ระหว่างที่เดินไปยังตำหนักของพระชายาหลิว ขันทีน้อยผู้หนึ่งซอยเท้าอย่างรวดเร็วมาหาหัวหน้าขันทีเกาจื่อที่เดินตามหลังชิงหลิน กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้าขันทีก็ซอยเท้าถี่เร็วผ่านนางไป
"ทูลองค์รัชทายาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เสียงร้อนรนของหัวหน้าขันทีหรือเกากงกง ทำให้ฉีเฟยหลงหยุดเดิน
"หือ? เรื่องอันใดหรือ" ฉีเฟยหลงถามเสียงเรียบ
"ดูเหมือนอาชาสวรรค์ทั้งสามกำลังประท้วงพ่ะย่ะค่ะ"
"ประท้วง?" ฉีเฟยหลงทวนคำของขันทีคนสนิท คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ
"พ่ะย่ะค่ะ ผู้ดูแลอาชาสวรรค์แจ้งว่ามันไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ หากปล่อยทิ้งไว้กระหม่อมเกรงว่า..."
"ไปคอกม้าหลังวัง!" ฉีเฟยหลงเสียงเข้มขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาตึงขึ้นสองส่วน นับแต่มาถึงวังก็ล่วงเลยมากว่าสิบสองชั่วยามแล้ว ขืนยังเป็นเช่นนี้อาชาสวรรค์คงเหลือแต่ชื่อ
"หม่อมฉันขอตามเสด็จด้วยได้หรือไม่เพคะ" พระชายาหลิวเอ่ยขออนุญาตเสียงหวาน
"เจ้าแน่ใจหรือ" ฉีเฟยหลงถามเพื่อความแน่ใจ
"เพคะ หม่อมฉันเองก็อยากจะเห็นอาชาสวรรค์สักครั้ง" พระชายาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน ดูงดงามนักในสายตาชิงหลิน
"ได้ ตามใจเจ้า" ฉีเฟยหลงพยักหน้า ก่อนจะหันมากล่าวเป็นเชิงบังคับอีกคน "หยางเริ่น เจ้าก็มาด้วยกันเถิด"
"พ่ะย่ะค่ะ" ชิงหลินค้อมศีรษะลงตอบรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะนางก็ตั้งใจจะหาโอกาสไปคอกม้าอยู่แล้ว
ณ คอกม้าของวังตะวันออก
ชิงหลินถึงกับอึ้งเมื่อได้เห็นคอกม้าที่กว้างใหญ่ผิดกับที่คาดไว้มาก คะเนแล้วคงกินพื้นที่มากกว่าสิบไร่ และที่นางไม่รู้อีกอย่างคือ ฉีเฟยหลงชื่นชอบม้าเป็นพิเศษ ดังนั้นที่นี่จึงมีม้าพันธุ์ดีและหายากมากกว่าสิบตัว มีคนเลี้ยงม้าคอยดูแลตัวต่อตัว ประคบประหงมราวกับไข่ในหิน
"เจ้าเป็นหัวหน้าดูแลอาชาสวรรค์หรือ" ฉีเฟยหลงถาม เมื่อนั่งลงบนพรมในศาลาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฝ้าดูเหล่าอาชา พระชายาหลิวอยู่ด้านขวา ส่วนชิงหลิน ขันที และเหล่านางกำนัลยืนอยู่ด้านนอกศาลา ท่ามกลางแดดร้อนจ้าเพราะล่วงเข้ายามซื่อแล้ว
"ทูลองค์รัชทายาท เป็นกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ"
ชิงหลินมองชายวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่ากับพื้นดินอย่างสนใจ เขามีรูปร่างหนา บึกบึน ผิวคล้ำแดด หน้าตาใจดี แตกต่างจากรูปร่าง
"นำอาชาสวรรค์มาที่นี่" ฉีเฟยหลงสั่งเสียงเข้ม
"เอ่อ...ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมไร้สามารถ นับแต่นำอาชาสวรรค์ทั้งสามมาอยู่ในคอกเรียบร้อย หลังจากนั้นมันก็ไม่ยอมกินอาหาร ซ้ำยังไม่ยอมเชื่อฟังอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ" บุรุษร่างหนากราบทูลด้วยน้ำเสียงร้อนรน ภายในใจหวาดหวั่น กลัวว่าจะทำให้องค์รัชทายาทกริ้ว
"เหลวไหล!" ฉีเฟยหลงตบโต๊ะดังปัง ทำเอาขันทีและเหล่านางกำนัลทรุดลงนั่งคุกเข่า ขณะที่ชิงหลินมองซ้ายทีขวาทีแล้วรีบคุกเข่าตาม
"พระอาญามิพ้นเกล้า!" บุรุษร่างหนาหมอบกับพื้น ร่างหนาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
"องค์รัชทายาท โปรดอย่ากริ้วเลยเพคะ ให้โอกาสชายผู้นี้อีกสักครั้ง หากยังทำผิดซ้ำค่อยลงอาญา เช่นนี้ดีหรือไม่เพคะ" พระชายาเตือนเสียงหวาน
"ก็ได้ เห็นแก่ความมีเมตตาของพระชายา เราจะให้โอกาสเจ้า"
"เป็นพระกรุณายิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ" แม้จะรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ยังไร้หนทาง บุรุษร่างหนาถอนใจยาว รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาครามครัน
"ทูลองค์รัชทายาท"
"มีอันใดอีกเสี่ยวเกาจื่อ" สีหน้ากลับมาเครียดขึงขึ้นอีกครา
"เอ่อ...รายงานแจ้งว่าม้าตัวอื่นๆ พากันประท้วงตามอาชาสวรรค์ทั้งสามด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เกากงกงรีบรายงานด้วยสีหน้าหวาดหวั่นและกังวล
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
"ว่าอย่างไรนะ! ดี ดียิ่งนัก" ฉีเฟยหลงกำมือแน่น พยายามระงับความกริ้วสุดกำลัง ข้ารับใช้ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
"องค์รัชทายาท..." พระชายาหลิวไม่รู้จะกล่าวปลอบอย่างไรดี ได้แต่กุมมือหนาของฉีเฟยหลงไว้
ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด นางกำนัลนางหนึ่งลอบมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อบุรุษรูปงามคล้ายสตรีอุ้มพยัคฆ์น้อยหายไป
'คุณชายหยางหายไป? ตั้งแต่เมื่อใดกัน'
คนถูกนึกถึงแอบหลบออกมาแล้วเดินลิ่วตรงดิ่งไปยังคอกอาชาสวรรค์อย่างรีบร้อน เพราะเป็นห่วงพวกมันที่ไม่ได้กินอะไรเลย ครั้นมาถึงนางก็เห็นอาชาสวรรค์ทั้งสามตัวยืนสงบนิ่ง หันหลังให้กองหญ้าและผลไม้อยู่ภายในคอกไม้สี่เหลี่ยม หลังคามุงด้วยใบไม้ที่คล้ายใบจาก เหมือนกับคอกม้าที่เรือนพสุธา
ด้านหน้าคอกม้ามีทั้งหญ้าแห้ง หญ้าสด ผลท้อ และผลไม้อีกหลายชนิดในสภาพสมบูรณ์ บ่งบอกให้รู้ว่ามันไม่ได้แตะต้องอาหารเหล่านี้เลย
ชิงหลินมัวแต่สนใจอาชาสวรรค์จนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติว่า นอกจากอาชาสวรรค์ทั้งสามที่หันหลังให้อาหารแล้ว ยังมีอาชาตัวอื่นที่ทำตามทั้งสามตัวนั้นอย่างพร้อมเพรียง
"เป็นอะไรไปหรือ ทำไมจึงไม่กินอาหาร"
เสียงร้องถามของชิงหลินเรียกความสนใจจากอาชาสวรรค์ทั้งสามให้หมุนตัวกลับมาแทบจะพร้อมกัน
"เจ้าเองหรือ" อาชาสวรรค์สีทองร้องขึ้น
"อืม ข้าเอง ท่านยังไม่ตอบข้า ทำไมจึงไม่กินอาหาร"
"กินกิน ดีดี" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่นิ่งมานานร้องบอกอาชาสวรรค์
"จะกินเข้าไปได้อย่างไร อาชาสวรรค์เช่นพวกเราต้องกินอาหารจากป่านั่นเท่านั้น" อาชาสวรรค์สีน้ำตาลเพศเมียแค่นเสียงบอก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอวดดีและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
"เอ๋? เท่าที่ข้าดู หญ้านี่ก็เป็นชนิดเดียวกับหญ้าที่ป่านั่นนี่" ชิงหลินก้มตัวหยิบหญ้าสดตรงหน้าขึ้นมาพิจารณา
"เจ้าช่างโง่เขลานัก แม้จะเป็นหญ้าชนิดเดียวกัน แต่รสชาติแตกต่างกันลิบลับ เปรียบดั่งฟ้ากับเหว แล้วจะให้พวกข้ากินอาหารชั้นเลวเช่นนี้ได้อย่างไร" อาชาสวรรค์สีดำเชิดหัวบอกอย่างยโส คำตอบของมันเล่นเอามุมปากชิงหลินกระตุก ไม่คิดมาก่อนว่าม้าจะเรื่องมากขนาดนี้!
"ยุ่งยาก เรื่องมาก ยุ่ง...อุ๊บ"
ชิงหลินรีบเอามือปิดปากเจ้าพยัคฆ์น้อยทันที พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้อาชาสวรรค์สีดำที่ทำท่าไม่พอใจด้วยการพ่นลมออกมาหลายครั้ง นางไม่สนใจอาการดิ้นขลุกขลัก ร้องอู้อี้ๆ ทั้งยังใช้เท้าหน้าปัดป่ายอุ้งมือให้พ้นจากใบหน้าของมันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
"ถ้าอย่างนั้น ข้าจะแจ้งให้เขาเปลี่ยนหญ้าให้ แต่ว่าตอนนี้ท่านทนกินอาหารเหล่านี้ไปก่อนได้หรือไม่" ชิงหลินหันไปต่อรองกับอาชาสวรรค์สีทอง
"แต่ว่า..." อาชาสวรรค์สีดำคิดจะคัดค้าน
"ได้ ข้าจะกิน" อาชาสวรรค์สีทองสรุป ทำให้อาชาสวรรค์ทั้งสองไม่กล้าคัดค้านอีก ส่วนตัวอื่นๆ ต่างทำตามอาชาสวรรค์สีทองอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นอาชาสวรรค์เริ่มกินอาหารตรงหน้า จึงค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย นางยืนดูพวกมันอยู่นานเกือบหนึ่งเค่อ ก่อนจะหมุนกายเตรียมกลับไปยังศาลาเพื่อกราบทูลองค์รัชทายาท
แปะๆๆ
เสียงปรบมือของใครคนหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่นัก นางจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย พอเห็นว่าเป็นใครก็เผลออุทาน แล้วรีบสาวเท้าไปหาทันทีด้วยใจที่หวาดหวั่น เพราะไม่รู้ว่าพวกเขามานานหรือยัง
"ยอดเยี่ยม เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ฮ่าๆๆ" ฉีเฟยหลงชื่นชมไม่หยุดหย่อน ใบหน้าแย้มยิ้มยินดี ผิดกับพระชายาหลิว ข้ารับใช้ และผู้ดูแลอาชาสวรรค์ ที่ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ
โดยเฉพาะหัวหน้าผู้ดูแลอาชาสวรรค์ที่อยากจะเข้าไปสอบถามขอความรู้จากเขายิ่งนัก แต่ติดตรงองค์รัชทายาทประทับที่นี่ จึงทำได้เพียงชำเลืองมองผู้ที่ช่วยให้ตนรอดวิกฤติมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยความตื้นตันใจ
พระชายาหลิวนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า เมื่อเกากงกงรายงานว่าคุณชายหยางหายตัวไป ยังไม่ทันได้สั่งการอันใดลงไปก็มีทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานว่า พบคุณชายหยางอยู่ที่คอกอาชาสวรรค์ นางเห็นพระสวามีของนางยิ้มและรีบเร่งมาที่นี่อย่างรวดเร็ว ไม่ได้ใส่ใจนางเลยก็นึกน้อยใจอยู่บ้าง แต่พอได้เห็นอาชาสวรรค์ทั้งสามยอมกินอาหารแต่โดยดี ความน้อยเนื้อต่ำใจก็พลันหายไปสิ้น ซ้ำยังรู้สึกขอบคุณคุณชายผู้นี้ เพราะหากเกิดเหตุอันใดกับอาชาสวรรค์ สวามีของนางอาจถูกตำหนิจากฮ่องเต้และเหล่าขุนนางผู้ไม่หวังดีเป็นแน่
"พระองค์ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้าพูดอันใดกับมันหรือ"
ชิงหลินสะดุ้งที่จู่ๆ ฉีเฟยหลงก้มลงมากระซิบเบาๆ ข้างหูให้ได้ยินแค่สองคน
"เอ่อ..." นางถอยออกมาหนึ่งก้าวอย่างลืมตัว ทั้งยังก้มหน้าต่ำ จึงไม่เห็นท่าค้างชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยืดตัวตรงเต็มความสูง และเอาสองมือไพล่หลังขององค์รัชทายาท
ฉีเฟยหลงที่ใบหน้าแย้มยิ้มถูกความขุ่นเคืองเข้ามาแทนที่ทันที ด้วยไม่เคยมีสตรีนางใดทำเช่นนี้กับตนมาก่อน ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวทำให้น้ำเสียงที่สั่งเข้มและทรงอำนาจโดยไม่รู้ตัว
"ดูแลอาชาสวรรค์ให้ดี อย่าให้มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก!"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าผู้ดูแลอาชาสวรรค์ตอบรับอย่างหนักแน่น
"หยางเริ่น!"
เสียงเรียกค่อนข้างดังทำเอาชิงหลินสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง ขานรับด้วยใบหน้าซีดเผือด "พ่ะย่ะค่ะ"
"ไปรอเราที่ห้องทรงอักษร" สั่งจบก็หมุนกายไปทางพระชายา "ไปเถิด เราจะส่งเจ้ากลับตำหนัก"
"เพคะ องค์รัชทายาท" พระชายาหลิวตอบรับเสียงหวาน พร้อมรอยยิ้มงดงามน่าหลงใหล
ณ ห้องทรงอักษร
ชิงหลินที่อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องราวเสือติดจั่น จนถูกสายตาตำหนิจากเกากงกง นางจึงเลือกนั่งลง แล้ววางฟานฟานน้อยไว้บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าเรียบลื่นสีทองคล้ายผ้าซาติน ชายผ้าโดยรอบปักรูปสัตว์มงคลสีแดง ดูงดงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
"อา...สวยจัง" มือเรียวยกชายผ้าที่ทิ้งตัวขึ้นมาดูใกล้ๆ อย่างสนอกสนใจ โดยไม่ได้รับรู้ถึงการมาของฉีเฟยหลง ที่สั่งห้ามมิให้เกากงกงประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าให้รู้ตัว ซ้ำยังสั่งให้ปิดประตูและให้ข้ารับใช้ทุกคนออกไปยืนห่างจากประตูให้มากที่สุด เหลือเพียงเกากงกงผู้เดียว
"ถ้าเจ้าอยากได้ เรายินดียกให้" เสียงที่ดังอยู่เหนือศีรษะทำเอาชิงหลินสะดุ้งเป็นครั้งที่สาม
นางคิดในใจ 'หากเป็นโรคหัวใจ คงได้ช็อกตายไปนานแล้ว!'
ฉีเฟยหลงยืนหลังตรง เอาสองมือไพล่หลัง ก้มศีรษะลงเล็กน้อย หลุบตามองสตรีในคราบบุรุษหน้าหวานที่แหงนคอตั้งบ่า อ้าปากตาค้างมองตนอยู่ ก็นึกขบขันระคนเอ็นดู
"เอ่อ...โปรดประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหลินรีบลุกขึ้นทำความเคารพเมื่อตั้งสติได้
"หึๆ นั่งลงสิ" ฉีเฟยหลงผายมืออนุญาตให้นางนั่งลง
"เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ" หญิงสาวในคราบหนุ่มหน้าหวานทำท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจแกมบังคับก็จำใจนั่งลง เอื้อมมือไปอุ้มฟานฟานน้อยจากโต๊ะลงมาวางไว้บนตักแล้วก้มหน้าต่ำ
"อยู่ที่นี่ ทำตัวตามสบายเถิด"
น้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นกันเองของฉีเฟยหลงทำให้นางผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเงยหน้าเอ่ยเบาๆ "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
"เราเพิ่งบอกไปเองว่าให้ทำตัวตามสบาย ยังไม่ทันกะพริบตาเจ้าก็ลืมแล้วหรือ" ฉีเฟยหลงแสร้งทำตาดุใส่นาง
"เอ่อ...โปรดประทานอภัยพ่ะย่ะ...เอ่อ...เพคะ" ชิงหลินรีบเปลี่ยนคำที่บ่งบอกสถานะแทบไม่ทัน เมื่อสบตากับดวงตาดุดุจพญาเหยี่ยวของเขาที่จ้องมา
"หึๆ เอาเถิด เจ้าคงรู้ว่าเราเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใด"
"เรื่องอาชาสวรรค์ใช่หรือไม่เพคะ"
"ใช่ เราอยากรู้สาเหตุของเรื่องนี้ พร้อมทั้งหนทางแก้ไข" ฉีเฟยหลงพยักหน้า น้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง ไม่หลงเหลือคราบความเจ้าสำราญให้เห็น
"เป็นเพราะอาหารเพคะ"
พอได้ฟังคำตอบจากหญิงสาว ฉีเฟยหลงก็อดที่จะถามต่อไม่ได้ "อาหาร? อย่างไร เท่าที่เรารู้ อาหารของอาชาสวรรค์ล้วนดีเลิศ"
"ทูลองค์รัชทายาท หม่อมฉันหมายถึงแหล่งที่มาของอาหารเพคะ อาชาสวรรค์คุ้นเคยกับอาหารที่ป่านั้น จึงไม่พอใจกับอาหารที่มาจากที่อื่น ทำให้ความอยากอาหารลดลงตามไปด้วยเพคะ" ชิงหลินอธิบายเสียยืดยาวด้วยหวังว่าเขาจะเข้าใจ
"ความหมายของเจ้าก็คือ...หากเป็นอาหารจากที่ป่านั้นก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้"
"ทูลองค์รัชทายาท คาดว่าจะเป็นเช่นนั้นเพคะ" ถ้อยคำกังวานใสหนักแน่นและไร้ซึ่งความหวาดกลัวของสตรีผู้นี้ ทำให้ฉีเฟยหลงชื่นชอบยิ่งนัก
คราแรกฉีเฟยหลงเพียงแค่นึกสนุก อยากจะกลั่นแกล้งแม่ทัพหนุ่มซึ่งเป็นสหายสนิทของตนเล่นเท่านั้น จึงได้ตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้น แต่ความพิเศษของสตรีผู้นี้ก็ทำให้เขาอยากจะเก็บนางไว้เองเสียแล้ว
"เอ่อ...องค์รัชทายาทเพคะ" เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนางจึงลองเรียก
ฉีเฟยหลงพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้วพยักหน้าอนุญาต "อืม ลองทำตามที่เจ้าว่า คงไม่เสียหายอันใด"
"ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะรีบไปแจ้งให้หัวหน้าผู้ดูแลอาชาสวรรค์ทราบเดี๋ยวนี้ ทูลลาเพคะ" ชิงหลินยินดีจนเผลอยิ้มกว้างอวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ตากลมโตเป็นประกายสุกใสดั่งดวงดารา ช่วยขับใบหน้าจิ้มลิ้มให้มีเสน่ห์บริสุทธิ์ชวนหลงใหลมากกว่าเดิมหลายเท่า ความงดงามนั้นทำเอาฉีเฟยหลงตะลึง
"อะ...อืม" กว่าจะค้นหาเสียงตนเองเจอก็ผ่านไปครู่ใหญ่ และนางก็จากไปไกลแล้ว "น่าเสียดายที่นางมีคู่หมายแล้ว หาไม่...ข้าไม่มีทางปล่อยนางให้หลุดมือไปเช่นนี้แน่"
หลังออกมาจากห้องอักษร ชิงหลินก็รีบนำข่าวไปแจ้งหัวหน้าผู้ดูแลอาชาสวรรค์ จากนั้นก็เดินกลับห้องพัก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขเพราะมีฟานฟานน้อยอยู่ในอ้อมแขนตลอดเวลา
ฝ่ายเจ้าพยัคฆ์น้อยดิ้นออกมานั่งข้างๆ ตัวนาง มองใบหน้านางนิ่ง ก่อนจะนอนลงเอาคางเกยท่อนแขนช่วงบนของนาง แล้วหลับตามนางไป
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามชิงหลินจึงรู้สึกตัวตื่น
"ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว หิวหิว" ฟานฟานน้อยร้องบอกนางทันที เมื่อเห็นนางยันกายลุกนั่งห้อยขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
"อืม ข้าก็หิวเหมือนกัน" ตอบกลับเสียงอู้อี้เล็กน้อย ก่อนจะชะงักเมื่อเฟิ่งอิงส่งเสียงมาจากหน้าประตู
นางรีบสำรวจตัวเองแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับส่งเสียง "เข้ามาสิเฟิ่งอิง" เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยจึงเอ่ยถาม "กินอะไรมาหรือยัง"
"ยังขอรับ" เพราะรีบร้อนกลับคฤหาสถ์สกุลชิงตั้งแต่ยามเหม่าด้วยเรื่องสำคัญ ทำให้เฟิ่งอิงไม่มีเวลาแม้แต่จะดื่มน้ำ พอเสร็จธุระก็รีบเร่งกลับมาทันที
"งั้นก็กินด้วยกัน" ชิงหลินบังคับกลายๆ ก่อนจะหันไปสั่งให้นางกำนัลที่ยืนรอตรงหน้าประตูนำอาหารเข้ามา "ทำไม รังเกียจที่จะร่วมโต๊ะกับข้าหรือ" เมื่อเห็นเขาทำท่าจะปฏิเสธ ใบหน้าจิ้มลิ้มก็งอง้ำจนชายหนุ่มต้องขยับกายอย่างร้อนรน
"มิได้ขอรับ! เพียงแต่..." น้ำเสียงจริงจังเกินเหตุของเฟิ่งอิงทำเอาชิงหลินที่หน้าง้ำกลั้นหัวเราะไม่ได้
"คิกๆๆ อา...ขอโทษ ข้าแค่หยอกเจ้าเล่น โกรธหรือ" ชิงหลินหยุดหัวเราะและเอ่ยขอโทษเขา เมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มตึงขึ้น นัยน์ตาคมเรียวดุกระตุกอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
"ข้าน้อยมิกล้าโกรธคุณหนูหรอกขอรับ"
น้ำเสียงเขาเรียบนิ่ง แต่นางรับรู้ได้ว่าเขาเคืองนางอยู่ เพราะคำเรียกแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปนั่นเอง เล่นเอานางหน้าเจื่อนก่อนจะขยับปากเอ่ย "ข้าขอโทษ"