"เอ่อ...คือข้า...ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น..." ร่างเล็กยกมือปฏิเสธทันควัน ก่อนจะก้มหน้าลงไม่พูดต่อ
"อ้าว มาอยู่กันที่นี่เองหรือ" เสียงขององค์รัชทายาททำชิงหลินลอบถอนใจ ผิดกับอีกคนที่ไม่สบอารมณ์นักเพราะถูกขัดคอ
"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ / ถวายบังคมเพคะ" ทั้งสองถวายความเคารพพร้อมกัน
"ลุกขึ้นได้" ฉีเฟยหลงอนุญาต
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ / ขอบพระทัยเพคะ"
"หลินเอ๋อร์ เหตุใดเสื้อผ้าเจ้า..."
ถ้อยคำที่ตรัสเรียกอย่างสนิทสนม เป็นเหตุให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่อย่างอัครเสนาบดีตู้ฮุ่ยเปียวเลิกคิ้วขึ้นมองนางอย่างประหลาดใจและสนใจ แม่ทัพหนุ่มเองก็ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ เพราะเป็นครั้งแรกที่องค์รัชทายาทตรัสเรียกคู่หมั้นของตนเช่นนี้ มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น
"เอ่อ...ทูลองค์รัชทายาท เป็นเพราะหม่อมฉันไม่ทันระวังเพคะ" ชิงหลินตอบ
"เช่นนั้นหรือ แล้วเป็นเช่นใดบ้าง บาดเจ็บหรือไม่" ฉีเฟยหลงถามอย่างห่วงใย ไม่ใส่ใจผู้คนรอบข้างว่าจะคิดเช่นไร
"ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยคู่หมั้นของกระหม่อม นางปลอดภัยดีทุกประการพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินรีบตอบเสียงเข้มต่ำเจือความไม่พอใจนิดๆ
"องค์รัชทายาทเสด็จไปประทับที่ศาลาทางนั้นก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" ตู้ฮุ่ยเปียวเสนอความเห็น เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดใจ
"ก็ดี เจ้าสองคนด้วย" ฉีเฟยหลงกล่าวกับแม่ทัพหนุ่มและชิงหลิน
"พ่ะย่ะค่ะ / เพคะ"
"มู่หลิ่งเหวินคารวะท่านอัครเสนาบดี" แม่ทัพหนุ่มประสานมือเคารพผู้อาวุโส
"ชิงหลินคารวะท่านอัครเสนาบดีเจ้าค่ะ" ชิงหลินยอบกายคารวะตามคู่หมั้น
"ตามสบายเถิด" ตู้ฮุ่ยเปียวตอบพลางเหลือบมองชายหนุ่มหญิงสาวที่หลบไปยืนด้านข้างด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินผ่านหน้าทั้งสองตามองค์รัชทายาทไปยังศาลา ซึ่งอยู่ด้านหน้าของคอกม้าที่ชิงหลินเคยเข้าเฝ้าเมื่อครั้งปลอมตัวเป็นคุณชายหยางเริ่น
ที่ศาลาด้านหน้าคอกม้า
องค์รัชทายาทประทับเด่นตรงกลาง ถัดออกมาเป็นอัครเสนาบดีตู้ฮุ่ยเปียวในชุดขุนนางสีแดงเต็มยศ ตรงข้ามคือแม่ทัพมู่หลิ่งเหวินและชิงหลินคู่หมั้น ส่วนเหล่าขันทีนางกำนัลรั้งอยู่ด้านนอกศาลา
"ให้หัวหน้าผู้ดูแลม้ามาพบเรา...เดี๋ยวนี้"
"พ่ะย่ะค่ะ" เกากงกงรีบปฏิบัติตามทันที เพียงชั่วครู่หัวหน้าผู้ดูแลม้าร่างหนาบึกบึนก็มาถึง
"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ" เขาคุกเข่าถวายบังคมด้านนอกศาลาด้วยเสียงค่อนข้างดังและหนักแน่น
"ลุกขึ้นได้" ฉีเฟยหลงอนุญาต
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าผู้ดูแลม้ากล่าวแล้วจึงลุกขึ้นก้มหน้าลง
"มันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ตรวจสอบก่อนหรือ" ฉีเฟยหลงถามเสียงเข้ม
"เอ่อ...ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทุกครั้งพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่..." หัวหน้าผู้ดูแลม้าขยับตัวเล็กน้อย หวาดเกรงที่จะพูดความจริง
"ว่ามา อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง" ฉีเฟยหลงสะบัดมือเสียงดัง เพียงแค่นั้นก็สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่หัวหน้าผู้ดูแลม้าตลอดจนเหล่านางกำนัลแล้ว
หัวหน้าผู้ดูแลม้าทรุดลงนั่งคุกเข่าอีกครั้ง ละล่ำละลักตอบเสียงสั่น "พระอาญามิพ้นเกล้า เพียงแต่กระหม่อมไม่เคยรู้ และไม่เคยพบเห็นเถาไม้เลื้อยมีพิษเช่นนี้มาก่อน จึงได้ชะล่าใจจนเกิดเรื่องขึ้นพ่ะย่ะค่ะ"
"เถาไม้เลื้อยมีพิษ? นำมาให้เราดูหน่อย" ฉีเฟยหลงสั่งจบ เถาไม้เลื้อยที่ว่าก็มาวางอยู่เบื้องหน้า จึงหยิบมันขึ้นมาดู
ตู้ฮุ่ยเปียวจับเถาไม้เลื้อยขึ้นพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แล้วจึงกล่าวออกมา "แปลก นี่มันเถาอันใดกัน ลำต้นมีขน ซ้ำยังมีน้ำยางสีขาว"
"ทูลองค์รัชทายาท ดีที่ได้คุณหนูชิงช่วยไว้ หาไม่แล้วคงจะมีม้าคลุ้มคลั่งอีกหลายตัวเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าผู้ดูแลม้ายกความดีความชอบทั้งหมดให้ผู้มีพระคุณ
"เอ่อ...เพียงแค่เหตุบังเอิญเท่านั้นเพคะ" ชิงหลินรีบออกตัว ไม่กล้ารับความดีความชอบ
"เป็นเจ้าอีกแล้วหรือ" คำกล่าวของตู้ฮุ่ยเปียวสร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคน ไม่เว้นตัวชิงหลิน
ฉีเฟยหลงวางเถาไม้เลื้อยลงแล้วหันมาถามตู้ฮุ่ยเปียว "มีอันใดหรือ ท่านอัครเสนาบดี"
"อา...องค์รัชทายาททรงจำเรื่อง 'สามดี' ที่กระหม่อมเล่าให้ฟังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
ฉีเฟยหลงพยักหน้า "อืม เราจำได้ ที่ว่ามีสตรีหาญกล้านางหนึ่งพูด ราวกับต้องการสั่งสอนเหล่าขุนนางกลางงานชมบุปผาที่จวนเสนาบดีหานใช่หรือไม่"
"ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"อา...อย่าบอกเรานะว่าสตรีใจกล้านางนั้นก็คือนาง" ฉีเฟยหลงหันไปทางสตรีที่นั่งก้มหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ
"ใช่พ่ะย่ะค่ะ ก็คือนาง" ตู้ฮุ่ยเปียวตอบ ดวงตาคมมากด้วยประสบการณ์มีความชื่นชมในความรอบรู้ของเด็กสาวผู้นี้ น่าเสียดายที่เกิดเป็สตรี หากเกิดเป็นบุรุษคงจะโดดเด่นเหนือผู้ใดเป็นแน่
"อา...เจ้าช่างทำให้เราประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ หลินเอ๋อร์" ฉีเฟยหลงเย้านาง
"เอ่อ..." ชิงหลินไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงชำเลืองมองคู่หมั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมที่วาวโรจน์คู่นั้น
"ทูลองค์รัชทายาท นางก็เป็นแค่หนอนตำราตัวอ้วนที่ชอบกินตำรา...แล้วชอบอวดภูมิเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินตอบห้วนจัด พร้อมกับปรายตามองคู่หมั้นเมื่อพูดคำว่า 'หนอนตำราตัวอ้วน' อย่างจงใจ
"ฮึม ท่าน! ฝากไว้ก่อนเถิด" ชิงหลินคาดโทษพร้อมกับถลึงตาใส่เขาที่กล่าวหาว่านางเป็นหนอนตำราตัวอ้วน
"ฮะๆๆ หนอนตำราตัวอ้วน? เราชอบนะ ต่อไปเราเรียกเจ้าว่าหนอนตำราตัวอ้วนดีหรือไม่" ฉีเฟยหลงหัวเราะดังลั่น แม้แต่ตู้ฮุ่ยเปียวก็ยังยกมุมปากยิ้มกับคำเปรียบเปรยของแม่ทัพหนุ่ม
"เอาละ เรื่องนี้หากพูดแล้วความยาว พักไว้ก่อนเถิด ว่าแต่เถาไม้เลื้อยนี้มีชื่อเรียกหรือไม่" ฉีเฟยหลงเข้าเรื่องอีกครั้ง
"ทูลองค์รัชทายาท ในตำราเรียกว่าใบระบาดเพคะ" นางไม่ได้โกหก เพราะดอกมันเหมือนดอกผักบุ้งนางเลยสนใจลองค้นหาทางอินเทอร์เน็ตดู จึงได้รู้ว่ามันเป็นทั้งสมุนไพรและยาพิษหากใช้ไม่ถูกวิธี
"ใบ...ระบาด? ท่านเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่" ฉีเฟยหลงถามตู้ฮุ่ยเปียว
"กระหม่อมก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ" ตู้ฮุ่ยเปียวตอบตามจริง
"เอ่อ...เถาใบระบาดมีถิ่นกำเนิดห่างไกล น้อยคนนักที่จะรู้ว่าใบและเมล็ดมีพิษ ห้ามรับประทานเด็ดขาด ซ้ำดอกยังเหมือนกับดอกผักบุ้งด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าหน้าที่จะพลาดจุดนี้ไปเพคะ" ชิงหลินชี้แจง ซึ่งคำพูดของนางมีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่โดนลงอาญาที่ทำงานผิดพลาด และฉีเฟยหลงก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี
"เราเข้าใจแล้ว และขอปิดคดีนี้โดยไร้คนผิด!" ฉีเฟยหลงสรุปด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง จึงได้ยินกันถ้วนทั่ว สร้างความปลาบปลื้มยินดีแก่ทุกคน
"เป็นพระกรุณายิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าผู้ดูแลม้าและเหล่าลูกน้องราวห้าสิบคนคุกเข่าสรรเสริญองค์รัชทายาทอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงที่ดังและก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
"ลุกขึ้น เจ้าอยากได้สิ่งใดตอบแทน" ฉีเฟยหลงหันมาถามชิงหลิน
"เอ่อ...หากจะทรงกรุณา หม่อมฉันขอเก็บไว้ก่อนได้หรือไม่เพคะ"
"ได้ เราอนุญาต!" ฉีเฟยหลงรับปากทันทีโดยไม่หยุดคิดให้เสียเวลา
"ขอบพระทัยเพคะ" หญิงสาวโขกศีรษะด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"อา...จริงสิ เราเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย" ฉีเฟยหลงหันมาทางตู้ฮุ่ยเปียว "นางก็คือผู้ออกแบบตำหนักใหม่ของเรา"
"เป็นนางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ" ตู้ฮุ่ยเปียวทำใจให้เชื่อไม่ลง ด้วยเคยเห็นฝีมือการเขียนรูปของนางมาก่อนที่จวนเสนาบดีหาน ฝีมือการใช้พู่กันของนางนับว่ายังอ่อนนักในสายตาเขา
"หือ ท่านพูดราวกับเคยเห็นรูปของนางมาก่อน"
"พ่ะย่ะค่ะ ที่งานชมบุปผาจวนเสนาบดีหาน"
"อา...แล้วอย่างไรต่อ" ฉีเฟยหลงขยับกายด้วยความสนใจใคร่รู้เรื่องราว
ผิดกับมู่หลิ่งเหวินที่ทำได้เพียงอดกลั้นเก็บความอึดอัดคับข้องใจและไม่มั่นใจไว้ภายใน เป็นธรรมดาที่แม่ทัพหนุ่มจะรู้สึกเช่นนั้น ด้วยนางยังเป็นเพียงคู่หมั้น ไม่ได้ตบแต่งให้ หากวันหนึ่งนางเปลี่ยนใจและขอถอนหมั้น แล้วเขาจะทำอันใดได้ ที่สำคัญ...ตัวตนของเขาในใจของนางมีมากน้อยเพียงใดก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยจริงๆ
ส่วนคนถูกนินทาซึ่งหน้าทำได้เพียงก้มหน้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่สามารถโต้แย้งหรือลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองได้เลย
"มีการแข่งขันเขียนรูปโดยใช้พู่กันในกลุ่มของบุตรีที่ไปร่วมงานพ่ะย่ะค่ะ แล้ว..." ตู้ฮุ่ยเปียวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานชมบุปผาจวนเสนาบดีหานโดยละเอียด
"อา...ว่าอย่างไรหลินเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดจะโต้แย้งหรือไม่" ฉีเฟยหลงถามนางทันทีเมื่อเรื่องราวจบลง
"เอ่อ...ไม่มีเพคะ หม่อมฉันไม่ถนัดการใช้พู่กันจริงๆ" นางตอบตามจริง
"อา...เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่ท่านจะติดใจสงสัยในฝีมือของนาง" ฉีเฟยหลงว่า ก่อนจะหันไปทางเสี่ยวเกาจื่อ "เสี่ยวเกาจื่อ นำภาพที่อยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของเรามาที่นี่"
"พ่ะย่ะค่ะ" เสี่ยวเกาจื่อรีบปฏิบัติตามทันที
ครู่ใหญ่ต่อมา
ตู้ฮุ่ยเปียวมองภาพเขียนในมือด้วยสายตาตื่นตะลึง สลับกับมองใบหน้าหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย
'นี่คือฝีมือของนางจริงหรือ รูปทรงแปลกประหลาดทว่างดงาม ลวดลายละเอียดอ่อนช้อย และมีเอกลักษณ์ มันคือสถานที่ใดกัน'
"เป็นเช่นไรล่ะท่านอัครเสนาบดี" ฉีเฟยหลงยิ้มพอใจเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความตะลึงลานของอีกฝ่าย
"อา...กระหม่อมน้อมรับโดยไร้ข้อโต้แย้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ความจริงตู่ฮุ่ยเปียวทูลคัดค้านเรื่องที่ผู้ออกแบบเป็นหญิง และไม่ใช่ผู้ที่มากประสบการณ์จากกรมโยธา แต่พอได้เห็นฝีไม้ลายมือของนางแล้วก็ต้องยอมรับว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ
ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงจุดประสงค์ในการมาของตู้ฮุ่ยเปียว ซึ่งชิงหลินเองก็เข้าใจจุดนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันที่คฤหาสน์สกุลชิง
ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการเตรียมสัมภาระและข้าวปลาอาหารแห้งสำหรับคนห้าสิบคน ที่ต้องเดินทางไปหุบเขากินคนเพื่อตามหาเต่ามังกร
"นายท่าน ได้โปรดให้ข้าติดตามท่านไปด้วยเถิดขอรับ" เฟิ่งอิงคุกเข่าขอร้องชิงหยวน
"แล้วผู้ใดจะคอยคุ้มครองบุตรีข้า" ชิงหยวนย้อนถามด้วยท่าทีเหนื่อยใจ
"เรื่องนั้น..." เฟิ่งอิงขยับตัวอย่างอึดอัด ความหนักใจและกังวลใจฉายชัดบนใบหน้าคมเข้ม ยอมรับว่ารู้สึกลำบากใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ ด้วยความห่วงใยที่มีให้คุณหนูนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความปลอดภัยของนายท่านเลย
"ท่านพี่...การเดินทางครั้งนี้อันตรายเพียงใดไม่อาจคาดเดาได้ ให้เฟิ่งอิงติดตามท่านไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องหลินเอ๋อร์ยังมีอาเหวินคอยดูแลอยู่ ท่านอย่าห่วงเลย" ชิงฮูหยินช่วยพูดอีกแรง
"ได้ เจ้าเตรียมตัวเถิด" ชิงหยวนหันมาสั่ง หลังจากตัดสินใจได้แล้ว
"ขอบคุณขอรับนายท่าน" เฟิ่งอิงประสานมือขอบคุณแล้วหมุนกายจากไป
"หลินเอ๋อร์ จะกลับยามใดหรือ" ชิงหยวนหันมาถามฮูหยินของตน
"ยามเซินกระมังเจ้าคะ"
"อืม พ่อบ้านฝู หากคุณหนูกลับมาให้ไปพบข้าที่ห้องทำงานด้วย"
"ขอรับนายท่าน" พ่อบ้านฝูที่ยืนอยู่ด้านข้างค้อมศีรษะรับคำสั่ง
ณ วังขององค์รัชทายาท
หลังจากปลีกตัวออกมาได้ มู่หลิ่งเหวินก็แวะส่งน้องชายที่จวนเสนาบดีมู่ซึ่งเป็นทางผ่านไปคฤหาสน์สกุลชิงก่อน แต่แทนที่จะมุ่งหน้าพาคู่หมั้นกลับเรือนของนาง เขากลับสั่งให้รถม้าของวังตะวันออกกลับไป
"จะพาข้าไปไหนหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถามทันทีที่ลงมายืนข้างเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยคำถาม
"พี่อยากพาเจ้าไปสถานที่หนึ่ง ขึ้นม้าเถิด" เขากล่าวยิ้มๆ
"ไม่ ข้าอยากกลับบ้านเจ้าค่ะ" นางปฏิเสธทันควันโดยไม่หยุดคิดให้เสียเวลา ใบหน้าจิ้มลิ้มบูดบึ้งไม่ชอบใจกับการกระทำที่เอาแต่ใจของเขา และยังเคืองเรื่องที่เขาว่านางเป็นหนอนตำราตัวอ้วนและอวดเก่ง แม้จะรู้ว่าเขาหวังดีจึงได้เอ่ยตักเตือนแบบอ้อมๆ ให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ แต่ทำไมต้องเปรียบนางเป็นหนอนด้วยเล่า ซ้ำยังเป็นหนอนตัวอ้วนที่อวดเก่งอีก
ความจริงที่ทำให้นางขุ่นเคืองคือคำว่า 'อ้วน' เพราะในภพเก่านางเป็นสาวร่างอ้วนกลมจนได้รับฉายาว่ากระปุกตั้งฉ่าย แม้เขาไม่รู้เรื่องนี้ก็เถอะ
"กลัวหรือ" ร่างสูงเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงยั่วโทสะเล็กน้อย พลางยกแขนขึ้นกอดอก ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับอยู่ที่ร่างเล็กบอบบางซึ่งยืนกอดอกหันหลังให้อย่างแง่งอน ช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาของเขา ทั้งที่หากเป็นสตรีอื่นทำเช่นนี้คงสร้างความหงุดหงิดและรำคาญใจให้เขามากทีเดียว
"กลัว? มีอะไรที่ข้าต้องกลัวกัน" ร่างบางหันกลับมาเผชิญหน้าคนที่ปรามาสนางอย่างไม่เกรงกลัว
"หึๆ เช่นนั้นก็คงกล้าไปกับข้า" ร่างสูงสบโอกาสรุกคืบ ไม่คิดให้นางถอยหลังตั้งหลักได้ ดวงตาคมทรงเสน่ห์วาววับยามหลุบมองร่างเล็กบอบบางที่ยืนห่างเพียงสองก้าว ซ้ำยังหันหลังให้กำแพงจวนเสนาบดีมู่ ใบหน้าจิ้มลิ้มเชิดขึ้นอย่างอวดดี ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มสนิท หากอยู่เพียงลำพังในที่มิดชิดกว่านี้เห็นทีเขาคงรวบตัวนางเข้ามา แล้วมอบจุมพิตแสนหวานให้นางไปแล้วเป็นแน่
"ไปก็ไปสิเจ้าคะ" คราวนี้ยกมือขึ้นเท้าสะเอวเพิ่มความอวดดีแลละท้าทายมากขึ้นไปอีกขั้น
"เช่นนั้น เชิญคุณหนูขึ้นม้าได้ขอรับ" แม่ทัพหนุ่มล้อเลียนพร้อมกับค้อมกายและผายมือข้างหนึ่งไปทางเจ้าทาเสว่ ยกมุมปากยิ้มสมใจที่สามารถล่อหลอกนางได้สำเร็จ จนถูกนางค้อนให้ครั้งหนึ่งเป็นรางวัล
ฝ่ายคนที่แจกค้อนวงใหญ่จนคอแทบเคล็ด พอหันกลับมาตรงหน้า เท้าน้อยๆ ก็พลันชะงักมองเจ้าม้าศึกตัวใหญ่เบิ้มสีดำสนิทสลับกับชุดจีนโบราณยาวกรอมเท้าสีขาวรุ่มร่ามของตัวเอง แล้วชำเลืองมองคู่หมั้นที่ยืนกอดอกยิ้มเย้ยอยู่ข้างๆ ทำให้นางเกิดแรงฮึดขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าแรงๆ แล้วยืดหลังตรงเชิดหน้าขึ้น ยกชายกระโปรงขึ้นสูงก่อนจะก้าวไปหาเจ้าทาเสว่ จากนั้นก็พยายามกระโดดขึ้นหลังมันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ลื่นลงมาทุกครั้ง
"หึๆ"
เสียงหัวเราะของเขาทำให้ชิงหลินที่พยายามอยู่จนเหนื่อย หันมาถลึงตาใส่ด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดที่ถูกหัวเราะเยาะ
เช่นเดียวกับเจ้าทาเสว่ มันเอียงหัวมองมนุษย์ร่างเล็กเท่ามด ที่กำลังปีนป่ายกระโดดกระเด้งไปมาอยู่ข้างลำตัวของมันด้วยความรู้สึกหงุดหงิดจึงแกล้งขยับตัวหนี เป็นเหตุให้ร่างเล็กที่กระโดดเกาะตัวมันเสียหลักเซถลาไปข้างหน้า ด้วยความตกใจนางจึงหวีดร้องออกมาพร้อมกับหลับตาปี๋
"หึๆ ข้าว่าให้ข้าช่วยเจ้าคงเร็วกว่ากระมัง" แม่ทัพหนุ่มบอกสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนหลังจากช่วยนางไม่ให้ล้มหน้าคะมำ
"ไม่ต้อง ข้าจะลองดูอีกครั้งเจ้าค่ะ" หญิงสาวผลักเขาออกพร้อมกับปฏิเสธความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น โดยไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ สองเท้าเดินเข้าไปหาเจ้าม้าที่เกือบทำนางขายหน้าต่อหน้าคู่หมั้น คราวนี้นางลองใช้จิตสื่อสารกับมันแทนการปีนป่าย
"ท่านม้าผู้สง่างามและองอาจ จะช่วยให้เกียรติย่อตัวลงให้ข้าขึ้นหลังท่านหน่อยได้หรือไม่" ชิงหลินมองตามันพร้อมกับขอร้องมันทางจิต
ฝ่ายเจ้าทาเสว่แม้จะประหลาดใจแต่มันก็เลือกที่จะเมินคำขอของนาง ด้วยมันเป็นม้าศึกเพศผู้ไม่ชื่นชอบสตรีเช่นเดียวกับแม่ทัพหนุ่มซึ่งเป็นเจ้านาย แม้นางจะเป็นสตรีคนแรกที่ได้ขึ้นขี่มัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องยอมศิโรราบและทำตามคำสั่งของนางเหมือนพวกม้าไร้สมองตัวอื่น
"โธ่ พี่ม้าจ๋า อย่าเมินกันสิ" นางยังคงไม่ละความพยายาม
พรูดๆๆ
เจ้าทาเสว่สุดจะรำคาญ มันจึงไล่นางด้วยการพ่นน้ำลายใส่ใบหน้าเสียหลายที
"ฮึ่ม! ไม่เห็นต้องทำกันขนาดนี้เลย ดูสิหน้าข้าเปื้อนหมดแล้ว" ชิงหลินต่อว่ามัน พร้อมกับยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าตัวเองไปด้วย ช่างไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย
"หึๆ" เป็นอีกครั้งที่ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์หลุดหัวเราะขบขันกับภาพเบื้องหน้า ที่สตรีกำลังทำสีหน้าประหลาดๆ พลางยกไม้ยกมือใส่เจ้าม้าศึกคู่ใจของเขาแต่เหมือนจะไร้ผล เพราะเจ้าทาเสว่สะบัดหน้าหนี ซ้ำยังพ่นน้ำลายใส่นางอีก
ในสายตาผู้อื่นที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอาจคิดว่านางเสียสติ แต่สำหรับเขา นี่คือความสามารถที่สวรรค์ประทานมาให้โดยแท้ แม้จะรู้ดีแก่ใจแต่ก็อดขบขันไม่ได้
"ท่านหัวเราะเยาะข้า ฮึ่ม!" ร่างบางหันขวับมาทางเขา ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างเอาเรื่อง ราวกับพวกอันธพาลขี้แพ้ชวนตี
มีหรือที่แม่ทัพใหญ่เช่นเขาจะหวาดกลัวต่อสายตาและอาการพาลพาโลของนาง ซ้ำยังยั่วยุอารมณ์กรุ่นโกรธให้ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยการแบมือพร้อมกับยักไหล่เหยียดยิ้มใส่ ราวกับจะถามว่าข้าหัวเราะเจ้าแล้วอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผล...
"ฮึ่ม!" ชิงหลินทั้งโมโหทั้งอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี อับอายที่ถูกเจ้าม้าจอมหยิ่งยโสทำเมินนางแถมยังพ่นน้ำลายใส่ และโมโหที่ถูกเจ้านายของเจ้าม้าจอมยโสหัวเราะเยาะราวกับเป็นเรื่องตลก "ข้าจะกลับจวน!" เพราะขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังนางได้กระโดดข่วนหน้าเขาแน่ๆ
ร่างสูงไม่กล่าวอะไร เดินตรงเข้าไปช้อนร่างเล็กบอบบาง ดีดตัวลอยขึ้นสูงเหนือตัวเจ้าทาเสว่ที่ยืนนิ่งอย่างรู้งาน ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงบนหลังม้าศึกอย่างนุ่มนวล
"ปล่อยข้าลงนะเจ้าคะ ข้าจะกลับจวน!" นางตวาดเขาเสียงดัง สองมือเรียวเล็กผลักไสเขา พยายามดิ้นรนเพื่อหาทางลงจากหลังม้า
"หากยังไม่หยุดดิ้น พี่จะจุมพิตเจ้าเสียตรงนี้" ร่างเล็กชะงักกึก หยุดการเคลื่อนไหวทันที
"จับดีๆ ล่ะ" แม่ทัพหนุ่มหลุบตามองคู่หมั้นที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหน้าด้วยสายตาอ่อนโยนระคนเอ็นดู ร่างเล็กนุ่มนิ่มช่างหอมกรุ่นจนเขาเผลอสูดดมไปหลายครั้ง
"ฮึ!" ร่างบางเมินคำเตือนของเขา เลือกจะวางมือลงบนหน้าขาตัวเองแทนที่จะยืดจับเขาไว้
"ฮี้ๆๆ"
จู่ๆ เจ้าทาเสว่ก็ยกเท้าหน้าขึ้นสูงตะกุยอากาศ
"ว้าย! แหก" เพราะไม่ทันระวังตัว ร่างบอบบางจึงไถลลงไปหาร่างแกร่งที่นั่งซ้อนรออยู่แล้วด้วยความตกใจ เผลอโอบกอดเขาเสียแน่นตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด ใบหน้าจิ้มลิ้มซบอยู่กับอกแกร่งหนั่นแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของเขาอย่างชัดเจน
'อา…หัวใจบุรุษเต้นเร็วและแรงขนาดนี้เลยหรือ'
ด้วยความสงสัยชิงหลินจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องหน้าแดงเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่ก้มมองมา มันช่างหวานซึ้งเต็มไปด้วยความเสน่หา ทำให้ใจดวงน้อยเต้นแรง "หนะ...ไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปสถานที่หนึ่ง" นางรีบหาเรื่องคุยเพื่อลดอาการประหม่า
"วันนี้พักไว้ก่อน วันหลังพี่ค่อยพาเจ้าไป" แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับคู่หมั้น จากนั้นก็ควบเจ้าทาเสว่กลับคฤหาสน์สกุลชิง
ยามเซิน ณ โถงรับแขกคฤหาสน์สกุลชิง
"คารวะท่านลุงท่านป้า" กล่าวทักทายชิงหยวนและชิงฮูหยิน
"ตามสบายเถิดหลานชาย" ชิงหยวนผายมือให้แม่ทัพหนุ่มนั่งลงข้างๆ ตน "ขอบใจมากที่ช่วยดูแลหลินเอ๋อร์"
"เรื่องเล็กน้อย ท่านลุงอย่าได้ใส่ใจ อีกอย่าง นางก็เป็นคู่หมั้นของข้า การที่ข้าดูแลนางก็สมควรแล้วขอรับ" มู่หลิ่งเหวินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง สร้างความพึงพอใจให้แก่ชิงหยวนและชิงฮูหยินไม่น้อย ผิดกับชิงหลินที่ค้อนให้ทันทีเมื่อเห็นเขาชำเลืองมองมา
"จริงสิ ช่วงนี้เจ้าติดภารกิจอันใดหรือไม่" ชิงหยวนเอ่ยถามเสียงเครียด
"ช่วงนี้มีเพียงการฝึกทหารของจวนแม่ทัพเท่านั้นขอรับ" แม่ทัพหนุ่มตอบตามจริง เพราะเหตุนั้นจึงมีเวลามาคอยตามตื๊อคู่หมั้นได้เกือบทุกวัน
"อืม เช่นนั้นลุงขอฝากหลินเอ๋อร์และทุกคนให้เจ้าช่วยดูแลให้หน่อยจะได้หรือไม่"
"ย่อมได้แน่นอนขอรับ แล้ว..."
"ลุงจะนำหน่วยพยัคฆ์ดำไปหุบเขากินคนเพื่อตามหาเต่ามังกร" ชิงหยวนเฉลยคำตอบให้แม่ทัพหนุ่มฟังอย่างมิคิดจะปกปิด
"หุบเขากินคน? เต่ามังกร? ข้าเคยได้ยินมาว่าหุบเขากินคนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย แล้วเต่ามังกรจะอยู่ที่นั่นจริงหรือขอรับ" เขาถามคล้ายมิเชื่อ
"ลุงรู้ แต่ผู้ที่แจ้งเรื่องนี้ให้ลุงทราบก็คือหลินเอ๋อร์ หาใช่ผู้ใดไม่" ชิงหยวนยิ้มตอบ ไม่คิดติดใจสงสัยในคำบอกกล่าวของบุตรี หากนางบอกว่ามี มันก็ต้องมี หากนางบอกว่าใช่ มันก็ต้องใช่
ชิงหลินเสมองไปทางนั้นทีทางนี้ที ไม่ใส่ใจสายตาของเขาที่จ้องมองมา ทำเหมือนไม่ได้อยู่ในวงสนทนานี้ด้วย
"อย่างนี้นี่เอง ข้าขออวยพรให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น และท่านลุงกลับมาอย่างปลอดภัยขอรับ" มู่หลิ่งเหวินกล่าวอวยพรด้วยความจริงใจ
"อืม ขอบใจเจ้ามากหลานชาย" ชิงหยวนตบบ่าแม่ทัพหนุ่มอย่างสนิทสนม
ระหว่างที่สนทนากันอยู่
จู่ๆ เจ้าพยัคฆ์น้อยก็วิ่งเข้ามาในห้องโถง ตรงดิ่งมาหาหลินหลินที่นั่งอยู่ข้างหญิงงามที่นางเรียกว่าท่านแม่ มันเงยหัวกลมๆ เล็กๆ พร้อมกับเปล่งเสียงร้องทักนางดังก้อง "หลินหลิน...กลับมาแล้ว ฟานฟาน...คิดถึง...คิดถึง"
"ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ เป็นความผิดของข้าเอง" เสี่ยวอี้หอบหายใจ คุกเข่ากับพื้นพลางก้มหน้าลงมือประสานกันไว้ข้างหน้า
"ลุกขึ้นเถิดเสี่ยวอี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง" นางกล่าวกับเสี่ยวอี้แล้วก้มลงอุ้มเจ้าตัวป่วนขึ้นมาไว้บนตัก ก่อนจะถามมันทางจิต "รีบร้อนมาหาข้า มีอะไรหรือ"
เจ้าพยัคฆ์น้อยเงยหัวกลมๆ เล็กๆ จ้องตาหลินหลินนิ่ง ร้องแจ้งข้อความด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตัวอันตราย หุบเขา...กินคน กลัวกลิ่น...ฟานฟาน ทุกคน เสื้อผ้า...ถูถู มีกลิ่น...ฟานฟาน ปลอดภัย...ปลอดภัย"
ความจริงเกี่ยวกับเจ้าพยัคฆ์น้อยที่แม้แต่ชิงหลินก็ไม่รู้คือ มันสามารถล่วงรู้อนาคตในบางครั้ง และเป็นดั่งขุนพลที่ทรงอำนาจเหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง มีเพียงมังกรฟ้าเป็นราชาที่มันยอมศิโรราบให้ และนั่นเป็นเหตุผลที่มันไม่ชื่นชอบแม่ทัพหนุ่ม เพราะมันคิดว่าแม่ทัพหนุ่มคือคู่แข่งของมันนั่นเอง
"หือ? หากเสื้อผ้าทุกคนมีกลิ่นของเจ้าติดตัว จะแคล้วคลาดจากสัตว์ร้ายและอันตรายทั้งปวง?" หญิงสาวสรุปคำพูดของเจ้าพยัคฆ์น้อย
"ไม่ใช่ ไม่ใช่ แค่สัตว์ร้าย...แค่สัตว์ร้าย" เจ้าพยัคฆ์ส่ายหัว แก้ไขความเข้าใจผิดๆ ของนาง
"อืม แค่สัตว์ร้ายอย่างเดียวนะ ขอบใจมาก ฟานฟานของข้าเก่งที่สุดเลย" ชิงหลินส่งยิ้มให้พลางลูบหัวกลมๆ เล็กๆ ของมันอย่างรักใคร่เอ็นดู ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องการกระทำประหลาดๆ ของนางกับเจ้าพยัคฆ์น้อยเลย
"ท่านพ่อ จะออกเดินทางเมื่อใดหรือเจ้าคะ" บุตรสาวที่เงยหน้าขึ้นมาถามเป็นครั้งแรกพลันชะงัก เมื่อเห็นทุกคนมองตัวเองอยู่
"เอ๊ะ หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือเจ้าคะ ทำไมจึงมองข้าแปลกๆ" ชิงหลินถามอีกครั้ง พลางยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าตัวเองประหนึ่งหารอยเปื้อนบนใบหน้า
"เอ่อ...ไม่มีอันใด พ่อจะออกเดินทางยามเหม่าวันพรุ่ง" ชิงหยวนปรับสีหน้าให้เป็นปกติยามกล่าวกับบุตรี ทั้งที่มีคำถามอยากจะถามนางมากมาย
"หลินเอ๋อร์ เจ้าพยัคฆ์น้อยบอกอันใดแก่เจ้าหรือ" เป็นมู่หลิ่งเหวินที่เอ่ยถามด้วยรู้ว่านางสามารถใช้จิตสื่อสารกับเจ้าพยัคฆ์น้อยได้แล้ว และที่คฤหาสน์แห่งนี้ก็ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าความลับของนางจะรั่วไหล
"หือ? จริงหรือหลินเอ๋อร์" ชิงฮูหยินเอ่ยถามขึ้นบ้าง
"เอ่อ...ท่านพ่อ พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางลูกขอพบทุกคนก่อน จะได้หรือไม่เจ้าคะ" ผู้เป็นบุตรสาวไม่ตอบคำถามมารดา แต่หันไปขออนุญาตบิดาแทน
"อืม ได้สิ แต่เหตุใดจึงต้องพบทุกคน" ชิงหยวนมิวายสงสัย
"ลูกมีของเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้ทุกคนเจ้าค่ะ" นางตอบยิ้มๆ ทิ้งไว้เป็นปริศนาให้สองบุรุษหนึ่งสตรีคาดเดาไปต่างๆ นานา
ยามซวี ณ เรือนหยกฟ้า
หลังจากกินอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ชิงหลินขอตัวกลับมายังเรือนของตัวเองเพื่อทำภารกิจบางอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ ส่วนแม่ทัพหนุ่มก็อยู่สนทนากับบิดาและมาดาของนางที่ห้องโถงต่อ
"ท่านลุงท่านป้า ข้ามีเรื่องปรึกษาขอรับ" แม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างจริงจัง
"มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถิด คงจะสำคัญมากสินะ หลานชายถึงได้จริงจังนัก" ชิงหยวนเย้าแม่ทัพหนุ่ม ขณะที่มือขวาก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
"ข้าอยากปรึกษาหารือเรื่องการแต่งงานของข้ากับหลินเอ๋อร์ขอรับ"
ชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองฮูหยิน ก็เห็นนางยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาเบิกโต ไม่รู้ว่าตกใจหรือดีใจกันแน่ "ดูหลานชายจะรีบร้อนเหลือเกิน มีเรื่องอันใดรบกวนจิตใจเจ้าหรือ"
"เรื่องนั้น..."
"หรือว่าจะเกี่ยวกับองค์รัชทายาท" ชิงหยวนชิงตอบเสียเอง
"ท่านลุงทราบ?"
"อืม ถึงจะไม่มั่นใจ แต่คิดว่าผู้ที่ทำให้หลานชายร้อนรุ่มกลุ้มใจได้ คนผู้นั้นต้องมียศมีอำนาจเหนือกว่าเป็นแน่ และองค์รัชทายาทก็คือชายผู้นั้น" ชิงหยวนกล่าวอย่างมีเหตุผลและตรงจุด ซึ่งแม่ทัพหนุ่มก็ทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ ด้วยเป็นจริงตามที่ผู้อาวุโสกล่าวมาทุกประการ
"เจ้าวางใจเถิด หลินเอ๋อร์หมั้นหมายกับเจ้า ช้าเร็วสุดท้ายก็ต้องตบแต่งให้เจ้า จะแปรเป็นอื่นได้อย่างไร" ชิงฮูหยินให้คำสัญญากลายๆ
"ขอบคุณท่านลุงท่านป้าขอรับ" คนฟังยิ้มออกกับคำสัญญาแบบอ้อมๆ ของว่าที่แม่ยาย
"สบายใจขึ้นแล้วสินะ ส่วนเรื่องงานแต่งไว้ลุงกลับมาแล้วค่อยคุยกันอีกที ดีหรือไม่" ชิงหยวนเย้าอีกฝ่าย
"ขอรับท่านลุง" ความกังวลคลายลงสองส่วน อีกแปดส่วนที่เขาคิดว่ายากระดับสูงสุดก็คือ การเอาชนะใจคู่หมั้นที่จนป่านนี้ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้