webnovel

ตอนที่ 24 การเอาคืนของฟานฟานน้อย2/2

"อืม นั่นสินะ" นางเห็นด้วยกับเจ้าพยัคฆ์น้อยเพราะรู้สึกเพลียๆ อยู่เหมือนกัน

เป็นอีกครั้งที่สามบุรุษต่างสถานะมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวด้วยอัศจรรย์ใจ แม้จะเคยเห็นมาหลายหน แต่ก็ยังทึ่งในตัวนางเสียทุกครั้งไป

"ดึกมากแล้ว เราควรกลับเสียที" ฉีเฟยหลงยืนเต็มความสูง พยักหน้ารับความเคารพจากทั้งสามแล้วจากไป โดยมีแม่ทัพหนุ่มและเฟิ่งอิงตามไปส่งเสด็จหน้าประตูเรือนรับรอง

"เจ้ากลับไปพักเสีย ข้าจะอยู่ดูแลนางเอง" แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับเฟิ่งอิงที่หน้าประตู

"ขอรับ" เฟิ่งอิงรับคำสั่ง มองดูประตูที่ปิดลงช้าๆ ครู่หนึ่งจึงหมุนกายกลับห้องของตนเพื่อชำระร่างกายแล้วกลับมายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูของคุณหนู ไม่ยอมไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว

"เฟิ่งอิงล่ะเจ้าคะ" ชิงหลินเอ่ยถามเมื่อเห็นคู่หมายเข้ามาคนเดียว

"ข้าไล่กลับห้องไปแล้ว ทำไมหรือ" เขาตอบอย่างหงุดหงิด

"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แล้วทำไมท่านยังอยู่นี่"

"เจ้าไล่ข้า?" กอดอกเลิกคิ้วถามนาง ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนตึงขึ้นสองส่วน

"เปล่าเสียหน่อย..." ชิงหลินหลุบตามองมือตัวเอง

"อ้อ เช่นนั้นก็แล้วไป ดึกมากแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะอยู่ดูแลเจ้าเอง" แม่ทัพหนุ่มเข้ามาช่วยประคองคู่หมายให้นอนลงในท่าตะแคงหันหลังให้กำแพง โดยมีเจ้าพยัคฆ์น้อยนอนอยู่ด้านหน้า

ชิงหลินมองดูคู่หมายที่กำลังห่มผ้าให้อย่างลืมตัว ช่างเป็นผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงจริงๆ ขนาดทำหน้าบึ้งก็ยังหล่อ หุ่นก็ดี ทำอะไรก็ดูดีดูหล่อไปหมด สายตาซุกซนสำรวจเขาไปทั่ว จนมาชะงักเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอประกายแพรวพราว มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย

"หลงเสน่ห์ข้าเสียแล้วหรือ" แม่ทัพหนุ่มกล่าวเสียงแหบพร่าชวนให้เคลิบเคลิ้ม โน้มใบหน้าลงมาใกล้ใบหน้าจิ้มลิ้ม สองมือเท้าเตียงเบื้องหน้านาง ส่งสายตาวิบวับพร้อมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างที่ไม่เคยมีสตรีใดได้ยล คล้ายสตรีที่กำลังยั่วยวนบุรุษอย่างไรอย่างนั้น

"ขะ...ข้าเปล่า ท่านอย่าหลงตัวเองไปนักเลย"

"หึๆ เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าบาดเจ็บ ข้าจะปล่อยผ่านไปสักครั้ง รีบพักเสีย พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีก" แม่ทัพหนุ่มดึงผ้าห่มคลุมให้นาง ดับโคมไฟจนเหลือเพียงดวงเดียว จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนบนตั่งยาวที่ห่างราวสิบก้าว แล้วหันหน้ามาทางเตียงนอนของคู่หมาย

ชิงหลินมองเขาอย่างขอบคุณ จะว่าไปแล้วนางยังไม่ได้ขอบคุณเขาที่ช่วยไว้ หากไม่ได้เขา นางอาจตายเป็นรอบที่สองแล้วก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็พลันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ได้มาอยู่ในร่างสาวน้อยคนนี้ มีพ่อแม่ที่รักและห่วงใย ทั้งยังมีคู่หมายที่...ไม่ได้...เรื่องแบบนี้ต้องดูกันยาวๆ

แม่ทัพหนุ่มขยับตัวเมื่อเห็นคู่หมายมองมาทางตน แม้จะเห็นไม่ชัดนักเพราะแสงสว่างอันน้อยนิด แต่เพราะเขาเป็นยอดฝีมือเรื่องนี้จึงง่ายดายยิ่งนัก "นอนไม่หลับหรือ เช่นนั้นให้ข้ากล่อมเจ้านอนดีหรือไม่" เอ่ยถามทีเล่นทีจริง เพราะอยากจะนอนกอดนางไว้ในอ้อมอกใจจะขาด แปลก...นับวันความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

"ไม่ต้องเจ้าค่ะ! ข้าจะนอนแล้ว" ชิงหลินกระแทกเสียงใส่เขา หลับตาเพียงไม่นานก็หลับไปอย่างง่ายรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่านางหลับแล้ว แม่ทัพหนุ่มจึงลุกขึ้นยกเก้าอี้มานั่งใกล้เตียง ดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอดมองนางอย่างรักใคร่ ใช้นิ้วไล้เครื่องหน้าจิ้มลิ้มของนางอย่างแผ่วเบา เริ่มตั้งแต่คิ้วเรียวโก่งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ดวงตากลมโตที่บัดนี้ปิดสนิทจนเห็นขนตาดกหนางอนงามทาบบนผิวหน้านวลเนียนละเอียด จมูกโด่งเชิดนิดๆ เหมาะกับนิสัยดื้อรั้นของนาง

ปากเล็กอวบอิ่มที่ตนรู้ดีว่านุ่มนิ่มหอมหวานเพียงใด แม่ทัพหนุ่มลอบกลืนน้ำลายสัมผัสอุ่นที่ปลายนิ้วทำให้แม่ทัพหนุ่มร้อนรุ่ม เลือดในกายพลันสูบฉีดไปทั่วร่าง ความปรารถนาก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อหวนนึกถึงร่างขาวผ่องนวลเนียนดั่งหิมะกลางฤดูเหมันต์ของนาง ก่อนจะรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็วคล้ายกับสัมผัสไฟที่ร้อนระอุ

"เจ้าช่างร้ายกาจนัก" แม่ทัพหนุ่มพึมพำด้วยเสียงที่แหบพร่า นางจะรู้หรือไม่ว่าตนหลงใหลในตัวนางมากเพียงใด แล้วนางเล่าจะเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ เป็นคำถามที่อยากจะถาม แต่ขณะเดียวกันก็กลัวคำตอบของนาง แม่ทัพหนุ่มถอนใจด้วยความหนักใจ ก่อนจะกลับไปล้มตัวลงนอนที่เดิม

กลางดึกราวยามจื่อ

"นังหนู เฮ้! นังหนู ตื่นๆ ขี้เซาจริงๆ นี่แน่ะ"

เผียะๆ!

"โอ๊ย!...เจ็บๆ" วิญญาณของช่อลดาโอดครวญพลางลูบหน้าผากตัวเอง

"สมควรแล้ว ปลุกยากปลุกเย็นเสียจริง"

"โอ๊ะ! ท่านยม...มาได้ไงคะ" ช่อลดาอุทาน

"ก็มาหาเจ้านั่นแหละ ดีใช่ไหมล่ะ...ที่โดนโบยจนสลบแต่พอฟื้นกลับไม่เจ็บปวด" ท่านยมโอ้อวดความสามารถของตน

"ดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แล้วท่านมาหาข้าเพราะเรื่องแค่นี้หรือ" ช่อลดาย้อนถาม

"เฮอะ เรื่องแค่นี้งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น...ข้าส่งความเจ็บปวดคืนให้เจ้าดีไหม ดูสิ จะยังพูดว่าเรื่องแค่นี้ได้อีกหรือไม่" ท่านยมกอดอกมองช่อลดา ไม่พอใจในคำตอบของเธอ

"ไม่ๆๆ ไม่ดี แบบนี้แหละดีแล้ว" ช่อลดาโบกมือเป็นพัลวัน

"ข้าจะมาบอกเจ้าว่า แม้เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่แผลนี้จะค่อยๆ หายจะหลงเหลือรอยแผลเป็นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา เข้าใจไหม"

"อ้าว ท่านทำให้หายไปเลยไม่ได้หรือ"

"ได้! หากเจ้าไม่กลัวคนจะมองว่าเจ้าเป็นตัวประหลาด หรือภูตผีปีศาจจำแลงมาละนะ"

"อืม เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณที่เตือน" ช่อลดายิ้มแห้งๆ

"อ้อ อีกเรื่องที่ข้าลืมบอกเจ้าเมื่อคราวที่แล้ว"

"เรื่องอะไรคะ"

"รอยสักที่หลังของเจ้า เจ้าคงรู้มาบ้างแล้วจากพยัคฆ์ขาวที่ป่าอาถรรพ์"

"ค่ะ เห็นบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนเทพมังกร"

"ใช่ มนุษย์ที่มีรอยสักมังกรบินสีฟ้าจะมีพลังอำนาจควบคุมเหล่าสรรพสัตว์ในโลกนี้ได้"

"หา! ควบคุมสัตว์ได้ โอ้มายก้อด!" ช่อลดาอุทานด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นทาบอก

'นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ชักจะแฟนตาซีเกินไปแล้ว'

"ทำไม? ไม่ชอบหรือ" ท่านยมเลิกคิ้วถาม

"ไอ้ชอบมันก็ชอบอยู่หรอก แต่ว่า...พรดีเลิศขนาดนี้ คงต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่หนักหนาสาหัสเท่าเทียมกันใช่ไหมล่ะ"

"ถูกต้อง สิ่งแลกเปลี่ยนก็คือ..." ท่านยมกระซิบเบาๆ ข้างหูเธอ

ช่อลดาเริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่น แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

"หวังว่าเจ้าจะใคร่ครวญและไตร่ตรองในการใช้พลังให้จงหนัก มิเช่นนั้น...จะไม่มีใครช่วยเหลือเจ้าได้ แม้แต่ข้า" ท่านยมเตือนช่อลดาอย่างจริงจังด้วยเสียงเข้ม

"ค่ะ ฉันจะระวัง" ช่อลดารับปากพลางถอนใจ 'หากเป็นไปได้ฉันจะไม่ใช้พลังนี้เด็ดขาด'

"ดี ข้าต้องไปแล้ว จงใช้ชีวิตใหม่ให้คุ่มค่าและมีความสุข" เสียงทรงพลังจางหายไปพร้อมๆ กับร่างอันใหญ่โตน่าเกรงขาม

"หลินเอ๋อร์ หลินเอ๋อร์ ตื่นเถอะ"

เสียงทุ้มน่าฟังปลุกให้นางตื่นจากฝัน

"อืมมม เช้าแล้วหรือ" นางเอ่ยเสียงงึมงำ ดวงตากลมโตหรี่ปรือ ปากอวบอิ่มเผยอขึ้นอย่างง่วงงุน ช่างดูเย้ายวนในสายตาของแม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก

"อุ๊ย! ทำอะไรเจ้าคะ" ชิงหลินอุทานด้วยความตกใจ ตาสว่าง ความง่วงหายไปทันที ก่อนจะลืมตามองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่พอใจ เพราะเมื่อครู่เขาฉวยโอกาสหอมแก้มนางเสียฟอดใหญ่

"เป็นความผิดเจ้า เพราะปลุกเท่าไรเจ้าก็มิตื่นเสียที จนข้าต้อง..." แม่ทัพหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง จงใจเว้นวรรคเพื่อดูปฏิกิริยาของนาง ก่อนจะยิ้มพอใจเมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มแดงระเรื่อ แล้วจึงกล่าวต่อ "และมันก็ได้ผลเสียด้วย ไว้ข้าจะทำบ่อยๆ ดีหรือไม่"

"ขอบคุณ! แต่รบกวนปลุกข้าด้วยวิธีธรรมดาดีกว่าเจ้าค่ะ"

"วิธีธรรมดา อืม แทนที่จะหอมแก้ม เปลี่ยนเป็นจุมพิตที่นี่ใช่หรือไม่" แม่ทัพหนุ่มชี้ที่แก้มของนางก่อนจะเลื่อนมาที่ปากเล็กอวบอิ่มของนาง

"ทะ...ท่านออกไปนะเจ้าคะ! ข้าจะเปลี่ยนชุด" ชิงหลินปัดมือของเขาออกแต่ก็วืด เพราะความรวดเร็วราวสายฟ้าของเขาสร้างความขุ่นเคืองให้นางมากขึ้นไปอีก

"หึๆ ก็ได้ แต่สุดท้ายข้าก็ต้องทำแผลให้เจ้าอยู่ดี" แม่ทัพหนุ่มยิ้มให้อย่างผู้ชนะ

"มะ...ไม่ต้องก็ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวพอถึงจวนเสนาบดีมู่แล้วค่อย..."

"ทำเช่นนั้นไม่ได้! รีบล้างหน้าล้างตาเสีย ข้ารอใส่ยาให้อยู่" แม่ทัพหนุ่มรีบคัดค้านเสียงเข้มเมื่อเห็นคู่หมายคิดจะต่อรอง โอกาสดีๆ แบบนี้จะปล่อยผ่านได้อย่างไร หากนางได้รู้ความคิดของเขา มีหวังนางได้โกรธเขายันลูกบวชแน่ๆ

ทางด้านเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ตื่นก่อนราวสองเค่อเดินกลับเข้ามาหาหลินหลิน เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ทัพหนุ่มกำลังช่วยแกะผ้าพันแผลเพื่อใส่ยาใหม่ให้ มันกระโดดขึ้นไปบนเตียง นั่งลงเท้าหน้าเหยียดตรงแหงนหน้ามองไล่ตามมือของแม่ทัพหนุ่มที่วนรอบตัวหลินหลินซ้ำไปซ้ำมาจนมันรู้สึกเวียนหัว ครั้นเจ้าพยัคฆ์น้อยเห็นแผลที่หลังของหลินหลิน ตากลมเล็กสีเทาก็กระตุก พร้อมกับส่งเสียงฮื่อๆ

"เป็นอะไรไปหรือ" ชิงหลินร้องถาม ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ ไม่ได้เป็นเพราะเจ้าพยัคฆ์น้อยแต่เป็นเพราะตอนนี้นางเหลือเพียงซับในสีขาวที่ปกปิดร่างด้านหน้า ส่วนหลังเปลือยเปล่ามีเพียงสายผ้าเล็กๆ สามสายสองข้างผูกยึดกันไว้โดยมีคู่หมายนั่งอยู่ข้างหลัง

"แผลแผล น่ากลัว..น่ากลัว เจ็บไหม...เจ็บไหม" มันร้องถาม ส่งสายตาเจ็บปวดแฝงความรู้สึกผิดให้หลินหลิน

"ข้าไม่เจ็บหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงนะ" นางบอกมันให้สบายใจ

ขณะที่แม่ทัพหนุ่มค่อยๆ ทำแผลให้นางอย่างเบามือ ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่ลงอย่างเจ็บปวด หากเป็นไปได้เขาอยากจะขอรับบาดแผลไว้เองทั้งหมด

"เอาละ เสร็จแล้ว รีบออกเดินทางเถิด" แม่ทัพหนุ่มกล่าวพร้อมกับประคองนางขึ้นมา เจ้าพยัคฆ์น้อยกระโดดลงจากเตียง เดินนำหน้าหลินหลิน

"ท่านแม่ทัพ คุณชาย" เฟิ่งอิงประสานมือเคารพทั้งสอง ก่อนจะเดินตามหลังท่ามกลางความตื่นตะลึงของนางกำนัลทั้งสี่ที่คล้ายเห็นภาพแปลกประหลาดที่ชวนกระอักกระอ่วนใจ

แม่ทัพมู่ประคองกอดคุณชายหยางราวกับเป็นคู่รักกัน กลิ่นอายความหวานฟุ้งกระจายจนแม้แต่เด็กสามขวบยังเข้าใจ นี่มัน...ประหลาดเกินไปแล้ว! หรือท่านแม่ทัพจะเป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ?

"แม่ทัพมู่ คุณชายหยาง" เสี่ยวเกาจื่อประสานมือเคารพ แม่ทัพหนุ่มกับชิงหลินเพียงค้อมศีรษะเล็กน้อย

"องค์รัชทายาทรับสั่งให้ท่านทั้งสองเข้าเฝ้าที่ตำหนักองค์รัชทายาทขอรับ" เสี่ยวเกาจื่อแจ้งข่าวแก่ทั้งสอง

"อย่างนั้นหรือ เชิญเกากงกงนำทาง" แม่ทัพหนุ่มหนุ่มตอบรับด้วยสีหน้าปกติ

"เอ่อ...เช่นนั้นเชิญคุณชายหยางขึ้นเกี้ยวขอรับ" เสี่ยวเกาจื่อหันมาเชิญชิงหลินในคราบคุณชายหยางเริ่น พยายามมองเมินภาพแม่ทัพหนุ่มประคองคุณชายหยางเข้าไปในเกี้ยวสี่คนหามอย่างทะนุถนอมราวกับเป็น...เสี่ยวเกาจื่อหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น

"เอ่อ...ขอบคุณเกากงกง" ชิงหลินขอบคุณเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มบิดเบี้ยวคล้ายคนกำลังเจ็บปวดจนตัวงอแบบพอเป็นพิธี

แม่ทัพหนุ่มที่ทราบความจริงเพียงผู้เดียวหากไม่นับเจ้าพยัคฆ์น้อย เลิกคิ้วเข้มมองคู่หมายซึ่งเล่นละครตบตาขันที ทหารแบกเกี้ยว และสี่นางกำนัลที่ประจำเรือนรับรองด้วยความขบขันระคนชื่นชม การแสดงเป็นคนเจ็บของนางนับว่าใช้ได้เลยทีเดียว เห็นได้จากสีหน้าเห็นอกเห็นใจและสงสารในความโชคร้ายของนางที่ฉายชัดของคนเหล่านั้น

ณ ตำหนักองค์รัชทายาท

ฉีเฟยหลงพร้อมด้วยพระชายาเอกหลิวพร้อมอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อได้รับรายงานจากขันทีว่าแม่ทัพมู่และคุณชายหยางมาถึงหน้าตำหนักแล้ว

"มาแล้วหรือ รีบนั่งลงเถิด" ฉีเฟยหลงผายมืออนุญาตแม่ทัพหนุ่มที่ประคองคู่หมายเอง ไม่ยินยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ ตาคมดุจพญาเหยี่ยวกระตุกวาบด้วยความริษยา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มประสานมือทำความเคารพองค์รัชทายาทและพระชายาหลิวทันทีที่คู่หมายนั่งลงเรียบร้อย จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ นาง ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยก็เดินเข้ามานอนหมอบข้างๆ เก้าอี้ของหลินหลินด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่ร้องขอขึ้นมานั่งบนตักนางเหมือนเช่นทุกครั้งอย่างรู้ความ

ทันใดนั้นเสี่ยวเกาจื่อก็เดินซอยเท้าถี่ๆ เข้ามา สองมือประสานกันอยู่ด้านหน้า

"ทูลองค์รัชทายาท พระสนมจางขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"

"ให้นางกลับไป!" ฉีเฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว

"เอ่อ...ทูลองค์รัชทายาท พระสนมรับสั่งว่าอยากจะกล่าวขออภัยคุณชายหยางถึงเรื่องราวเมื่อวานพ่ะย่ะค่ะ" เสี่ยวเกาจื่อเสี่ยงรายงานอีกครั้ง

"หือ? เช่นนั้นก็ให้นางเข้ามา" ฉีเฟยหลงลดความกราดเกรี้ยวลงสองส่วน

แม่ทัพหนุ่มที่ได้ยินพลันกำหมัดที่วางอยู่บนต้นขาแกร่งแน่น พยายามระงับความโกรธเมื่อได้ยินขันทีเอ่ยนามของสตรีที่บังอาจทำร้ายคู่หมายของตนจนเกือบตาย

ชิงหลินมองไปที่ทางออกด้วยสายตาอ่านยาก ถ้าให้พูดตามจริงแล้วนางไม่ได้โกรธที่พระสนมจางทำโทษนางเท่าไร แต่โกรธเรื่องบทลงโทษที่ใช้กับนางมากกว่า มันรุนแรงเกินไปจนนางเกือบตาย คิดแล้วก็รู้สึกเสียวแปลบที่แผ่นหลังขึ้นมา

ผิดกับเจ้าพยัคฆ์น้อย พอเห็นผู้ที่ทำร้ายหลินหลินเดินนวยนาดเข้ามา มันพุ่งตัวกระโจนเข้าใส่เป้าหมายพร้อมทั้งฝังคมเขี้ยวลงบนท่อนแขนเรียวผ่านอาภรณ์สีชมพูกุหลาบแน่นไม่ยอมปล่อย ท่ามกลางความตกใจของทุกคนรวมทั้งพระสนมจางที่ตกตะลึงในคราวแรก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว

"โอ๊ย! ปล่อยนะ! เจ้าสัตว์เดรัจฉาน ข้าบอกให้ปล่อย! นี่แน่ะๆ" พระสนมจางที่พยายามง้างปากเจ้าพยัคฆ์น้อยแต่ล้มเหลว เลยเปลี่ยนใจมาใช้มืออีกข้างที่กำแน่นทุบตีลำตัวของมันสุดแรงเกิดหลายครั้งติดต่อกัน

"ฮื่ออออ" แม้จะเจ็บแต่เจ้าพยัคฆ์น้อยก็ไม่คิดปล่อย กลับเพิ่มแรงกัดลงไปที่แขนของนางจนจมเขี้ยว

"พวกเจ้ามัวยืนทำอันใดอยู่ มาช่วยนางเร็ว!" ฉีเฟยหลงตวาดลั่น

"พะ...เพคะ" เหล่านางกำนัลรีบเข้ามาช่วยพระสนมจาง ที่บัดนี้ทรุดลงไปอยู่บนพื้นพรมหมดสง่าราศี ใบหน้างามบิดเบี้ยวน้ำตาไหลนอง ที่แขนมีเจ้าพยัคฆ์น้อยกัดไม่ยอมปล่อย

นางกำนัลนางหนึ่งพยายามดึงตัวมันออกแต่ต้องรีบปล่อยเพราะเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดของพระสนมจาง ลองเปลี่ยนเป็นง้างปากมันแต่ก็ไร้ผล ดูเหมือนเจ้าพยัคฆ์น้อยตัวนี้จะแข็งแกร่งกว่าพยัคฆ์ธรรมดาทั่วไป

ฉีเฟยหลงจึงลองให้องครักษ์นายหนึ่งใช้มือง้างปากเล็กๆ ของมัน เพราะคิดว่าแม้มันจะเป็นพยัคฆ์ที่แข็งแกร่งและอันตราย แต่มันก็ยังเป็นเพียงลูกพยัคฆ์ที่อายุยังไม่ถึงสามเดือน ไม่น่าจะเกินความสามารถขององครักษ์ร่างใหญ่ที่สามารถหักท่อนไม้ขนาดเท่าขาเด็กได้ในครั้งเดียว แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม

เสียงร้องไห้ครวญครางที่ดังอยู่ตลอดหยุดลง พร้อมกับร่างของพระสนมที่หมดสติไปเพราะความตื่นตระหนกสุดขีดผสมกับความเจ็บปวด นางกำนัลนางหนึ่งรีบประคองร่างหมดสติไว้

แม่ทัพหนุ่มที่ดูอยู่นานขยับกายหมายจะเข้าไปนำตัวเจ้าพยัคฆ์น้อยออกมา ก็พลันชะงักกับเสียงของคู่หมาย

"ฟานฟาน! ปล่อยพระสนมเดี๋ยวนี้นะ" เมื่อตั้งสติได้ชิงหลินก็รีบร้องสั่งเจ้าพยัคฆ์น้อยด้วยภาษาเสือเสียงดังลั่น

"ฮื่ออออ" เจ้าพยัคฆ์น้อยส่งเสียง มันยังคงกัดไม่ยอมปล่อย แต่หูกระดิกเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

"ฟานฟาน! ข้าบอกให้ปล่อย" ชิงหลินสั่งมันเสียงเข้ม เหลือบมองโฉมงามที่หมดสติเอนกายพิงนางกำนัลแวบหนึ่งอย่างเห็นใจ

เจ้าพยัคฆ์น้อยกลอกตามองหลินหลิน แต่ก็ยังมิยอมถอนคมเขี้ยวออกจากแขน

"ข้าบอกให้ปล่อย! หากเจ้ายังดื้อรั้นไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป" นางขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ปล่อยแล้ว...ปล่อยแล้ว อย่าทิ้ง รักกัน...รักกัน" เจ้าพยัคฆ์น้อยรีบถอนคมเขี้ยวออก หันหน้ามาทางหลินหลินแล้วใช้อุ้งเท้าทั้งสองวางบนหน้าขาของนาง ก่อนจะเหยียดตัวขึ้นยืนสองขา เงยหัวกลมๆ เล็กๆ ที่มีเลือดติดอยู่มุมปากทั้งสองข้างขึ้นมาส่งสายตาออดอ้อนพร้อมน้ำตาที่คลอหน่วยตา

"ทำแบบนี้ทำไม อยากเห็นข้าถูกโบยอีกหรือ" ชิงหลินถอนสายตาจากร่างของพระสนมที่ถูกหามออกไปแล้วกลับมาที่เจ้าพยัคฆ์น้อย ร้องถามเสียงเข้มดุ เมินสายตาออดอ้อนของมัน แต่กลับใช้แขนเสื้อเช็ดคราบเลือดให้มันอย่างเบามือ

"โบย...หลินหลิน...เจ็บเจ็บ นิสัย...ไม่ดี...ใจร้าย โบย...หลินหลิน ฟานฟาน...เกลียด...คนใจร้าย" เจ้าพยัคฆ์น้อยชี้แจงแก่หลินหลิน

"ขอบใจที่โกรธแค้นแทนข้า แต่ต่อไปอย่าวู่วามแบบนี้อีก เข้าใจไหม" ชิงหลินก้มหน้าสบตามัน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ฟานฟาน...เข้าใจแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยตอบรับ

"เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากไหม" ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นมันถูกพระสนมทุบตีหลายที

"ไม่เป็นไร ฟานฟาน...แข็งแรง ไม่เจ็บ...ไม่เจ็บ" เจ้าพยัคฆ์โกหกหลินหลิน เพราะไม่อยากให้นางเป็นห่วง

"จริงหรือ ไหนดูซิ" แกล้งใช้นิ้วจิ้มลำตัวที่โดนทุบของมัน

"ฮื่อ หลินหลิน...ใจร้าย แกล้ง...ฟานฟาน แกล้ง...ฟานฟาน" มันลงจากหน้าขาของหลินหลิน ขดตัวนอนหันหลังให้นางทันที

"อา...ข้าขอโทษ อย่างอนเลยนะ" หญิงสาวขอโทษไปแล้ว แต่มันยังคงนอนนิ่ง

พระชายาหลิวที่ตระหนกในคราวแรก บัดนี้พลันแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าแทน นี่มันเรื่องอันใดกัน คุณชายท่านนี้...พูดคุยกับพยัคฆ์น้อยอยู่ใช่หรือไม่

"อะแฮ่ม คุณชายหยาง เราเสียเวลาไปมากแล้ว รีบเร่งเข้าเถิด" แม่ทัพหนุ่มกล่าวเตือนคู่หมายที่ยังนั่งคุยกับเจ้าพยัคฆ์น้อยจอมก่อเรื่อง ไม่ใส่ใจต่อสายตาใครต่อใครที่จ้องมองอย่างประหลาดใจ

"เอ่อ...โปรดประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหลินอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไว้ในอ้อมอกทันที พลางลุกขึ้นขออภัยองค์รัชทายาทที่ประทับนิ่งคล้ายมิมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นมาก่อน

"ช่างเถิด เราไม่เก็บมาใส่ใจหรอก" ฉีเฟยหลงกล่าว

"ทูลองค์รัชทายาท เรื่องที่..." แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองคู่หมายที่กลับมานั่งที่เดิมแล้วอย่างกังวล

"เจ้าอย่ากังวลไปเลย จะไม่มีผู้ใดแพร่งพรายเรื่องนี้อย่างแน่นอน" ฉีเฟยหลงให้สัญญา

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"

หลังจากมื้ออาหารผ่านไป ขบวนรถม้านำโดยมู่หลิ่งเหวินนั่งบนหลังเจ้าทาเสว่อาชาสีดำ ข้างๆ คือเฟิ่งอิงที่นั่งบนหลังเจ้าไป๋เสวี่ยอาชาสีขาวปลอด ทั้งสองดูสง่างามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ถัดมาเป็นรถม้าของชิงหลินกับเจ้าพยัคฆ์น้อย ปิดท้ายด้วยทหารม้าจากจวนแม่ทัพอีกสิบกว่านาย ก็ได้เวลาเคลื่อนตัวออกจากวังองค์รัชทายาทอย่างช้าๆ

Próximo capítulo