เจ้าพยัคฆ์น้อยสะบัดตัวออกจากการกอดของเด็กน้อย ย้ายตัวกลมๆ มานั่งบนตักของหลินหลินทันทีอย่างหวงแหน มันเงยหัวกลมๆ เล็กๆ มองเจ้าร่างยักษ์ที่ยืนกอดอกมองอยู่ข้างหัวเตียงด้วยความไม่พอใจ เพราะมันเห็นเจ้าร่างยักษ์รังแกหลินหลินของมันมาตลอดทาง
"ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"
"ถูกโบยจนสลบยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือ" มู่ฮูหยินบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ มองหญิงสาวที่แย้มยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้ต้องกังวลใจ
"จริงด้วยขอรับ ท่านแม่ตามหมอมาดูแผลให้พี่หลินเอ๋อร์ก่อนดีหรือไม่ขอรับ" คุณชายน้อยออกความเห็น
"ดี! เจ้าไปตามหมอมาเร็วเข้า อย่าได้ชักช้า" มู่ฮูหยินหันไปออกคำสั่ง
"เจ้าค่ะฮูหยิน" บ่าวนางหนึ่งรับคำสั่งแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
โครก!
เสียงท้องของใครบางคนดังขึ้น เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี
"หิวแล้ว...หิวแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยรีบร้องบอกหลินหลิน เมื่อเห็นทุกสายตามองมาที่มัน
"ฮึ เจ้าตัวตะกละ" มู่หลิ่งเหวินแค่นเสียงว่าเจ้าพยัคฆ์น้อย
"ฮื่ออออ หิวแล้ว...หิวแล้ว ฟานฟาน...หิวแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยขู่เจ้าร่างยักษ์ครู่หนึ่ง แล้วหันมาอ้อนหลินหลินต่อ
"สงสัยมันจะหิวแล้ว ปกติมันกินอันใดหรือ" มู่ฮูหยินเอ่ยถาม
"นมแพะกับเนื้อไก่สดเจ้าค่ะ" คนถูกถามตอบพลางลูบหลังมัน
"งั้นหรือ เจ้าสามคนไปนำนมแพะกับเนื้อไก่สดและอาหารสำหรับสามคนมาที่เรือนนี้" มู่ฮูหยินเหลือบมองบุตรทั้งสองก่อน แล้วจึงหันไปสั่งการบ่าวหญิงทั้งสาม
ราวหนึ่งเค่อทุกอย่างก็พร้อมสรรพ รวมถึงหมอฝีมือดีที่มาถึงก็ตรงเข้าไปตรวจชีพจรนางทันที
หมออาวุโสมองข้อมือสลับกับใบหน้าจิ้มลิ้มของนาง คิ้วดำแซมขาวขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความประหลาดใจ เท่าที่ทราบนางบาดเจ็บหนักมิใช่หรือ เหตุใดชีพจรจึงเต้นปกติ สีหน้าที่ควรซีดขาวล่ะ และอาการข้างเคียงเช่นไข้ขึ้นหายไปไหน ช่างประหลาดเสียจริง
"มีอันใดหรือท่านหมอ" มู่ฮูหยินเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของหมออาวุโส
"เอ่อ...ขอข้าดูบาดแผลของนางได้หรือไม่ขอรับ"
"ไม่ได้!" ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าคู่หมายปฏิเสธเสียงแข็ง ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนตึงขึ้นหลายส่วนจนหมออาวุโสนึกหวั่น
"หากไม่ได้ตรวจบาดแผลแล้วท่านหมอจะเขียนใบเทียบยาได้อย่างไร" มู่ฮูหยินถามบุตรคนโต
"ข้ารู้ แต่ว่านางเป็นสตรี จะให้บุรุษเห็นเรือนร่างของนางมันเหมาะสมแล้วหรือขอรับ" แม่ทัพหนุ่มให้เหตุผล
"แต่บุรุษที่เจ้าว่าเป็นหมอนะ ไม่ใช่บุรุษกักขฬะที่ไหน"
"แม้จะเป็นเช่นนั้นข้าก็ยอมไม่ได้ ท่านหมอเชิญท่านกลับไปเถิด" เขายืนยันหนักแน่นแล้วเอ่ยปากไล่เสียงเข้ม
"ท่านไม่ยอม แต่ข้ายอม"
ทุกคนหันขวับไปมองเจ้าของเสียงด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน มีเพียงเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นั่งมองคนโน้นทีคนนี้ที เพราะไม่เข้าใจว่าคนเหล่านั้นพูดอะไรกัน
ส่วนแม่ทัพหนุ่มหน้าดำมืดจนดูเหมือนเทพแห่งสงครามไปแล้ว ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองคู่หมายด้วยความขุ่นเคืองที่นางกล้าแย้งคำพูดของตน แต่นางไม่สนใจ ซ้ำยังหันมากล่าวกับหมออาวุโส "เชิญท่านหมอตรวจต่อเถิดเจ้าค่ะ"
"อาเหวินพาเฟิงเอ๋อร์กลับไปก่อนดีหรือไม่ แม่จะดูแลหลินเอ๋อร์เอง" มู่ฮูหยินกล่าวกับบุตรคนโต
"ข้าจะอยู่ที่นี่ขอรับ"
"หากพี่ใหญ่อยู่ ข้าก็จะอยู่ด้วยขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงตัวน้อยไม่ยอมน้อยหน้าพี่ชาย
"หากท่านอยากอยู่ที่นี่นักเชิญตามสบายเลย ข้าจะขอเป็นคนไปเองเจ้าค่ะ" ชิงหลินกล่าวพร้อมกับอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยทำท่าจะเดินออกไป
"ก็ได้ๆ ข้ายอมไปแล้ว" คนดื้อรั้นจนถึงเมื่อครู่รีบยกมือยอมแพ้ เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของนาง
มู่หลิ่งเหวินเดินออกมายืนรออยู่หน้าห้องพร้อมน้องชายอย่างอิดออดเล็กน้อย พอใจเย็นลงก็หวนนึกถึงเหตุการณ์คราวที่นางเอ่ยปากขอยกเลิกการเป็นคู่หมายกับตนขึ้นมา สีหน้าท่าทางจริงจังของนางเหมือนคราวนี้ไม่ผิดเพี้ยน
เพียงแต่ความรู้สึกที่มีต่อถ้อยคำคราวนั้นของมู่หลิ่งเหวินไม่มีความหมายอันใดเป็นพิเศษ นอกจากหงุดหงิดและผิดหวังเล็กน้อย เพราะความรักและความหลงใหลที่นางมีให้นั้นมากมายเกินไปจนรับไม่ได้ และเขามองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลน่ารำคาญ จึงคอยหลบเลี่ยงและปฏิเสธเรื่องการหมั้นมาโดยตลอด
อยู่มาวันหนึ่งเมื่อนางเอ่ยปากขอยกเลิกการเป็นคู่หมายด้วยตนเอง แม้จะรู้สึกยินดี แต่ท่าทางเย็นชาและเมินเฉย ดวงตากลมโตที่มองมามีเพียงความว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ คล้ายเขาพูดคุยกับคนแปลกหน้า เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดและผิดหวังจนถึงขั้นอยากจะเอาชนะนาง จึงได้คอยตามตื๊อและไม่ยอมเอ่ยปากบอกบิดามารดาถึงเรื่องที่เคยรับปากนางไว้ แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาเองที่ตกลงไปในหลุมเสน่หาของนางจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น
"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ อาจารย์หูมาขอพบคุณหนูชิงขอรับ" พ่อบ้านใหญ่ซือฝูรายงาน
"อาจารย์หู? นี่นางไปสนิทสนมกับคนผู้นั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน กลับไปบอกอาจารย์หูว่านางกำลังพักผ่อน วันหลังค่อยมา" แม่ทัพหนุ่มปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า
"ขะ...ขอรับ" พ่อบ้านใหญ่ซือฝูโค้งคำนับแล้วรีบจากไปทันที
"น้องเล็กจงเล่ารายละเอียดมา อย่าคิดปิดบังพี่ใหญ่" เขาหันมากดดันน้องชาย เท่าที่ทราบนางมีโอกาสพบปะพูดคุยและเรียนวิชาศิลปะกับอาจารย์ท่านนี้เพียงสองครั้ง แล้วเหตุใดคนผู้นั้นจึงกล้าขอมาเยี่ยมเยียนนางดั่งคนที่คุ้นเคยและสนิทสนมกันเช่นนี้
"ได้ขอรับ เรื่องมีอยู่ว่า..." คุณชายน้อยเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้พี่ชายฟังอย่างละเอียด เรื่องที่ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะ รวมถึงความชื่นชมที่หูเอ้าเทียนมีต่อนาง ซ้ำยังพูดเชื้อเชิญให้นางไปเยี่ยมชมสำนักศิลปะหลิ่งจืออีกด้วย
"พี่ใหญ่ ท่านโกรธข้าหรือ" มู่หลิ่งเฟิงถามพี่ชายอย่างกังวล เมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าเหมือนโกรธแค้นสิ่งใดอยู่
"อย่ากังวลไปเลย พี่ใหญ่ไม่ได้โกรธเจ้า" เขาย่อตัวกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขวาลูบศีรษะน้องชายเบาๆ เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของนาง ที่แสดงความรู้ความสามารถมากไปจนเขาเชื่อว่า หากผู้ใดได้ประสบเช่นเดียวกับหูเอ้าเทียนก็คงมีอาการไม่ต่างกัน
"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินเชิญท่านให้เข้าไปด้านในเจ้าค่ะ" สาวใช้นางหนึ่งเข้ามารายงาน
"พี่ใหญ่ ไปเถิดขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงแย้มยิ้ม จับแขนพี่ชายแล้วดึงเข้าไปในห้อง
เมื่อเข้ามาในห้องมู่หลิ่งเหวินเห็นหมออาวุโสกำลังเขียนใบเทียบยาอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง ส่วนมารดาก็นั่งอยู่ข้างชิงหลิน ซึ่งมีเจ้าพยัคฆ์น้อยคอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
"จัดซื้อยาตามที่เขียนให้นี้ ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว และทำตามขั้นตอนที่ข้าเขียนอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้หายเร็วขึ้นขอรับ" หมออาวุโสยื่นใบเทียบยาให้เทพสงครามแทนที่จะเป็นมู่ฮูหยิน สองมือเหี่ยวย่นตามวัยสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น มือหนารับใบสั่งยามาถือไว้แล้วกล่าว
"อ้อ ปิดหูปิดตาและปิดปากให้สนิท หากมีใครถามถึงเรื่องในวันนี้ เข้าใจหรือไม่" น้ำเสียงราบเรียบที่ฟังอย่างไรก็คิดได้เพียงว่าเป็นคำขู่ ทำให้หมออาวุโสและสาวใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์เสียวสันหลังเหงื่อแตกด้วยความหวาดกลัว
"นางทั้งสี่ไว้ใจได้และยังรอบคอบคล่องแคล่ว ไม่มีอันใดต้องกังวล" เมื่อเห็นท่าทีกังวลเกินเหตุ มู่ฮูหยินจึงกล่าวให้บุตรชายสบายใจ
แม้จะได้รับการยืนยันหนักแน่นจากมารดา แต่มู่หลิ่งเหวินยังคงกังวลใจอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องรอยสักรูปมังกรบินสีฟ้าบนแผ่นหลังของคู่หมาย ที่มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดในแคว้นฉีเคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญยามนี้เริ่มมีผู้รู้ความลับของนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหวั่นใจว่าความลับจะถูกเปิดเผยในไม่ช้านี้เพราะความเลินเล่อของนาง
"ขออภัยเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านป้าและทุกคนต้องลำบาก" ชิงหลินขอโทษมู่ฮูหยิน ความจริงนางอยากให้สาวใช้คฤหาสน์สกุลชิงมาคอยดูแลมากกว่า แต่เพราะไม่อยากให้บิดามารดารู้ จึงต้องพลอยปิดบังทุกคนที่สกุลชิงไปด้วย
"ลำบากอันใดกัน เจ้าก็เหมือนคนในครอบครัว อย่าคิดมากเลย" มู่ฮูหยินลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่
"พี่หลินเอ๋อร์ ข้าจะคอยดูแลท่านเองขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงอาสาด้วยท่าทางแข็งขัน
"ขอบใจน้องเฟิงเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว" ชิงหลินส่งยิ้มหวานพลางขยิบตาให้ คุณชายน้อยถึงกับหน้าแดงด้วยความเก้อเขิน
ผิดกับคู่หมายที่รู้สึกหงุดหงิดและริษยาตาร้อน ยิ้มหวาน? แล้วยังขยิบตาให้? สตรีดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน! ที่สำคัญเหตุใดนางไม่ปฏิบัติกับตนเช่นนี้บ้าง มันน่าน้อยใจนัก!
"หิวแล้ว...หิวแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยส่งเสียงบอกหลินหลิน
"เอ่อ...ท่านป้า คือ...ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินกล่าวกับมู่ฮูหยิน ความจริงนางยังไม่ค่อยหิวเท่าไร แต่สงสารเจ้าพยัคฆ์น้อย
"นั่นสินะ นี่ก็ยามซื่อแล้ว เจ้าลุกไหวหรือไม่" มู่ฮูหยินเอ่ยถาม
"ไหวเจ้าค่ะ" ตอบแล้วก็ลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกพองาม ตัวงอเล็กน้อยเพื่อตบตาทุกคน ยกเว้นมู่หลิ่งเหวินกับเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ยิ้มน้อยๆ ขบขันกับการแสดงละครตบตาของนาง
"ขอบคุณท่านป้า ขอบใจน้องเฟิงเอ๋อร์" ขอบคุณทั้งสองที่ช่วยประคองมาที่โต๊ะอาหาร โดยมีสองพี่น้องนั่งลงขนาบข้างทันทีคล้ายกลัวว่าจะมีใครมาแย่ง ทำเอามู่ฮูหยินส่ายหน้าระอากับการกระทำคล้ายเด็กของบุตรชายทั้งสอง โดยเฉพาะบุตรชายคนโต
"ท่านป้าไม่อยู่กินด้วยกันหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถาม
"พวกเจ้ากินกันเถิด ป้ายังมีงานค้างอยู่ ขาดเหลืออันใดขอให้บอก อย่ามัวแต่เกรงใจ ถือเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าอีกแห่งก็แล้วกัน เข้าใจหรือไม่" มู่ฮูหยินกล่าว
"ขอบคุณท่านป้า หลินเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินค้อมศีรษะขอบคุณด้วยความตื้นตันใจ
"พวกเจ้าจงดูแลหลานข้าให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เข้าใจหรือไม่" มู่ฮูหยินหันไปสั่งการกับบ่าวหญิงวัยละอ่อนเสียงเข้ม
"รับทราบเจ้าค่ะ" ทั้งสี่ตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
"เช่นนั้นป้าขอตัว แล้วค่ำๆ จะมาเยี่ยมเจ้าใหม่" มู่ฮูหยินกล่าวจบก็หมุนกายอวบอิ่มจากไปพร้อมหมออาวุโส มีบ่าวสองคนแยกไปต้มยาที่ท่านหมอนำมาด้วยตามคำบอกเล่าของบ่าวที่ไปตาม ส่วนอีกสองคนยังรั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าเรือนจันทรา
ทางฝั่งเจ้าพยัคฆ์น้อยสนใจแต่นมแพะกับเนื้อไก่สดตรงหน้า มันตั้งหน้าตั้งตาเลียนมแพะสลับกับขย้ำฉีกกินเนื้อไก่อย่างหิวโหย เรียกรอยยิ้มขบขันระคนเอ็นดูในความน่ารักของมันจากทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี
"พี่หลินเอ๋อร์ ลองชิมไก่ตุ๋นโสมนี่ดูสิขอรับ รสชาติดีทีเดียว" มู่หลิ่งเฟิงคีบเนื้อไก่ตุ๋นใส่ในถ้วยข้าวของว่าที่พี่สะใภ้
"ขอบใจน้องเฟิงเอ๋อร์ ผัดผักสามอย่างนี่ก็อร่อยดี ลองชิมดูสิ" นางคีบผัดผักใส่ชามให้เด็กน้อยบ้าง "ยื่นชามมาทำไมเจ้าคะ" ก่อนจะแกล้งถามคู่หมายที่จู่ๆ ก็ยื่นถ้วยข้าวตัวเองมาตรงหน้านาง แต่เขากลับพยักพเยิดไปทางอาหารที่อยู่บนโต๊ะแทน
"จานนี้หรือเจ้าคะ" หญิงสาวชี้ไปที่เนื้อไก่ตุ๋นโสม แต่เขาส่ายหน้า
"อย่างนั้นจานนี้?" นางชี้นิ้วไปที่หมูผัดเปรี้ยวหวาน ทว่าเขาก็ส่ายหน้าอีก ก่อนจะชี้ไปที่เสี่ยวหลงเปา "อย่างนั้นก็จานนี้?" นางเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมานิดๆ กับความเรื่องมากของเขา แต่เขาก็ยังส่ายหน้าอีกครั้ง พร้อมกับเสียงทอดถอนใจคล้ายหงุดหงิด
"เช่นนั้นท่านก็คีบกินเองเถิดเจ้าค่ะ!" ชิงหลินหมดความอดทน ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำด้วยความหงุดหงิด โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ใช่ คนเขาอุตส่าห์จะตอบแทนที่ช่วยไว้เสียหน่อยยังจะเรื่องมากอีก แต่ไหนเลยที่มู่หลิ่งเหวินจะยอมแพ้ ถ้วยข้าวยังคงอยู่เบื้องหน้านางอย่างอดทน พร้อมด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งและดวงตาที่มีแววตัดพ้อ
"พี่หลินเอ๋อร์ ลองคีบผัดผักสามอย่างให้พี่ใหญ่สิขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงยกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบ
"นี่เจ้าค่ะ!" นางจึงทำตามที่เด็กน้อยแนะนำ คีบผัดผักลงในถ้วยข้าวให้เขาด้วยใบหน้างอง้ำ แต่พอเห็นเขายิ้มแล้วดึงถ้วยข้าวกลับไปคีบผัดผักเข้าปากเคี้ยวอย่างมีความสุข หัวใจดวงน้อยก็พลันอ่อนยวบ จากที่หงุดหงิดก็เปลี่ยนเป็นขบขันระคนระอาใจกับความเอาแต่ใจและชอบเอาชนะของผู้ชายตัวโตคนนี้ โดยมีสายตาเจ้าเล่ห์ที่ไม่น่าจะมีได้ในเด็กวัยแปดขวบมองอยู่ตลอด
หลังมื้ออาหารผ่านไป ยามนี้ชิงหลินตกที่นั่งลำบาก ใบหน้าจิ้มลิ้มเหยเกเหมือนจะร้องไห้ สายตามองคู่หมายอย่างขอความเห็นใจ
"ไม่ดื่มได้หรือไม่เจ้าคะ" นางพยายามต่อรองสุดแรง พลางมองถ้วยยาสีขาวล้วนที่มีน้ำสีดำสนิท ทั้งยังส่งกลิ่นฉุนชวนอาเจียนลอยเข้าจมูกทุกครั้งที่หายใจเข้า นี่มันยาพิษชัดๆ! นางโอดครวญในใจ
"ไม่ได้! รีบดื่มเร็วเข้า" แม่ทัพหนุ่มปฏิเสธเสียงดุ โดยถ้วยยายังคงจ่อตรงริมฝีปากอวบอิ่มที่เม้มสนิม
"แต่มันขม ข้าไม่ชอบ" ชิงหลินแย้ง ไม่ยอมดื่มง่ายๆ
"น้องเล็ก เจ้าออกไปก่อน บอกทุกคนให้ออกไป แล้วปิดประตูด้วย" ร่างหนาลดถ้วยยาลง หันไปกล่าวกับน้องชายที่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ นาง
"ขอรับพี่ใหญ่" มู่หลิ่งเฟิงรีบทำตามอย่างรวดเร็วจนชิงหลินคัดค้านไม่ทัน ซ้ำยังคว้าตัวเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นปูพรมสีท้องฟ้าออกไปด้วย
"ทำไมต้องให้ทุกคนออกไปด้วยเจ้าคะ" ชิงหลินเริ่มใจคอไม่ดี
"รีบดื่มเสียก่อนที่ยาจะเย็น" มือหนายกถ้วยยาขึ้นจ่อริมฝีปากอวบอิ่มอีกครั้ง
"ท่านวางไว้ก่อนเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะดื่มเอง" หญิงสาวยังคงดื้อดึงพร้อมกับเบือนหน้าหนี
"จะดื่มดีๆ หรือจะให้ข้าป้อน หืม?" กล่าวจบก็เห็นนางยังนิ่ง เขาจึงยกถ้วยยาขึ้นจดริมฝีปากตนเอง ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องนางที่อยู่ห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนอย่างมีความหมายลึกล้ำยากจะคาดเดา
"ขะ...ข้าจะดื่มเองเจ้าค่ะ" นางละล่ำละลักบอก คว้าถ้วยยาในมือเขามาแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
"อึก ขมปี๋เลย น้ำ...ขอน้ำหน่อยเจ้าค่ะ" ชิงหลินหลับตาปี๋
"อื๋อ? อึก! อื้อ...อ่อยอ้านะ!" (ปล่อยข้านะ!)
นางตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกป้อนน้ำชาด้วยริมฝีปากอุ่น จึงพยายามผลักเขาออกแต่ก็ไร้ผล คล้ายเอาไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุง ศีรษะถูกตรึงด้วยฝ่ามือใหญ่แข็งแรงจนไม่อาจขยับหน้าหนีการรุกรานจากเขาได้
สองมือเรียวเล็กถูกรวบไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงมือเดียว มู่หลิ่งเหวินละเลียดชิมความหวานจากริมฝีปากอวบอิ่มอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ ดุดัน เร่าร้อน และเอาแต่ใจ จนนางแทบขาดอากาศหายใจ เขาถึงยอมปล่อย
ชิงหลินรีบสูดเอาอากาศเข้าปอดทันทีที่เขาปล่อย สองมือเรียวยึดจับอาภรณ์ของเขาแน่น หน้าแดงก่ำ ริมฝีปากเห่อบวมและห้อเลือดเล็กน้อยเพราะการกระทำของเขา
"หายขมแล้วใช่หรือไม่" แม่ทัพหนุ่มกระซิบถามด้วยเสียงที่แหบพร่า และมีอาการหอบเล็กน้อยด้วยแรงเสน่หา ก่อนจะทัดผมที่ตกลงมาให้นางอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน แต่นางกลับผลักอกเขาเต็มแรง แล้วหันหลังให้อย่างแง่งอน จึงไม่เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาก็ซับสีแดงจางๆ ไม่ต่างจากใบหน้านางเท่าใดนัก
"หากครั้งหน้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะอาสาป้อนยาให้เจ้าเอง" เขากล่าวหลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว
"มะ...ไม่ต้อง! ต่อไปข้าจะดื่มเอง ไม่รบกวนท่านอีกเจ้าค่ะ" ชิงหลินรีบหันกลับมาส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมทั้งโบกมือสำทับ สีหน้าฉายความตระหนกชัดเจน
"ก็ได้ แต่ถ้าเจ้ายังดื้อ...ไม่ยอมกินยาดีๆ ละก็ ข้าจะมาป้อนยาให้เจ้าเอง...ทุกวัน" มู่หลิ่งเหวินยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมขู่คู่หมายด้วยเสียงต่ำ จนนางหน้าซีดก่อนจะแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาเขาที่หลุบมองริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างมีเลศนัย
"ข้าต้องไปแล้ว ค่ำๆ จะมาเยี่ยมเจ้าใหม่" สองมือหนาประคองใบหน้าจิ้มลิ้มให้เงยขึ้น ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองนางอย่างรักใคร่และหวงแหน เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้นางแล้วจึงเดินจากไป ปล่อยให้คู่หมายยืนงงพร้อมกับมองตามร่างสูงใหญ่จนลับสายตา
ชิงหลินถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น ยกมือขึ้นทาบอกซ้าย อีกมือเท้ากับพรม ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น นี่นางเป็นอะไร ทำไมใจถึงเต้นแรงไม่ยอมหยุดเสียที หรือว่า...โรคหัวใจของชิงหลินจะกลับมากำเริบอีกครั้ง ไม่น่าใช่ เพราะท่านยมบอกว่านางหายแล้วนี่นา
คุณชายน้อยที่ยืนมองส่งพี่ชาย พอหันกลับมาก็เห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยวิ่งพรวดพราดผ่านหน้าเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทำให้แปลกใจจนกระทั่งเห็นว่าพี่สะใภ้นั่งกองอยู่กับพื้น จึงร้องถามเสียงค่อนข้างดังด้วยความตื่นตระหนก "พี่หลินเอ๋อร์ เป็นอันใดไปขอรับ"
ชิงหลินส่ายหน้าแทนคำตอบ พอดีกับที่เจ้าพยัคฆ์น้อยมาถึงตัว
"หลินหลิน เจ็บหรือ...เจ็บหรือ"
เสียงร้องถามของเจ้าพยัคฆ์น้อยทำให้นางลำบากใจ ด้วยนางเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจูบของเขาถึงทำให้นางรู้สึกแปลกๆ ต่างจากทุกครั้งที่แค่ตื่นเต้นตกใจและไม่ชอบใจที่ถูกเอาเปรียบ แต่ครั้งนี้แตกต่าง ซึ่งนางก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ นับจากนี้นางต้องคอยระวังตัวและอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเพียงแค่นึกถึงใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงอีกแล้ว
"คุณหนู กลับไปพักที่เตียงก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ" หนึ่งในสองสาวใช้เอ่ยถาม พร้อมกับเข้ามาช่วยพยุงนางไปที่เตียงนอน "น้ำชาเจ้าค่ะ" อีกนางรีบรินน้ำชาดอกเบญจมาศส่งให้นาง
"อืม ขอบใจนะ" มือเรียวยกน้ำชาอุ่นๆ ขึ้นจิบสองสามที แล้วส่งถ้วยชาคืนให้สาวใช้คนเดิม
"นอนพักสักนิดดีหรือไม่ขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงถามเมื่อเห็นอาการหน้าซีด ซ้ำยังเหม่อลอยของว่าที่พี่สะใภ้
"อืม" ชิงหลินส่งเสียงพลางเอนกายลงนอนตะแคงหันหน้ามาทางเด็กน้อย สาวใช้จึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้
"นอนนอน หลินหลิน...นอนนอน รีบหาย...รีบหาย กลับบ้าน...กลับบ้าน" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกนาง แล้วมุดเข้าไปในผ้าแพรเรียบรื่นสีฟ้าอ่อนกว่าพื้นพรมหนึ่งส่วน โผล่หัวกลมๆ เล็กๆ ออกมาเกยบนต้นแขนนุ่มนิ่มของนางเช่นทุกครั้ง ก่อนจะหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
"คุณหนู คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าค่ะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ" สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามาปลุกคุณหนูชิง สีหน้าเรียบเฉยแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อคุณหนูชิงก็ยังมิยอมตื่น จนตอนนี้หน้าเรียบเฉยเริ่มบิดเบี้ยว น้ำตาคลอเบ้าพร้อมจะไหลได้ทุกเมื่อ
"อืม" ชิงหลินผู้ตื่นยากยังคงหลับตาพริ้ม ขยับตัวแต่ไม่ยอมลุกจากเตียง
"โธ่...คุณหนู ตื่นเสียทีเถิดเจ้าค่ะ ข้าขอร้อง" สาวใช้เอ่ยเสียงสั่นเครือออกพร้อมกับแรงเขย่าเพิ่มขึ้น แต่คุณหนูกลับมิมีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใด นางจนปัญญาแล้วจึงไปตามคนมาช่วย
"จะตื่นเองหรือต้องให้ข้าปลุก"
เสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาคนตื่นยากเด้งกายขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็วราวกับติดสปริง "พี่เหวิน?" นางเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ กะพริบตามองบุรุษรูปงามที่ยืนกอดอกอมยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วมองอยู่
"อา...เหตุใดจึงรีบตื่นเสียเล่า" แม่ทัพหนุ่มเย้านางเสียงหวาน
"ท่านเข้ามาได้อย่างไรเจ้าคะ" ชิงหลินไม่ตอบ ซ้ำยังย้อนถามด้วยใบหน้างอง้ำ และขุ่นเคืองที่ถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว เรือนนี้ในยามนี้ถูกยกให้เป็นที่พักของนางชั่วคราว เขาน่าจะเกรงใจนางบ้าง
"เพราะความขี้เซาของเจ้าทำให้ข้ายอมเป็นบุรุษไร้มารยาทเช่นนี้" เขารีบแย้งเมื่อเห็นท่าทีขุ่นเคืองและสายตาคล้ายตำหนิของนาง
"ท่านจะโทษว่าเป็นความผิดของข้า?" นิ้วเรียวชี้เข้าหาตัวเอง
"เช่นนั้นจะโทษว่าเป็นความผิดข้าหรือ ย่อมได้ ข้าขอรับไว้ทั้งหมดเองดีหรือไม่"
"ท่านไม่ต้องมาประชดข้าเลย อย่างไรเสียท่านก็ไม่ควรเข้าห้องของสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นนี้!"
ดวงตาคมทรงเสน่ห์กระตุกก่อนจะหรี่มองคู่หมายแล้วเอ่ย "เจ้าอยากออกเรือนกับข้าแล้วหรือ" แม้จะถูกนางตำหนิซึ่งหน้า แต่มู่หลิ่งเหวินก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ ถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ วางมือบนหน้าขาทั้งสอง เชิดหน้ามองใบหน้างอง้ำแล้วเย้าต่อด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
"ข้าพูดเมื่อไรกัน...ว่าอยากแต่งงานกับท่าน" ชิงหลินหันมามองคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ขยับตัวหนีเล็กน้อย แต่นั่นก็มิได้รอดพ้นจากสายตาคมทรงเสน่ห์ มือหนาคว้าหมับเข้าที่เอวคอดแล้วดึงเข้าหาอย่างรวดเร็ว จนร่างเล็กลอยขึ้นมาอยู่บนหน้าขาแข็งแรงในท่านั่งตะแคงข้างเสียแล้ว
"ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!" นางแหวใส่พร้อมทั้งถลึงตา
"อยากให้ข้าปล่อย?" ร่างหนากลับยิ่งกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดนางแน่นเข้าไปอีก
"อุ๊ย! ชะ...ใช่ หากคนอื่นมาเห็นเข้า ข้าจะกล้าสู้หน้าใครได้?"
"จะต้องกังวลไปไย เพราะอีกมินานเจ้าก็ต้อง..." เขากระชับเอวคอดกิ่วจนตัวนางแนบชิดกับอกแกร่ง ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความทะนุถนอม ดั่งนางเป็นสิ่งล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวที่เขาตามหามานาน
"ปละ...ปล่อยก่อนเจ้าค่ะ" ชิงหลินพยายามตั้งสติไม่ให้ถูกปั่นหัวง่ายๆ ออกแรงผลักเขาค่อนข้างแรง พร้อมทั้งทำหน้าจริงจังให้รู้ว่านางเอาจริง
"ย่อมได้ เพียงแต่..."
"แต่อะไรเจ้าคะ"
"ตรงนี้..." แม่ทัพหนุ่มกล่าวพลางพองแก้มข้างหนึ่ง
"ทำไมข้าต้องหอมแก้มท่านด้วย"
"หรือเจ้าอยากให้ข้าเป็นคนลงมือ"
"อย่างไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นเจ้าค่ะ!" ชิงหลินสวนกลับทันควัน ใบหน้างอง้ำและเข้มขึ้นกว่าเดิม
"เช่นนั้นก็นั่งอยู่อย่างนี้แล้วกัน" กล่าวแล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
"ท่าน! ปล่อยนะ ปล่อยสิ ข้าบอกให้ปล่อย!" ร่างเล็กดิ้นรนเพื่อหนีเอาตัวรอด สองมือทั้งผลักทั้งดัน ทั้งแกะทั้งงัดมือปลาหมึกไม่ยอมหยุด อารมณ์โกรธเคืองเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าพยัคฆ์น้อยที่เดินออกไปสำรวจอาณาเขตแห่งใหม่กลับมา
"ปล่อยหลินหลิน นิสัย...ไม่ดี ปล่อยหลินหลิน" มันกระโดดเข้าหาเจ้าร่างยักษ์ แต่กลับถูกจับไว้เสียก่อน มันดิ้นพลิกตัวไปมา สองเท้าหน้าตะกุยตะกายอากาศ หน้าตาบู้บี้ดูน่าขบขัน
"หึๆ สัตว์เลี้ยงกับเจ้าของดุร้ายพอกัน" แม่ทัพหนุ่มมองทั้งสองด้วยความขบขัน จึงถูกคู่หมายซัดผัวะเข้าให้ที่หน้าอกแกร่ง
"อยู่นิ่งๆ สักครู่เถิด ได้หรือไม่" ร่างหนาขอร้อง
"ท่านก็ปล่อยข้าก่อนสิ" หญิงสาวต่อรองกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
"เฮ้อ" แม่ทัพถอนใจยาวอย่างเสียดาย ยอมปล่อยนางให้นั่งลงข้างๆ จากนั้นจึงยื่นเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ขู่ตนตลอดไม่ยอมหยุดให้
"ดูเจ้าไม่ร่าเริง มีเรื่องใดในใจหรือ" แม่ทัพหนุ่มหันมาทางคู่หมาย
"ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่ต้องแยกจากเจ้าพยัคฆ์น้อยเจ้าค่ะ" นางยิ้มเศร้า
"....แค่นั้นหรือ" มู่หลิ่งเหวินถามย้ำ
"เจ้าค่ะ" ชิงหลินยืนยันหนักแน่น
"อย่ากังวลไปเลยข้ากำลังหาทางออกเรื่องนี้อยู่" มือหนาทว่าอบอุ่นบีบไหล่บอบบางเบาๆ ให้นางคลายความกังวลใจ
"จริงหรือเจ้าคะ แล้วทำไมท่านถึงอยากช่วยข้า" แม้จะดีใจแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้
"หากงานนี้สำเร็จ เจ้าจะให้สิ่งใดแก่ข้าเป็นรางวัล" เขาถามหารางวัลแทน
"หากเป็นสิ่งที่ข้าให้ได้ละก็ ข้ายินดีเจ้าค่ะ"
'ที่แท้ก็อยากได้รางวัลนี่เอง'
"หึๆ จำคำพูดวันนี้ของเจ้าไว้ให้ดี อย่าได้กลับคำเด็ดขาด" มู่หลิ่งเหวินกำชับเสียงเข้มแล้วลุกขึ้น ก่อนจะส่งเสียงเรียกบ่าวไพร่ "ใครอยู่ข้างนอกบ้าง"
สองสาวใช้ที่รออยู่ด้านนอกรีบเดินเข้ามาทันที
"ข้าจะไปรอที่ศาลาริมสระบัว เมื่อเสร็จแล้วค่อยให้คนไปตาม" แม่ทัพหนุ่มกล่าวจบก็หันมามองคู่หมายแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินออกไป
หลังจากชำระร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และใส่ยาเรียบร้อยแล้ว มู่หลิ่งเหวินก็กลับมาร่วมกินอาหารและอยู่สนทนากับคู่หมายพักใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับเรือนเมฆา
"คุณหนู หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำมาขอพบเจ้าค่ะ"
"ให้เข้ามาได้" เสียงใสร้องบอกสาวใช้
"คุณหนู" เฟิ่งอิงประสานมือเคารพ
"มาแล้วหรือ ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง แล้วท่านพ่อท่านแม่ล่ะ" นางรัวคำถามใส่ทันทีที่เขาเข้ามา
"นายท่านและฮูหยินสบายดีขอรับ ที่คฤหาสน์เรียบร้อยดี คุณหนูโปรดวางใจ" เฟิ่งอิงรายงานเสียงเรียบ ใบหน้าคมเข้มเย็นชาไร้ความรู้สึก ทั้งยังน่ากลัวในสายตาคนทั่วไป แต่ชิงหลินรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากนั้น แท้จริงเป็นบุรุษที่อ่อนโยน จริงใจ ตรงไปตรงมา และขี้น้อยใจเป็นที่สุด!