่ "หลินเอ๋อร์ เจ้า..."มือหนาโยนเจ้าพยัคฆ์น้อยให้จางมู่หลง แล้วสืบเท้าเข้าหานางช้าๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ฉายความประหลาดใจชัดเจน
"หือ?..มีอะไรหรือเจ้าคะ?"
"....ไม่มีอันใด ปลอดภัยดีใช่หรือไม่? เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า?"แม่ทัพหนุ่มเลี่ยงตอบ ตามองสำรวจร่างเล็กบอบบางตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
"พี่เหวิน..พี่เหวิน"เรียกสามีรูปงาม
"ข้าสบายดี ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน"ส่งยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดให้ทำเอาแม่ทัพหนุ่มตะลึง
"ท่านแม่ทัพ ออกไปจากที่นี่ก่อนเถิดขอรับ"จางมู่หลงเอ่ยเตือนเม่อเห็นท่านแม่ทัพยืนนิ่ง
"อืม..ไปเถิดหลินเอ๋อร์"กล่าวจบก็จับจูงมือเรียวเล็กเดินขึ้นไปข้างบน
ส่วนหมั่วโถวน้อย รีบวิ่งไปหาพี่ชายของมันที่อยู่ในอ้อมแขนของจิ๋นซาน องครักษ์หนุ่มจึงอุ้มมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอีกข้าง โดยมีสายตาเจ้าพยัคฆ์น้อยมองตามหลังอข่างขุ่นเคืองที่ถูกโยนทิ้ง "ฮึ่ม!..เจ้าคนนิสัยไม่ดี ข้าเกลียดเจ้า"มันสบถเบาๆ
จวนแม่ทัพไร้พ่าย ยามอุ้ย
ด้วยความสามารถพิเศษของสามสหายน้อย ทำให้ชิงหลินถูกช่วยไว้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนจิ๋นอี้ จิ๋นเอ้อ พ่อบ้านเจาเหยียน เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย ยังคงสลบไสลเพราะฤทธิ์จากผงนิทรา ต้องรอจนกว่าฤทธิ์ยาจะสลายไปเอง
นางก็ถูกผงนิทราเล่นงานเหมือนกัน แต่ทำไมจึงสลบไปแค่ครึ่งชั่วยามเองเล่า? พอถามสามีรูปงาม เขาก็ส่ายหน้าไม่รู้จึงหันไปถามเจ้าสามสหายน้อย ก็ได้คำตอบที่คลุมเครือว่า อาจเป็นเพราะพลังมังกรฟ้ากับพลังปีศาจจิ้งจอกเก้าหางก็ได้ พลังมังกรฟ้ากับพลังปีศาจจิ้งจอกมีฤทธิ์ต้านพิษได้ด้วยหรือ?
ในขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในห้องกับสามสหายน้อยฮีโร่อยู่นั้น ภายในห้องหนังสือของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งปลูกแยกออกมาจากเรือนหลักเพื่อความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบ ยามนี้กลับตึงเครียด
"พวกเจ้าเป็นใคร? มาจากไหน? จงเล่ามาให้ละเอียด"จางมู่หลงเอ่ยถามชายชุดดำทั้งห้า ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า เปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงให้ประจักษ์แก่สายตาแล้วมีแม่ทัพหนุ่มนั่งกอดอก หลังพิงพนักเก้าอี้อยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือ จิ๋นซานจิ๋นซื่อยืนสองมือไพล่หลังขนาบซ้ายขวา
"พวกข้าแซ่ชง ข้าชงซื่อเป็นพี่ชายคนโต" ชายร่างใหญ่หนาดวงตาดุดัน ซ้ำยังไว้หนวดเครารุงรังคล้ายโจรป่าตอบน้ำเสียงฉะฉาน "และสี่คนนี้ คือน้องชายฝาแฝดของข้า ชงไฉ่ ชงซ่าน ชงอวี้และชงผิ่นขอรับ"
"คารวะท่านแม่ทัพ"ชายชุดดำทั้งสี่ประสานมือทำความเคารพบุรุษหนุ่มที่เปลี่ยนมานั่งหลังตรงพยักหน้ารับคารวะ หรี่ตามองทั้งห้าอย่างพินิจพิจารณา อา...เจ้าฝาแฝดสี่คนนี้ หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก ใบหน้าละม้ายคล้ายชงซื่อผู้เป็นพี่ชายคนโตอยู่เจ็ดแปดส่วน โดยเฉพาะดวงตา รูปร่างสูงใหญ่เหมาะที่จะเป็นทหารยิ่งนัก
การถูกจ้องมองเงียบๆ ไร้คำพูดจาใดๆ สร้างความอึดอัดใจให้แก่พี่น้องแซ่ชงยิ่งนัก "เอ่อ..พวกข้ามาจากเผ่าเหลียง เมื่อสิบวันก่อน..."แล้วเรื่องราวอันเศร้าสลด สุดสะเทือนใจก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด
"...ยามนี้ บิดามารดาของพวกเรา ถูกคุมขังอยู่ในห้องใต้ดินของจวนไอ้ขุนนางชั่วนั่น!"มือหยาบที่วางอยู่บนท่อนขากำแน่นจนกระดูกหลังมือปูดโปน เฉกเช่นเดียวกับน้องชายทั้งสี่
"เหตุใดอยู่ดีๆเจ้าขุนนางชั่ว ถึงได้สนใจคัมภีร์ล่องหนกัน?"จางมู่หลงแม้จะรู้สึกเห็นใจแต่ก็อดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
"เพราะผู้ที่ฝึกสำเร็จ นอกจากจะพลางตัวเหมือนหายตัวได้แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้แข็งแรงกว่าเดิมสิบเท่า"ชงซื่อไขข้อสงสัยอย่างไม่ปิดบัง
"อา...อย่างนี้นี่เอง"จางมู่หลงดีดนิ้วเปาะ
"มีอันใดก็ว่ามามู่หลง"น้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดของมู่หลิ่งเหวิน ทำใบหน้าคล้ายสตรีของจางมู่หลงซีดลงไปเล็กน้อย "สายของเรา รายงานว่าหลายเดือนมานี้เจ้าขุนนางชั่วป่วยเป็นโรคประหลาด หมอเก่งๆดังๆถูกพามารักษาแบบลับๆหลายสิบคน ก็ยังรักษาไม่ได้ ดังนั้นคัมภีร์ล่องหนจึงเป็นเพียงความหวังเดียวของมัน"รายงานตามจริง
"...อืม...อาจเป็นดังที่เจ้าว่า ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า"ประโยคหลังถามบุรุษทั้งห้า
"เชิญท่านแม่ทัพถามมาได้ขอรับ"
"ข้อจำกัดของวิชาล่องหนคืออะไร?"
"...แม้จะล่องหนคล้ายหายตัวได้ แต่กลิ่นอายและพลังลมปราณคือ อุปสรรคและข้อเสียสำคัญของวิชานี้ขอรับ"ชงซื่อตอบ "นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกข้าเพลี่ยงพล้ำเสียทีให้คนของท่าน"
"สรุปวิชาล่องหนใช้ไม่ได้กับผู้มีวรยุทธ?"
"เป็นเช่นนั้นขอรับ"ตลอดเวลาเป็นชงซื่อที่คอยตอบคำถามไขข้อข้องใจต่างๆอย่างละเอียด น้องชายทั้งสี่ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ ไร้ซึ่งคำพูดจา
"มู่หลง ระหว่างทางไปจวนขุนนางร้าง มีผู้พบเห็นหรือต้องสงสัยบ้างหรือไม่?"
"มีผู้ต้องสงสัยทำลับๆล่อๆบริเวณหลังจวนสองคน สอบเค้นได้ความว่า ถูกสั่งให้มาจับตาดูพวกเขาทั้งห้าขอรับ"จางมู่หลงรายงานแม่ทัพหนุ่ม
"ข้าให้มันกินผงลืมเลือน แล้วปล่อยตัวกลับไป เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยขอรับ"รายงานของจางมู่หลง สร้างความพอใจให้แก่แม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก
ผงลืมเลือน เป็นหนึ่งในยาพิษที่หาได้ยากยิ่งในยุทธภพ น้อยคนนักที่จะรู้จัก ซึ่งมู่หลิ่งเหวินบังเอิญได้มาจากสหายผู้หนึ่ง ผู้ใดกินผงลืมเลือนนี้เข้าไป จะทำให้ลืมเรื่องราวก่อนหน้าสามชั่วยาม
"เจ้าทำดีมาก"จางมู่หลงยิ้มด้วยน้อยครั้งนักที่จะได้รับคำชมจากแม่ทัพหนุ่มปาหนักผู้นี้
"พวกเจ้าพร้อมที่จะทำงานนี้หรือไม่?"เอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง
"ขอเพียงบิดามารดาปลอดภัย จะให้พวกเราทำสิ่งใด พวกเรายอมทั้งนั้นขอรับ"
"ดี! ข้าจะให้พวกเจ้าไปพบเจ้าหานหนิงเฉิงแจ้งข่าวว่า พวกเจ้าสามารถลักพาตัวฮูหยิน ของข้าได้เป็นผลสำเร็จ ขังนางไว้ที่กระท่อมร้างนอกเมืองให้พาบิดามารดามาแลกเปลี่ยนกันที่นั่น หากมันถามหาหลักฐานยืนยันว่าจริงหรือไม่ ให้นำสิ่งนี้ให้มันดู"มู่หลิ่งเหวินล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาว มุมหนึ่งปักอักษร หลิน และแหวนหยก ด้านในสลัก หลิ่งเหวิน-หลิน ไว้ ยื่นออกมาจางมู่หลงรีบนำของสองชิ้นจากมือแม่ทัพหนุ่มส่งมอบให้ชงซื่อ
"ท่านแม่ทัพช่างละเอียดรอบคอบนัก ชงซื่อขอคารวะ"ชงซื่อชมจากใจ ดวงตาดุดันมองของสองชิ้นในมือแล้วเก็บเข้าไปในอกเสื้อด้านใน
"ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าเจ้าขุนนางชั่วนั่น คงส่งลูกน้องไปแทนมากกว่าจะไปด้วยตนเอง"คำพูดของรองแม่ทัพหนุ่ม ตรงใจมู่หลิ่งเหวินพอดี ใช่...คนขี้ขลาดเช่นมันมีหรือจะยอมให้ถูกสังหารได้ง่ายๆ
"ข้ารู้..ชงซื่อ"
"ขอรับท่านแม่ทัพ!"
"จงบอกมันว่า หากมันไม่ไปด้วยตนเอง มันจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต"เห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของห้าพี่น้องแล้วจึงว่า "อย่าห่วง มันต้องไปแน่"