"ท่านพ่อ / นายท่าน!" ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เฟิ่งอิงจะผละออกจากร่างเล็กอย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวดุมีความกังวล
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าซุ่มซ่ามไปหน่อย ดีที่เฟิ่งอิงช่วยไว้เจ้าค่ะ" ชิงหลินเดินเข้าไปเกาะแขนบิดา พร้อมกับส่งยิ้มหวานออดอ้อน
"เจ้านี่นะ ความซุ่มซ่ามของเจ้าทำให้พ่อชักไม่แน่ใจเสียแล้ว" ชิงหยวนตบหลังมือที่เกาะแขนตนเบาๆ ด้วยสีหน้าหนักใจ
"ไม่แน่ใจ? เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ"
"ว่าตกลงพ่อมีบุตรสาวหรือบุตรชายกันแน่อย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ"
ชิงหลินถึงกับทำหน้างอง้ำแก้มป่องใส่บิดา โดยมีเฟิ่งอิงอมยิ้มอยู่ข้างหลังนาง
"ท่านพ่อมาหาลูกด้วยตนเองเช่นนี้...มีเรื่องด่วนหรือเจ้าคะ"
ชิงหยวนชะงักมองบุตรีนิ่ง ก่อนจะหันไปสั่งอีกคนเสียงเข้ม "เฟิ่งอิง เพิ่มกำลังคุ้มกันเรือนพสุธา อย่าได้หละหลวมเด็ดขาด หากคนไม่พอ ให้เรียกหน่วยเสริมจากคฤหาสน์สกุลชิงมา"
"ขอรับนายท่าน" เฟิ่งอิงประสานมือรับคำสั่ง ก่อนไปยังไม่วายเหลือบมองนางอีกครั้ง และไม่อาจรอดพ้นสายตาคมอันชาญฉลาดของชิงหยวน ซึ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าหน่วยคุ้มกันคนสนิทที่ติดตามรับใช้ตนมานานร่วมสิบปี บุรุษหนุ่มผู้เงียบขรึม พูดน้อย สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก มิเคยหวั่นไหวกับสตรีนางใด แม้ชิงหยวนจะเคยแนะนำสาวงามให้ แต่กลับปฏิเสธเสียงแข็งต่อหน้าสาวงามเหล่านั้น โดยไม่ไว้หน้าผู้ใด สุดท้ายผู้เป็นนายจึงยอมเลิกราไม่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้อีก
ครั้งที่ชิงหยวนออกคำสั่งให้มาเป็นคนคุ้มกันบุตรสาว เดิมทีคาดว่าคงถูกปฏิเสธเป็นแน่ ด้วยชายหนุ่มไม่ค่อยชื่นชอบในตัวบุตรีของตน แต่ผิดคาด ชายหนุ่มกลับตอบรับทันทีโดยไร้ท่าทีอิดออด สร้างความกังขาให้เขายิ่งนัก
"ท่านพ่อ...ท่านพ่อ?" ชิงหลินเขย่าแขนบิดา
"หือ? อันใดหรือหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนยิ้มให้บุตรสาว
"ไม่ใช่ท่านพ่อมีธุระกับลูกหรอกหรือเจ้าคะ"
"อ้อ ใช่ๆ พ่ออยากจะถามเรื่องคู่หมายของเจ้า..."
ยามจื่อ คอกเจ้าไป๋เสวี่ย
ชิงหลินยังคงผวาตื่นเพราะฝันร้ายเช่นเดิม จึงเลือกมาหาเจ้าม้าปากเสียแทนเก๋งริมสระบัวเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้นอกจากฝันร้ายที่ติดตามมาจากยุคที่จากมาแล้ว ยังมีเรื่องของคู่หมายด้วย
"เรื่องคู่หมายของลูก? ทำไมหรือเจ้าคะ"
"ถ้าเกิดฝ่ายนั้นปฏิเสธเรื่องการยกเลิกการเป็นคู่หมายนี้ เจ้าจะทำอย่างไร"
"คิกๆ จะเป็นไปได้อย่างไรกันท่านพ่อ ที่ผ่านมาล้วนเป็นท่านแม่ทัพเองที่อยากยกเลิกสัญญานี้" แค่นเสียงฮึในลำคอ เย้ยหยันกับความหน้าหนาของชิงหลินที่คอยตามตื้อผู้ชายคนนี้ จะเป็นจะตายเพราะผู้ชายคนนี้ ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจ เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามยัดเยียดชายอื่นให้ชิงหลิน หวังให้นางเปลี่ยนใจ ช่างเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจนัก!
แต่คำพูดของบิดาทำให้นางอดคิดมากไม่ได้ เมื่อนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา ท่าทีที่เปลี่ยนไปรวมถึงการกระทำของเขาในช่วงนี้ มันทำให้นางอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาน่าจะมีใจให้ร่างนี้บ้างแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงนางควรทำอย่างไร ให้โอกาสหรือตัดสัมพันธ์
"ข้านึกแล้ว หากออกมาเวลานี้ ข้าต้องได้พบเจ้า" เสียงทุ้มกังวานดังมาจากข้างหลัง ทำให้ร่างเล็กที่กำลังใจลอยสะดุ้งโหยง
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
"ท่านแม่ทัพ...เอ๊ย...พี่เหวิน" ชิงหลินรีบเปลี่ยนคำเรียกทันควัน
"ฝันร้ายอีกแล้วหรือ" ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าลูกแมวน้อย เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน
"ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้านอนไม่หลับเพราะฝันร้าย" หญิงสาวเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
"เมื่อคืนวานในถ้ำ เป็นเจ้าเองที่บอกให้ข้ารู้" แม่ทัพหนุ่มยืนตรงพลางเอามือไพล่หลัง หลุบตามองลูกแมวน้อยที่เงยหน้ามองตน นางขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันและเผยอริมฝีปากอวบอิ่มเล็กน้อย
"...?"
"อย่าทำท่าทางเช่นนี้กับบุรุษอื่นเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่" แม่ทัพหนุ่มเชยคางนางพลางกระซิบเสียงแหบพร่า
"ฮึ! ข้าจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน"
"ไม่เกี่ยว? ฮึ เจ้ายังเป็นคู่หมายของข้าอยู่...หรือมิใช่" แม่ทัพหนุ่มหัวเราะเสียงขื่น คำพูดของนางคล้ายเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงตรงกลางใจจนรู้สึกปวดแปลบไปทั่ว
"คู่หมาย...ที่กำลังจะกลายเป็นแค่คนรู้จัก นับเป็นอะไรได้" ชิงหลินโต้กลับอย่างไม่ลดละ
"เจ้า...เกลียดข้ามากเลยหรือ" เสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดกล่าวออกมาช้าๆ แบบเน้นทุกคำหลังจากที่นิ่งไปนาน
"เป็นท่านที่เกลียดข้ามาตลอด ไมใช่ข้า!" หญิงสาวหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว
"ไม่ใช่! ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า เพียงแต่ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวมาโดยตลอด จนกระทั่ง...ข้า...เอ่อ...ความจริง...กับเจ้า..." แม่ทัพหนุ่มบีบต้นแขนเล็ก เอ่ยวาจาติดๆ ขัดๆ ไม่สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ฉายแววเจ็บปวดระคนสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำผ่านมา
"คุณหนู ท่านมาอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาท่านซะทั่วเลยเจ้าค่ะ" เสียงขัดของเสี่ยวเอินทำให้แม่ทัพหนุ่มรีบปล่อยมือ ถอยเท้าออกมาก้าวหนึ่ง
"เจ้าควรรู้ ข้าขอปฏิเสธสิ่งที่เจ้าเคยกล่าวกับข้าไว้" พูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ชิงหลินยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องใด
"คุณหนู รีบกลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ อากาศเย็นนัก เดี๋ยวจะป่วยไข้เอาได้"
นางพลันได้สติจึงเดินนำสาวใช้กลับเรือน
ช่วงหลังยามเฉินที่โต๊ะอาหาร
ชิงหยวนนั่งตรงกลาง บุตรสาวนั่งทางซ้าย มู่หลิ่งเหวินนั่งตรงข้ามนาง นับแต่ชิงหลินเดินเข้ามาเหมือนนางจะตกอยู่ในสายตาแม่ทัพหนุ่มตลอดเวลา ชิงหยวนเห็นแล้วก็อดที่จะยินดีไม่ได้ "อะแฮ่ม! หลานชายจะกลับจวนเลยหรือ"
"ขอรับ ยังมีเรื่องที่ข้าต้องสะสางอีกเล็กน้อย" มู่หลิ่งเหวินละสายตาจากคู่หมายหันมาตอบชิงหยวนด้วยความสุภาพ
"น่าเสียดาย เอาเถิด ว่างเมื่อไรก็มาได้ทุกเมื่อ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ"
"ขอบพระคุณขอรับ ข้าต้องมาที่นี่บ่อยๆ แน่" ตอบแล้วก็หันกลับมามองคู่หมายดังเดิม
"หลินเอ๋อร์ ไปส่งพี่เหวินของเจ้าสิ" ชิงหยวนบอกบุตรี ทำให้แม่ทัพหนุ่มอมยิ้มชอบใจ นึกขอบคุณในความช่วยเหลือครั้งนี้ของผู้อาวุโส
"เชิญเจ้าค่ะพี่เหวิน"
รอยยิ้มที่ควรเรียกว่าแสยะยิ้มจะเหมาะกว่านั้น ทำเอาแม่ทัพหนุ่มนึกมันเขี้ยว อยากจะยื่นมือไปดึงแก้มนวลเล่นเสียให้ได้ "ดูแลร่างกายและหัวใจเจ้าไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดแตะต้องหรือทำให้เจ้าหวั่นไหวได้ เพราะเจ้าเป็นผู้...เอ่อ...คู่หมายของข้า เข้าใจหรือไม่" มู่หลิ่งเหวินกำชับคู่หมายเสียงเข้ม
ความจริงอยากจะพูดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า แต่เกรงว่านางจะปฏิเสธจึงไม่ได้กล่าวออกมา ทว่านางกลับสะบัดหน้าไม่รับปาก แม่ทัพหนุ่มเลยเชยคางมนให้หันมาทางตนแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
"ขะ...เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" หญิงสาวรีบรับปาก สองมือยันอกเขาไว้มั่น มองซ้ายมองขวากลัวคนอื่นจะมาเห็น
'ถ้าไม่รับปากมีหวังโดนจูบอีกแหงๆ' นางคิดอย่างตื่นตระหนก
"หึๆ ดีมาก ลูกแมวน้อยของข้า ข้าไปละ" เขาลูบศีรษะนาง แล้วกระโดดขึ้นบนหลังเจ้าทาเสว่ โดยไม่ลืมมองนางทิ้งท้ายก่อนจะควบม้าจากไปอย่างรวดเร็วปานสายลม
"อ้าว เฟิ่งอิง มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร" ชิงหลินถามเมื่อหันกลับมาเห็นเขายืนมองอยู่
"นายท่านเชิญคุณหนูไปพบที่ห้องหนังสือขอรับ"
ชิงหลินทำท่าครุ่นคิด "ข้ารู้แล้ว ขอบใจนะ" ก่อนจะพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตรงไปยังห้องหนังสือทันที
"ท่านพ่อ ลูกมาแล้วเจ้าค่ะ"
ชิงหยวนเงยหน้าจากสมุดบัญชี ลุกขึ้นกวักมือเรียกให้บุตรีมานั่งแทนที่ตน ร่างเล็กทำตามอย่างงงๆ แต่พอเห็นใบสั่งซื้อสินค้า
"ท่านพ่อ นี่มัน..." นางจับม้วนกระดาษสีเหลืองทองอย่างดีขึ้นมาอ่านทีละตัว ไล่สายตาผ่านตัวหนังสือที่งดงามอ่อนช้อยทว่าหนักแน่น ตรงมุมม้วนกระดาษมีรอยประทับตราลัญจกรสีแดงสด
"อาชาสวรรค์สีทองหนึ่งตัว สีดำหนึ่งตัว สีน้ำตาลไหม้หนึ่งตัว เสือขาวหนึ่งตัว นี่มันอะไรกันเจ้าคะ เหมือนแกล้งกันเลย"
ชิงหยวนไม่ได้บอกบุตรสาวถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้ เพราะไม่อยากเห็นนางต้องกังวลใจ นี่คงเป็นแผนการอันเจ้าเล่ห์ของเสนาบดีหานที่ต้องการเล่นงานสกุลชิงให้จมดิน การลอบสังหารบุตรีของตนทั้งสองครั้งซึ่งเป็นฝีมือของมันก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น ความจริงคือต้องการลดทอนอำนาจของเสนาบดีมู่หลิ่งฟู่ต่างหาก
อาชาสวรรค์หรืออาชาหมื่นลี้เป็นม้าศึกรูปร่างกำยำ สูงใหญ่ ปราดเปรียว ผิดจากม้าศึกทั่วไป ในแคว้นฉีที่เคยพบเห็นมีน้อยมาก หนึ่งในนั้นคือเจ้าทาเสว่สีน้ำหมึกของแม่ทัพหนุ่ม ที่ได้รับพระราชทานจากองค์ฉีเฉินหลงฮ่องเต้ สีน้ำตาลไหม้ยังพอหาได้ แต่ที่ทำให้หนักใจก็คืออาชาสวรรค์สีทองและเสือขาวที่มิเคยเห็นมาก่อน เขาเคยได้ฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเป็นอาชาที่งดงาม เป็นอาชาเหนืออาชา ส่วนเสือขาวนั้นมั่นใจว่าในแคว้นฉีไม่มี
"ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ ไหนองค์รัชทายาทจะเสด็จมาด้วยพระองค์เองอีก"
"เรายังพอมีเวลา พ่อจะส่งข่าวให้แม่เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่เพื่อรับรององค์รัชทายาท ส่วนพ่อจะออกเดินทางไปหาสหายที่เผ่าซงหนู เผื่อจะได้เบาะแสอันใดบ้าง" ใช่ หนึ่งเดือนเหมือนจะนาน ทว่าความจริงแค่เดินทางไปกลับก็กินเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่การกลั่นแกล้งก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี
"งานนี้ให้ลูกทำได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกรับรองจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง" ชิงหลินขันอาสาทำงานนี้ด้วยความกระตือรือร้นหลังฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
ชิงหยวนโบกมือพลางคัดค้านเสียงแข็ง "ไม่ได้! มันอันตรายเกินไป เอาไว้เจ้ามีประสบการณ์มากกว่านี้แล้วพ่อจะให้เจ้าทำ ดีหรือไม่"
"เฮ้อ! เช่นนั้นเชิญท่านพ่อมากับลูกหน่อยเถอะเจ้าค่ะ" ชิงหลินยิ้มค้างก่อนจะถอนหายใจออกมา เข้าไปดึงแขนบิดาแล้วพาไปยังสถานที่หนึ่งทันที
เช้าวันถัดมายามเฉิน
"หลินเอ๋อร์ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก เชื่อฟังเฟิ่งอิง อย่าดื้ออย่าซน เจ้าเข้าใจหรือไม่" ชิงฮูหยินเอ่ยกำชับบุตรสาวราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
"ท่านแม่ ลูกไม่ใช่เด็กแล้วนะ ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ" นางรับปากพลางสวมกอดมารดา
"นี่เป็นหน่วยคุ้มกันฝีมือดีที่สุดสี่คน รวมเฟิ่งอิงด้วยเป็นห้าคน พอแน่หรือหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนเอ่ยถามบุตรีในคราบบุรุษ สวมชุดสีดำสนิทเช่นเดียวกับผู้ติดตาม พลางถอนหายใจเมื่อทราบว่าทั้งหกออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังป่าอาถรรพ์แทนที่จะไปเผ่าซงหนู
"ท่านพี่ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย เหตุใดจึงอนุญาตให้ลูกไปทำงานเสี่ยงอันตรายโดยเอาสกุลชิงเป็นเดิมพันเช่นนี้" ชิงฮูหยินเอ่ยถามสามี
"ข้าว่ารอให้หลินเอ๋อร์กลับมาบอกเจ้าด้วยตัวเองดีหรือไม่" ชิงหยวนตอบยิ้มๆ
ชิงฮูหยินเห็นกิริยาไม่ทุกข์ร้อนของสามีแล้วจึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ ได้แต่มองบุตรีที่จากไปด้วยสายตาเป็นห่วง
หน้าทางเข้าป่าอาถรรพ์
"เฟิ่งอิง ให้ทุกคนรออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปคนเดียว" ชิงหลินหันมาบอกเฟิ่งอิง
"ข้าขอปฏิเสธ คุณหนูโปรดเข้าใจด้วย" เฟิ่งอิงค้อมศีรษะเล็กน้อย
"เช่นนั้นให้ท่านตามไปได้ ส่วนคนอื่นให้รั้งอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ตกลงข้าจะเข้าไปคนเดียว"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนกรานหนักแน่น เฟิ่งอิงจึงหันไปสั่งการให้ที่เหลือรั้งอยู่ที่นี่
หลังจากเข้ามาในป่าอาถรรพ์ ชิงหลินก็ลงมาจากหลังเจ้าไป๋เสวี่ยแล้วยืนหลับตานิ่ง เฟิ่งอิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดวงตาคมเรียวดุจับจ้องอยู่ที่นางด้วยความสงสัย สักพักก็เห็นนางลืมตาพลางพยักหน้าให้เดินตามโดยไม่กล่าวอะไร ความสงสัยจึงเพิ่มมากขึ้น ทันใดนั้นเฟิ่งอิงก็พลันรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจขุมหนึ่งที่ทั้งรุนแรง อันตราย และแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ชายหนุ่มกระชับดาบที่เอวเตรียมพร้อม สายตาสำรวจรอบๆ ตัวอย่างระแวดระวัง
"โฮก!"
"คุณหนู ระวัง!"
ร่างใหญ่รีบเอาตัวเข้ามาขวางหน้านางทันที แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าสัตว์ร่างใหญ่ยักษ์คล้ายเสือตัวนี้ แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เขาจะไม่ยอมให้นางเป็นอะไรเด็ดขาด
ฝ่ายเจ้าเสือยักษ์ค่อยๆ เดินเข้ามาหาทั้งสองอย่างเชื่องช้า แต่ก็เต็มไปด้วยพลังคุกคามอย่างผู้ที่เหนือกว่า อุ้งเท้าขนาดใหญ่สามารถฉีกร่างสูงใหญ่ของเฟิ่งอิงให้ขาดได้ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว เท้าที่ย่ำลงไปแต่ละครั้งปรากฏรอยเท้ายุบลงไปเหมือนหลุมขนาดใหญ่ สร้างความตื่นตะลึงและหวาดหวั่นให้แก่เฟิ่งอิงยิ่งนัก ด้วยมิเคยประสบพบเจออะไรเช่นนี้มาก่อน ชั่ววินาทีที่เฟิ่งอิงตัดสินใจจะกระโจนเข้าหามัน กลับถูกมือเล็กของหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังดึงไว้ เขาจึงหันไปมองอย่างโง่งม
"คิกๆ เสือตัวนี้เป็นสหายของข้าเอง" ชิงหลินหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นเจ้าเสือยักษ์แกล้งคนของนาง
"สหายของคุณหนู?" เฟิ่งอิงทวนคำพูดของนาง
"ใช่ ขอโทษที่ข้าผิดสัญญา" ประโยคหลังหญิงสาวหันไปพูดกับเจ้าเสือยักษ์ นางเดินเข้าไปหามันที่นอนราบกับพื้นอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งรวบร่างเล็กเข้าไปใกล้
"อ้อ เขาชื่อเฟิ่งอิง เป็นคนของข้าเอง" ชิงหลินสื่อสารกับมันด้วยภาษาเสือ
"ข้ารู้ และข้ายังรู้ว่าเจ้ามาหาข้าเพราะเหตุใด"
"แล้วท่านช่วยข้าได้หรือไม่" นางถามอย่างมีความหวัง
"เรื่องอาชาสวรรค์สีทองไม่ใช่ปัญหา แต่เรื่องเสือขาว เจ้าต้องไปตกลงกับที่รักของข้าเอง"
จริงสินะ เจ้าเสือยักษ์ก็เป็นเสือขาวนี่นา แถมยังเป็นเสือโคร่งขาวที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
"ทำไมล่ะ ท่านไม่รู้ที่อยู่ของเสือขาวตัวอื่นหรอกหรือ"
"ตามมา แล้วเจ้าจะรู้เอง" เสือยักษ์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำทาง
"คุณหนู" เฟิ่งอิงเข้ามายืนขวางทาง
ชิงหลินยิ้มน้อยๆ "ไม่เป็นไรหรอก" กล่าวปลอบเขาแล้วเดินตามเจ้าเสือยักษ์ไปโดยไม่ลังเล ขณะที่เฟิ่งอิงเดินจูงเจ้าไป๋เสวี่ยปิดท้าย ดวงตาเรียวดุมองไปรอบๆ อย่างไม่วางใจ
เพียงไม่นานก็ถึงที่หมาย ซึ่งก็คือถ้ำที่ชิงหลินกับแม่ทัพหนุ่มเคยพักเมื่อครั้งก่อน เป็นถ้ำที่ครอบครัวเสือยักษ์อาศัยอยู่ น่าจะเรียกว่าเนรมิตขึ้นเพื่ออยู่อาศัยมากกว่า ถ้ามันไม่เต็มใจ มนุษย์หน้าไหนก็ไม่สามารถเห็นมันและถ้ำนี้ได้
เมื่อเข้ามาในถ้ำ เฟิ่งอิงต้องตะลึงงันอีกครั้งเมื่อเห็นเสือยักษ์สีเดียวกันอีกตัวกำลังให้นมลูก นี่มันลูกเสือแน่หรือ?
"ที่รัก ข้าพานางมาแล้ว" มันเดินเข้าไปหาเสือยักษ์เพศเมียที่กำลังให้นมลูกทั้งสามตัว
"เมื่อเป็นลิขิตฟ้า ข้าก็ไม่อาจขัดขืนได้ เช่นนั้นเชิญเจ้าเลือกเอาเถิด" แม่เสือยักษ์นิ่งไปนาน ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกมา
"เลือก? เลือกอะไร" ชิงหลินย้อนถาม
"หนึ่งในสามของลูกข้า เป็นพยัคฆ์คู่บารมีของโอรสสวรรค์องค์ถัดไป ส่วนอาชาสวรรค์สีทองที่เจ้ากำลังตามหาอยู่ เป็นอาชาคู่บารมีของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน" พ่อเสือยักษ์อธิบายยืดยาว
"ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่เห็นด้วย สู้ให้เจ้าบอกแหล่งที่อยู่ของเสือตัวอื่นให้ข้า ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ยินดีไป" นางเอ่ยคัดค้านเสียงแข็ง ด้วยไม่อยากพรากลูกจากอกพ่อแม่ ซ้ำมันยังไม่หย่านมเช่นนี้
"เฮ้อ นี่เป็นที่เดียวที่มีเสือเช่นพวกข้าอาศัยอยู่"
พอได้ฟังคำของแม่เสือยักษ์ ชิงหลินก็รู้สึกจนใจและหนักใจยิ่งนัก ตลอดเวลาเฟิ่งอิงนั่งเงียบ มิได้กล่าวอะไร มองเจ้าเสือยักษ์สลับกับสีหน้าเคร่งเครียดของคุณหนู คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ข้ากำลังฝันอยู่หรือ เหตุใดคุณหนูจึงทำเหมือนสื่อสารกับเจ้าเสือยักษ์นี้อยู่ หรือนี่คือเหตุผลที่นายท่านยินยอมให้คุณหนูทำงานนี้
"ขอบคุณท่านทั้งสองมาก ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลลูกของท่านอย่างดีเจ้าค่ะ อ้อ ข้าขอถาม พวกท่านอายุเท่าไรหรือ" ชิงหลินรับน้ำใจจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองด้วยความซาบซึ้งระคนเศร้าสร้อย แล้วจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
"มากกว่าเจ้าสักร้อยเท่าเห็นจะได้ ฮ่าๆๆ" พ่อเสือยักษ์ตอบอย่างอารมณ์ดี
"โห! ถ้าอย่างนั้นข้าขอเรียกท่านทั้งสองว่าปู่เสือย่าเสือได้หรือไม่"
'อายุเป็นพันปีเลยหรือนี่'
"ตามใจเจ้า แล้วก็ไม่ต้องกังวล เมื่อพ้นจากป่าอาถรรพ์ลูกข้าจะมีขนาดเฉกเช่นเดียวกับลูกเสือปกติทั่วไป" เจ้าเสือยักษ์ที่เพิ่งเป็นปู่เสือหมาดๆ กล่าวราวกับอ่านใจได้ เพราะนางกำลังกลุ้มใจเรื่องนี้พอดี
"ขอบคุณปู่เสือกับย่าเสืออีกครั้ง บุญคุณครั้งนี้ข้าจะขอจดจำไปชั่วชีวิต ลาก่อนเจ้าค่ะ" ชิงหลินคุกเข่าโขกศีรษะให้ทั้งสองสามครั้งด้วยความซาบซึ้งใจ สร้างความพึงพอใจให้แก่เสือยักษ์ทั้งสองยิ่งนัก
เมื่อเอ่ยลาเสร็จก็เดินทางออกจากป่าอาถรรพ์ ซึ่งขากลับนี้มีสมาชิกใหม่เป็นเสือโคร่งขาวเพิ่มมาหนึ่งตัว และเมื่อพ้นป่าอาถรรพ์ ร่างของมันก็หดเล็กลงกลายเป็นลูกเสือโคร่งขาวที่มีขนาดเท่าแมวอายุไม่เกินห้าเดือน นางจึงอุ้มมันด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างสบายๆ
ที่ปากทางเข้าป่าอาถรรพ์ หน่วยคุ้มกันอีกสี่นายที่รออยู่อย่างใจจดใจจ่อพากันตื่นเต้นยินดีจนไม่อาจระงับอาการได้ เมื่อได้พบลูกเสือโคร่งขาวน่าเอ็นดูที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อนในแคว้นฉี ต่างก็มองนางสลับเจ้าสัตว์หน้าขนด้วยสายตาชื่นชม
หลังจากออกจากป่าอาถรรพ์พร้อมด้วยลูกเสือโคร่งขาว หนึ่งในสี่สัตว์หายาก ชิงหลินและผู้ติดตามทั้งห้าก็มุ่งหน้ากลับเรือนพสุธาทันที ภารกิจครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วยาม สร้างความตื่นตะลึงพรึงเพริดให้แก่ทุกคน โดยเฉพาะชิงฮูหยินที่ไม่ค่อยเห็นด้วยตั้งแต่แรก
"เจ้าทำได้ดี สมกับเป็นลูกของพ่อ สมกับเป็นทายาทสกุลชิง ฮ่าๆๆ" ชิงหยวนหัวเราะเสียงดังลั่น
"ขอบคุณเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ลูกคิดว่าจะออกตามหาอาชาสวรรค์ทั้งสามเจ้าค่ะ" นางอยากให้งานนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ด้วยทราบดีว่าการมีสิ่งล้ำค่าอยู่ในมือไม่ใช่เรื่องดี และอาจทำให้ครอบครัวนางตกอยู่ในอันตรายได้
"เจ้าได้แพร่งพรายเรื่องแหล่งที่อยู่กับผู้ใดบ้าง" ชิงหยวนถามเสียงเข้ม
"ไม่เจ้าค่ะ ลูกยังไม่ได้บอกใคร" นางส่ายหน้า
"ดี! เจ้าช่างรอบคอบนัก"
ชิงหลินยิ้มกว้างที่ได้รับคำชมหลายครั้ง
"นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด"
"หลินเอ๋อร์ เอาลูกเสือนั่นมาไว้ในกรงนี่ก่อนเถิด" ชิงฮูหยินที่นั่งเงียบมานานกล่าวกับบุตรสาว
"ไม่เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกจะนำฟานฟานไปนอนกับลูกด้วย ขอตัวนะเจ้าคะ" ชิงหลินปฏิเสธเสียงหวาน ในอ้อมแขนมีลูกเสือโคร่งขาวที่ยอมให้นางเพียงคนเดียวสัมผัสและกอดมันได้หลับอยู่
"คุณหนู จะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ" เสี่ยวเอินที่เดินตามหลังมาเอ่ยถาม
"ก็ดีเหมือนกัน"
เพียงไม่นานหนึ่งคนกับสัตว์อีกหนึ่งตัวก็ลงไปอยู่ในถังน้ำอาบ ดูเหมือนเจ้าฟานฟานจะชื่นชอบน้ำอุ่นเป็นพิเศษ มันใช้เท้าตะกุยน้ำไปมา ร้องแง้วๆ คล้ายแมว ชิงหลินอมยิ้มให้ความน่ารักของมัน บางทีก็แกล้งวักน้ำใส่มัน หรือไม่ก็ดึงหางที่อยู่ในน้ำจนโดนมันตะปบเสียหลายทีด้วยความขุ่นเคือง ดีที่มันไม่กางกรงเล็บแหลมคมออกมาตอนที่ตะปบแขนนาง ไม่อย่างนั้นแขนนางอาจเป็นลายพร้อยไปแล้วก็ได้
"รูปมังกรบินสีฟ้าที่หลังของคุณหนูช่างงดงามนัก ข้าไม่เคยเห็นมังกรที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ" เสี่ยวเอินเอ่ยชม ขณะที่มือก็ขัดผิวให้คุณหนู ดวงตาเรียวเล็กมองรูปมังกรด้วยความหลงใหล
"อย่างนั้นหรือ ขอบใจ" ผู้เป็นคุณหนูกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้ามาถามคนที่ขัดหลังให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักไปไม่ขัดต่อ "มีอะไรหรือ"
"เอ่อ...มะ...ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ" เสี่ยวเอินรีบปรับสีหน้าให้เหมือนเดิม ดวงตาเรียวเล็กเพ่งมองแผ่นหลังบอบบางของคุณหนูเขม็ง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไรอีก จึงคิดว่าตนตาฝาด
ปลายยามเฉินวันต่อมา
ขณะที่ชิงหลินและผู้ติดตามชุดเดิมกำลังจะออกเดินทาง
"นายท่าน...องครักษ์จากวังองค์รัชทายาทมาขอพบขอรับ" บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
"หือ? รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า" ชิงหยวนสั่งด้วยสีหน้ากังวล
โถงรับรองแขกเรือนพสุธา
"ท่านองครักษ์มาถึงที่นี่ องค์รัชทายาทมีเรื่องอันใดจะรับสั่งหรือขอรับ" ชิงหยวนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"องค์รัชทายาททรงทราบเรื่องเสือขาวแล้ว พระองค์พอพระทัยและชื่นชมยิ่งนัก มีพระประสงค์จะเลื่อนการเดินทางมาเป็นวันนี้ยามเซิน[1] จึงขอให้ท่านและบุตรีช่วยเตรียมการให้พร้อมด้วย" องครักษ์หนุ่มแจ้งแก่ชิงหยวน สายตาชำเลืองมองสตรีในคราบบุรุษซึ่งยืนอุ้มลูกสัตว์สีขาวคล้ายแมวอยู่ข้างๆ บิดาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขอตัวเพื่อกลับไปรายงานองค์รัชทายาทถึงสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้
"เฮ้อ เราคงต้องเลื่อนการเดินทางตามหาอาชาสวรรค์ออกไปก่อน" ชิงหยวนกล่าวกับบุตรี
"ไม่มีทางเลือกนี่เจ้าคะ แล้วแต่ท่านพ่อจะเห็นสมควรเจ้าค่ะ" ชิงหลินยิ้มน้อยๆ ยามกล่าว มือเรียวลูบขนเจ้าฟานฟานที่นอนหลับตานิ่งราวกับตุ๊กตาอยู่ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
กว่าจะถึงยามเซิน ยังมีเวลาให้ชิงหลินแก้เบื่อด้วยการเขียนรูป เจ้าฟานฟานที่นางจัดท่าให้มันนอนกางแขนกางขาเกยคางอยู่บนหลังเจ้าไป๋เสวี่ยที่ยืนนิ่งๆ เป็นแบบให้อย่างเต็มใจ?
'ช่างเข้ากันจริงๆ ม้าสีขาวปลอดกับลูกเสือโคร่งขาว'
สมาธิในการเขียนรูปของนางถือว่าเป็นที่หนึ่งพอๆ กับการนอน ต่อให้มีคนมาตะโกนข้างหูหรือทำเสียงดังใกล้ๆ ก็ไม่สามารถรบกวนสมาธินางได้จนกว่านางจะหยุดเอง เมื่อใดที่นางวางดินสอหรืออุปกรณ์วาดรูป นั่นหมายถึงผลงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชิงหลินใช้ดินสอถ่านไม้ที่คิดค้นขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ นางร่างแบบก่อนจึงค่อยใส่รายละเอียด จนกระทั่ง...
"เฮ้อ เสร็จซะที" หญิงสาวยิ้มพอใจกับผลงาน พลางบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ
"เสร็จแล้วหรือ เช่นนั้นก็ไปกับข้าเถิด"
เสียงคุ้นหูดังมาจากข้างหลัง ทำเอาร่างเล็กสะดุ้ง หันขวับไปมองทันที "พี่เหวิน! เอ๊ะ ท่านเพิ่งกลับไป แล้วทำไม..." ด้วยความตกใจและรีบร้อนเลยลุกเร็วเกินไปจนทำให้หน้ามืด ซวนเซจะล้ม
มู่หลิ่งเหวินเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาประคองร่างเล็กไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะถามด้วยสายตาเป็นห่วง "เป็นเช่นไรบ้าง"
"เอ่อ...ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณเจ้าค่ะ" ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยแดงจางๆ รีบผละออกจากกายแกร่งทันทีที่ตั้งหลักได้
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รีบไปเถิด เลยเวลามามากแล้ว" แม่ทัพหนุ่มกล่าวพลางจับมือเล็กให้เดินไปด้วยกัน
"ดะ...เดี๋ยวเจ้าค่ะ ท่านจะพาข้าไปที่ใดเจ้าคะ" นางพยายามขืนตัวขณะที่ถามด้วยความสงสัย
"เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท" แม่ทัพหนุ่มหยุดกึก หันมากล่าวเสียงขรึม "เวลานี้คือยามเซิน จริงแท้แน่นอน" เขากล่าวเสียงเรียบ นึกขันและตะลึงไปพร้อมกันที่นางไม่ได้รู้ถึงการมาของตน เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเขียนรูป ดวงตากลมโตดูมีเสน่ห์อย่างประหลาดยามที่มองภาพเบื้องหน้า เขาเผลอนั่งมองนางจนมารู้อีกทีก็ล่วงเข้ายามเซินเสียแล้ว
"จริงหรือนี่ แย่จัง ไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้" หญิงสาวพึมพำเบาๆ
"ชักช้าไม่ได้แล้ว ไปเถิด" แม่ทัพหนุ่มเร่งเมื่อเห็นนางไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน ชิงหลินจึงรีบตามเขาไปแต่โดยดี และไม่ลืมที่จะอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไปด้วย
ณ โถงรับรองเรือนพสุธา
"ชิงหลินถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ" หญิงสาววางเจ้าฟานฟานลง แล้วถวายความเคารพบุรุษผู้สูงศักดิ์
"ลุกขึ้น" เสียงทุ้มกังวานแต่แฝงด้วยอำนาจตามแบบฉบับของผู้สูงศักดิ์ดังขึ้น เล่นเอาร่างเล็กรู้สึกประหม่าจนเหงื่อซึม
"ขอบพระทัยเพคะ" นางถวายความเคารพอีกครั้งแล้วยืนก้มหน้าต่ำ
"นั่นคือ...เสือขาว?" ฉีเฟยหลงถาม
"พ่ะย่ะค่ะ นี่คือเสือโคร่งขาว เป็นสัตว์มงคลหายากที่ไม่เคยปรากฏบนแผ่นดินฉีมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนเป็นผู้กราบทูล
"เพราะเหตุนี้ พอได้รับรายงาน เราจึงรีบมาดูให้เห็นกับตา เจ้าจับมันมาได้อย่างไร"
ชิงหลินเหลือบมองบิดาที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าบิดาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางจึงรีบคุกเข่ากราบทูลตามจริง
"โปรดประทานอภัยด้วยเพคะ ความลับสวรรค์ หม่อมฉันไม่อาจแพร่งพรายได้เพคะ"
"บังอาจ! กล้าเสียมารยาทต่อหน้าองค์รัชทายาทเชียวหรือ" หนึ่งในองครักษ์ทั้งสี่ตำหนินางเสียงดัง
"ขอพระองค์อย่ากริ้ว เพียงนางทำงานได้สำเร็จ ที่มาจะเป็นเช่นไรนั้นกระหม่อมไม่เห็นว่าจะสำคัญเลยพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินกราบทูลด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชิงหลินเหลือบมองคู่หมายที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงเห็นว่าเขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้
"โอ้! ถึงขนาดให้แม่ทัพมู่ออกหน้าแทนได้ เห็นทีนางคงสำคัญต่อท่านมากเลยสินะ" ฉีเฟยหลงเอ่ยเย้าสหาย ด้วยได้รับรายงานว่าสหายผู้นี้แอบหนีภารกิจก็เพราะนาง
"พ่ะย่ะค่ะ"
คำตอบสั้นๆ เล่นเอาสะเทือนไปทั้งใจ โดยเฉพาะชิงหลินที่หันมามองเขาเต็มตา จึงทันได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยแดงจางๆ พาดผ่าน
มู่หลิ่งเหวินเองก็เหล่มองคู่หมายเช่นกัน เมื่อเห็นนางมองตนอย่างโง่งมด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ใจพยัคฆ์หนุ่มก็พลันเต้นแรงและรู้สึกขัดเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"ฮ่าๆๆ พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถิด เราอยากรู้เรื่องอาชาสวรรค์สามสีสามตัวมากกว่า" เสียงกลั้วหัวเราะของฉีเฟยหลงดึงสติแม่ทัพหนุ่มกลับมา
"บุตรีของกระหม่อมทราบแหล่งที่อยู่แล้ว และอยากจะรีบเดินทางในเร็ววัน ขอองค์รัชทายาทโปรดประทานอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนกราบทูลข้อมูลแก่ผู้สูงศักดิ์
"ตกลง! เราอนุญาต แล้วจะออกเดินทางเมื่อใด" คราวนี้องค์รัชทายาทหันไปถามหญิงสาว
"พรุ่งนี้ยามเฉินเพคะ" เพราะไม่อยากเสียเวลา ปู่เสือกับย่าเสือเองก็บอกนางว่าเจอตัวง่าย แต่การจับพวกมันนั้นยากยิ่งนัก
"ดี! เราจะไปกับพวกเจ้าด้วย"
"เอ๋?" 'ว่าอย่างไรนะ!' ชิงหลินตะโกนก้องในใจ
[1] ยามเซิน คือช่วงเวลาตั้งแต่ 15.00 น. - 16.59 น.