ยามเช้า ณ ห้องอาหารเรือนแสงจันทร์ภายในจวนเสนาบดีมู่
ชิงหลินมากินอาหารเช้าตามคำชวนเช่นทุกครั้งที่มาเยือน โดยมีมู่ฮูหยินและคุณชายน้อยมู่หลิ่งเฟิงร่วมโต๊ะ ส่วนท่านลุงมู่และคู่หมายของนางไม่อยู่ ซึ่งนั่นทำให้นางโล่งอก บอกตามตรง...เรื่องผู้ชายนางยิ่งกว่าเด็กหัดเดินอีก แฟนน่ะเคยมีกับเค้าที่ไหน วันๆ เอาแต่วาดรูป เดินทางท่องเที่ยวเก็บข้อมูลไปเรื่อย หลังจากเหตุการณ์จูบสะท้านทรวงเมื่อคืน ถ้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยนางก็คงเป็นพวกกามตายด้านแล้วละ
"หลินเอ๋อร์...หลินเอ๋อร์..." เสียงนุ่มนวลของมู่ฮูหยินดึงสติชิงหลินกลับมา
"เจ้าค่ะท่านป้า" นางขานรับเสียงหวาน
"เป็นอันใดไป นอนมิพอหรือ" เอ่ยถามอย่างห่วงใยเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของอีกฝ่าย
"ขอบคุณท่านป้าที่ห่วงใย หลินเอ๋อร์สบายดีเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบกลับก่อนจะตามด้วยรอยยิ้ม จะบอกได้อย่างไรว่าเพราะลูกชายตัวดีของท่านนั่นแหละ ตาของนางจึงเหมือนหมีแพนด้าเช่นนี้
"พี่หลินเอ๋อร์ วันนี้ท่านช่วยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงที่นั่งอยู่ระหว่างมารดาของตนกับหญิงสาวถามพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนจนยากที่จะปฏิเสธ
มู่หลิ่งเฟิง เด็กชายวัยแปดขวบ แม้จะยังเด็กแต่ความคิดเกินตัว เดิมทีเขาไม่ค่อยชอบคู่หมายของพี่ชายนัก ด้วยสัมผัสถึงกลิ่นอายความร้ายกาจและน่ากลัวจากนางได้ แต่ยามนี้กลิ่นอายที่ว่าไม่หลงเหลืออยู่เลย ทั้งนางยังช่วยชีวิตตนไว้ ทำให้เด็กน้อยนึกสนใจนางขึ้นมา ซึ่งการกระทำของเด็กน้อยอยู่ในสายตาของมารดา และพ่อบ้านใหญ่แซ่ซือ นามว่าฝู บุรุษชราที่ไว้เครายาว
"เฟิงเอ๋อร์ อย่ารบกวนนาง" มู่ฮูหยินเอ่ยปรามบุตรชายเสียงอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านป้า ไปกันเถอะเฟิงเอ๋อร์"
มู่ฮูหยินมองทั้งสองคนเดินจับมือกันออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"ดูเหมือนคุณชายน้อยจะให้ความสนิทสนมแก่คุณหนูชิงมากนะขอรับ" พ่อบ้านซือกล่าว
"ใช่ ข้ารู้สึกว่ากิริยาท่าทาง คำพูดคำจา แม้จะดูขัดหูขัดตาต่างไปจากเดิม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดข้ากลับชื่นชอบที่นางเป็นแบบนี้มากกว่า"
พ่อบ้านใหญ่พยักหน้าช้าๆ อย่างเห็นด้วย
ยามพลบค่ำ ณ เรือนพยัคฆ์
มู่หลิ่งฟู่ยกน้ำชาขึ้นจิบหลังมื้ออาหารผ่านไป ก่อนจะเอ่ยถามบุตรชายคนเล็กที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ ตน ด้วยรู้ดีว่าไม่มีการเรียนการสอนในวันนี้ "วันนี้เจ้าทำสิ่งใดบ้าง"
"ข้าอยู่กับพี่หลินเอ๋อร์ขอรับ นางสอนข้าหลายอย่าง ล้วนแต่เป็นสิ่งแปลกใหม่และไม่เคยทำมาก่อนทั้งสิ้น" เด็กน้อยบอกกล่าวบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"หือ? นางสอนสิ่งใดหรือ" ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วขณะถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"ทายปริศนาอะไรเอ่ยขอรับ" น้ำเสียงกระตือรือร้นและสีหน้าตื่นเต้นของบุตรชายคนเล็กที่มักจะสงบเสงี่ยมเกินวัย ทำให้มู่หลิ่งฟู่ผู้เป็นบิดาประหลาดใจยิ่งนัก
"ทายปริศนา? อย่างไร"
มู่ฮูหยินอมยิ้ม มองสามีกับบุตรชายพูดคุยโต้ตอบกันอย่างออกรส นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเก๋งที่อยู่ริมสระบัว ทีแรกนางไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ และคิดว่าไม่นานเฟิงเอ๋อร์ของนางคงเบื่อหน่ายไปเอง เมื่อเวลาผ่านไปจนพลบค่ำ นางจึงรู้ว่าที่นางคาดไว้นั้นผิดถนัด ไม่เพียงไม่เบื่อหน่าย เฟิงเอ๋อร์กลับติดหญิงสาวแจ จนนางเองยังแปลกใจและทึ่งในตัวหญิงสาวผู้นี้ ประการสำคัญหญิงสาวยังเป็นผู้มีพระคุณของเฟิงเอ๋อร์ ซึ่งนางไม่มีทางลืมเลือน และคิดว่าสะใภ้ใหญ่ของบุตรชายต้องเป็นชิงหลินเท่านั้น
หลังจากชิงหลินกลับมาถึงเรือนจันทราก็ล่วงเข้ายามไฮ่ วันนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งสนุก โดยที่ไม่เบื่อหน่ายเลยสักนิด เด็กน้อยคนนี้ไม่เพียงฉลาดเฉลียว ฝีมือการวาดรูปก็ไม่เลวเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะได้อาจารย์ดี พอคิดถึงเรื่องที่ทำในวันนี้นางก็อดยิ้มไม่ได้ แม้ตอนแรกเด็กน้อยจะไม่เข้าใจการเล่นทายปริศนาอะไรเอ่ย แต่พอจับทางได้ เด็กน้อยก็สามารถวิเคราะห์และตอบถูกถึงเก้าในสิบ นับว่าเป็นเด็กที่ฉลาดมากทีเดียว
เวลาเดียวกัน ณ โรงเตี๊ยมหรูแห่งหนึ่งในเมืองลั่วหยาง รองแม่ทัพจางมู่หลงในชุดสีดำยืนสงบนิ่งมองแม่ทัพหนุ่มอ่านสารลับจากชายแดนด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยมีชายร่างใหญ่สองนายยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ ดึกมากแล้ว ข้าว่าท่านรีบพักผ่อนเถิด"
มู่หลิ่งเหวินเงยหน้ามองบุรุษที่เป็นทั้งสหายและผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ก่อนจะถามเสียงเรียบ "ยามใดแล้ว"
"ยามจื่อแล้วขอรับ" มู่หลิ่งเหวินพยักหน้า "ข้ารู้แล้ว เจ้าไปพักได้"
ยามจื่อเป็นเวลาแห่งการพักผ่อน หลายชีวิตล้วนตกอยู่ในห้วงนิทรา รวมถึงผู้ติดตามทั้งสามของมู่หลิ่งเหวิน แต่แม่ทัพหนุ่มรูปงามไม่อาจข่มตาให้หลับได้ เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนวาน นางเป็นคู่หมายของเขาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะล่วงเกินนางเช่นนั้นได้ ยังไม่ทันจะได้กล่าวขออภัย กลับมีเรื่องด่วนจนต้องเร่งรีบเดินทางมาเมืองลั่วหยางทันที ไม่ทันได้บอกกล่าวผู้ใด คิดแล้วก็รู้สึกผิดไม่น้อย มือหนาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดตาออกมาจากอกเสื้อ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะ
"เสี่ยวสุ่ย ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของข้าอยู่ไหน" ชิงหลินถามหาผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดในเช้าวันต่อมา ก่อนจะต้องไปกินอาหารที่เรือนแสงจันทร์เช่นทุกวัน
"เอ...บ่าวจำได้ว่าใส่ไว้ในตะกร้าใบนี้เจ้าค่ะ" เสี่ยวสุ่ยรีบหาของที่คุณหนูต้องการ แต่กลับพบเพียงผ้าเช็ดหน้าสีอื่น
"แปลกจัง" นางพึมพำกับตัวเอง เพราะจำได้ว่าคุณหนูชื่นชอบผืนนี้เป็นพิเศษ ตรงมุมปักคำว่า 'หลิน' และมีเพียงผืนเดียวที่นำมาครานี้ จึงวางไว้บนสุด "บ่าวจะไปหาดูข้างนอกเรือนก่อนนะเจ้าคะ เผื่อว่าจะปลิว..."
"ช่างเถิด นี่ใกล้เวลาอาหารแล้ว รีบไปกันดีกว่า" ชิงหลินยกมือห้าม เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ แล้วเดินนำออกไปทันที
"วันนี้ต้องเรียนเขียนรูปกับอาจาย์หูเอ้าเทียนใช่หรือไม่เฟิงเอ๋อร์"
"ขอรับท่านพ่อ เอ่อ...ท่านพ่อ ข้าขอให้พี่หลินเอ๋อร์เรียนเขียนรูปกับข้าด้วยได้หรือไม่ขอรับ" คุณชายน้อยมู่หลิ่งเฟิงส่งสายตาอ้อนวอน
"ว่าอย่างไรหลินเอ๋อร์ เจ้าอยากเรียนร่วมกับเฟิงเอ๋อร์หรือไม่" หันมาถามหญิงสาวที่นั่งถัดจากฮูหยินของตน
"ขอบคุณท่านลุงที่เมตตา เพียงแต่วันนี้หลินเอ๋อร์มีเรื่องที่ต้องเรียนให้ท่านลุงและท่านป้าทราบเจ้าค่ะ" ถ้อยคำนั้นทำให้ทั้งสามคนหันมามองนางอย่างสงสัย
"เรื่องอันใดหรือ" มู่หลิ่งฟู่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง
"ตอนนี้หลินเอ๋อร์กำลังศึกษาเล่าเรียนตำราจากท่านพ่อเกี่ยวกับกิจการของตระกูลอยู่ จึงมิอาจอยู่ให้ครบตามกำหนดได้"
"ความหมายของเจ้าคือ...ต้องการกลับคฤหาสน์ก่อนเวลา?" มู่หลิ่งฟู่ถามขึ้น
"เจ้าค่ะ ขอท่านลุงกับท่านป้าอนุญาตด้วย" ชิงหลินลงไปนั่งคุกเข่าก้มหน้ารอฟังคำตอบ
"ไม่ได้! ข้าไม่ยอม ท่านพ่อ" มู่หลิ่งเฟิงลงไปนั่งคุกเข่าข้างๆ หญิงสาว ส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจจากผู้เป็นบิดาเต็มกำลัง
"เจ้าอยู่ต่ออีกสักวันสองวันมิได้หรือ" มู่ฮูหยินเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อเห็นบุตรชายถึงขนาดลงไปคุกเข่าเพื่อรั้งนางไว้
"พวกเจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด" มู่หลิ่งฟู่ถอนหายใจ สายตาเฉียบแหลมมองหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอย่างพิจารณา ในใจลึกๆ ไม่ได้ชื่นชอบนางเท่าใดนัก ด้วยรู้ในทุกเรื่องที่บุตรชายคนโตบอกกล่าว และอยากยกเลิกสัญญาที่ตนกับสหายได้ตกลงกันไว้ แต่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก ไม่อาจกระทำได้ดังใจ เรื่องที่นางล้มป่วยครั้งที่ผ่านมา เขานั้นทราบดีว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่าก็แกล้งปิดหูปิดตาไม่รับรู้เพราะเห็นแก่ความเป็นสหายกัน
ยามที่นางมาเยือนสกุลมู่ มักจะถามถึงบุตรชายคนโตของตนบ่อยครั้งจนน่ารำคาญ และเจ้าบุตรชายตัวดีก็มักจะหลบเลี่ยงไม่ยอมกลับจวน โดยอ้างว่าติดภารกิจ และครานี้ก็เช่นกัน หนีไปโดยไม่คิดจะบอกกล่าวตนเลย ช่างน่าขันนัก
จะว่าไปครั้งนี้ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยที่นางไม่ได้ถามถึง หรือแม้แต่จะมองหาก็ยังไม่ทำ ซ้ำบุตรชายคนเล็กที่ไม่ชื่นชอบนางและมักจะหลบเลี่ยงนาง กลับคลุกคลีอยู่กับนางไม่ยอมห่าง แล้วยังคุกเข่าอ้อนวอนตนเพื่อรั้งนางอีก
"อย่างที่ฮูหยินว่า อยู่ต่ออีกสักวันสองวันก็แล้วกัน เพื่อเฟิงเอ๋อร์ได้หรือไม่"
ชิงหลินทำท่าจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาของเด็กน้อยที่จ้องมองอย่างคาดหวังก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ
"หลินเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ"
'เฮ้อ! นี่ข้าต้องอยู่ต่ออีกหรือนี่ อยากกลับไปหาเจ้าไป๋เสวี่ยไวๆ จัง'
อาการลอบถอนใจของนางไม่ได้รอดสายตาเฉียบคมของมู่หลิ่งฟู่ที่ยกน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ มองบุตรชายคนเล็กที่แสดงอาการยินดีออกนอกหน้า เดินอ้อมโต๊ะไปคว้ามือนางแล้วเดินออกไปจนนางเซถลาไปข้างหน้าตามแรงดึงของบุตรชาย ท่ามกลางความตกใจของมู่ฮูหยินและบ่าวไพร่
ยามปกติมู่หลิ่งเฟิงจะเรียนเขียนรูปที่ห้องหนังสือ โดยมีหูเอ้าเทียนเป็นอาจารย์ หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว ชิงหลินก็นั่งมองบุรุษรูปงามในชุดสีขาวสะอาดตาไร้รอยปักใดๆ แต่ความเงางามของผ้าก็บ่งบอกถึงความหรูหราชัดเจน ผมถูกเกล้าขึ้นเพียงครึ่ง แล้วปล่อยอีกครึ่งที่ยาวถึงกลางแผ่นหลังให้ต้องลมปลิวไปมา
'ขุ่นพระ! หนุ่มหล่ออีกแล้ว แม้จะสู้อีตาแม่ทัพนั่นไม่ได้ก็เถิด'
"อาจารย์ นี่คือรูปของพี่หลินเอ๋อร์ที่เขียนไว้ยามก่อนขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงนำภาพส่งให้หูเอ้าเทียน เมื่อหูเอ้าเทียนได้เห็นก็มีท่าทีคล้ายตะลึง ตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ความจริงรูปนี้เป็นความลับระหว่างนางกับเด็กน้อย แต่เด็กน้อยได้ขอเอาไว้ด้วยอยากให้อาจารย์ได้ชมรูปนี้
"เจ้า....เจ้าใช้สิ่งใดวาด แล้วเหตุใดจึงเสมือนจริงได้ถึงเพียงนี้...น่าทึ่งมาก ข้ามิเคยพบเห็นรูปพญาอินทรีที่งดงามเช่นนี้มาก่อน" หูเอ้าเทียนจับจ้องรูปขาวดำตรงหน้ามิวางตา ปากก็พร่ำชื่นชมมิหยุดหย่อน
ชิงหลินยิ้มน้อยๆ ภูมิใจในผลงาน แต่พอเห็นเด็กน้อยยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายดั่งเป็นรูปของตัวเอง ก็ทำให้ศิลปินสาวแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่กับท่าทางน่าเอ็นดูนั้น
"ที่ใช้เขียนคือสิ่งนี้ขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงหยิบแท่งสีดำขนาดเท่านิ้วก้อยมีผ้าหุ้มไว้ตลอดแท่ง ความยาวราวห้าชุ่น ปลายด้ามที่พ้นจากผ้าหุ้มมีลักษณะแหลมเล็ก
หูเอ้าเทียนหยิบขึ้นมาแท่งหนึ่งแล้วพลิกไปมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันมากขึ้นจนเกิดรอยย่นตรงกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง "นี่คือ?"
"ดินสอถ่านไม้ขอรับ ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ผ่านการเผา นำมาเหลาให้กลมแล้วเอาเศษผ้าที่ทากาวแป้งไว้มาพันโดยรอบเพื่อป้องกันไม่ให้มือเปื้อนขอรับ" เด็กน้อยอธิบายอย่างละเอียดไม่มีตกหล่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"ดินสอถ่านไม้? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะใช้เขียนรูปได้ เจ้าคิดเองหรือ" หูเอ้าเทียนถามเจ้าของรูป ด้วยแคว้นฉีนิยมใช้พู่กันเขียนตัวอักษรและวาดรูปเท่านั้น
"เป็นเหตุบังเอิญเสียมากกว่า เมื่อตอนไปตรวจบัญชีที่คอกสัตว์กับท่านพ่อ ข้าเห็นลูกคนงานนำก้อนถ่านมาขีดเขียนเล่นแทนพู่กัน ข้าเลยลองนำมาใช้ดูบ้าง แต่ใช่ว่าไม้ทุกชนิดจะใช้ได้ มีเพียงไม้ชนิดนี้เท่านั้นที่เป็นเช่นที่ข้าต้องการ และก็เป็นเหมือนที่ท่านเห็นเจ้าค่ะ" ชิงหลินอธิบายด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่ทำให้โดนท่านแม่ดุเสียทุกครั้งที่กลับมาพร้อมรอยเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้า
"แต่อาจารย์...ท่านต้องระวังนะขอรับ เพราะมันลบไม่ได้ และยังอาจทำให้ชุดของท่านเปรอะเปื้อนโดยง่าย" มู่หลิ่งเฟิงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี เพราะประสบกับตนเองมาแล้วเมื่อวาน
แล้วการเรียนเขียนรูปก็เริ่มขึ้น หัวข้อในวันนี้คือรูปทิวทัศน์ในจินตนาการ แต่ที่พิเศษคือให้ใช้ดินสอถ่านไม้ของชิงหลิน และหูเอ้าเทียนก็ร่วมแสดงฝีมือในครั้งนี้ด้วย ทั้งสามแยกย้ายกันเลือกมุมที่ตัวเองชอบ โดยหันหลังให้กันและห้ามมองรูปของผู้อื่นจนกว่าการเขียนรูปจะเสร็จสิ้นลง ยามซื่อวันพรุ่งเป็นกำหนดเวลาการตัดสิน
ล่วงเข้ายามโฉ่ว[1] ณ เรือนจันทรา
ขณะที่ทุกชีวิตในเรือนต่างหลับใหล ตรงหน้าต่างปรากฏเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งในชุดสีดำ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของชิงหลินทางหน้าต่าง
"เจ้าประมาทเกินไปแล้ว" เสียงทุ้มห้าวแบบบุรุษพึมพำเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงคู่หมายของตน ด้วยวรยุทธ์สูงส่ง ทุกย่างก้าวแผ่วเบาและเงียบเชียบ แม้แต่สาวใช้ทั้งสองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีผู้บุกรุก
มู่หลิ่งเหวินนั่งมองคู่หมายนิ่ง รูปโฉมโนมพรรณของนางจัดว่างดงาม แต่ไม่ได้งดงามปานล่มเมืองล่มแคว้น ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น สมส่วน น่าทะนุถนอม โดยเฉพาะริมฝีปากนี้ ปลายนิ้วยื่นออกไปแตะริมฝีปากอวบอิ่มแผ่วเบา ความนุ่มนิ่มทำให้เขาต้องลอบกลืนน้ำลาย เลือดในกายพลุ่งพล่าน มู่หลิ่งเหวินชักมือกลับทันทีประหนึ่งต้องของร้อน
อยู่ดีๆ คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน แววตาวาวโรจน์ สองมือแกร่งกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ยามตระหนักถึงสาเหตุที่ทำให้ตนต้องรีบร้อนเดินทางจากเมืองลั่วหยางกลับมายังเมืองหลวง ถ้าไม่ใช่เพราะรายงานจากหนึ่งในสี่องครักษ์เงาฝีมือดีของตนที่ให้คอยจับตาความเคลื่อนไหวของสตรีผู้นี้
มู่หลิ่งเหวินได้สารลับให้ตามหาตัวองค์รัชทายาทที่หายตัวไปที่เมืองลั่วหยาง แม่ทัพหนุ่มจึงเร่งออกเดินทางแทบจะทันที ก่อนไปก็แอบเข้ามาดูหน้านางที่อยู่ในห้วงนิทรา และฉวยหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางติดมือไปด้วย
'ข้าสู้อุตส่าห์รีบปฏิบัติภารกิจแทบไม่ได้หลับได้นอนเพื่อรีบกลับมาหาเจ้า แต่เจ้ากลับคิดหลบหนีข้า เจ้านี่มัน...' ขณะที่แม่ทัพหนุ่มตัดพ้อนางในใจ ร่างเล็กที่นอนนิ่งเมื่อครู่กลับพลิกกายมาทางแม่ทัพหนุ่ม สองมือไขว่คว้าหาหมอนข้างทั้งที่ยังหลับตา คิ้วเรียวพลันขมวดเข้าหากัน
หมับ!
'อืม...มือใครเนี่ยใหญ่จัง มือ?...มือคนหรือ' ชิงหลินลืมตาขึ้นในความมืด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างดำทะมึนนั่งอยู่ข้างเตียงและกำลังจ้องมองอยู่
'ผะ...ผีหลอก...' นั่นคือสิ่งที่นางคิด
"ผะ...ผะ...อึก" และก่อนที่นางจะร้องออกมาเป็นคำ นิ้วแข็งแรงก็จิ้มลงมาที่ร่างเล็กสองครั้ง ทำให้นางเปล่งเสียงไม่ออก ซ้ำยังขยับตัวไม่ได้ ดวงตากลมโตมองฝ่าความมืดพลันเบิกตากว้าง
'มู่หลิ่งเหวิน? เขามาทำอะไรที่นี่'
มู่หลิ่งเหวินยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางโน้มใบหน้างดงามลงมาใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงไอร้อน ชิงหลินกลอกตาไปมา พยายามส่งสายตาถามว่าต้องการอะไร ก่อนที่ใบหน้าจิ้มลิ้มจะค่อยๆ เห่อแดงเมื่อนึกถึงจูบเมื่อคืนนั้น ยังดีที่เป็นคืนเดือนมืดเลยมองไม่ค่อยเห็นเท่าไร
ชิงหลินยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีกจนต้องหลับตาปี๋ สัมผัสอุ่นร้อนจากร่างแกร่งทำให้ใจของนางเต้นแรง เมื่อคลายความหวาดหวั่นแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น สบตากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่มองอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มแสร้งหันไปมองข้างหน้า เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่านางกำลังหวั่นไหว
'แต่ว่านะ...นี่มันที่ไหน เขาพานางออกมาจากจวนทำไม'
มู่หลิ่งเหวินพานางมาที่จวนแม่ทัพซึ่งอยู่ติดกับจวนเสนาบดีมู่เพียงกำแพงกั้น โดยผ่านช่องทางลับเชื่อมต่อกับห้องนอนของตนที่มีเพียงตนเท่านั้นที่รู้ เป็นที่ซึ่งไม่อนุญาตให้สตรีนางใดเข้ามาวุ่นวาย แม่ทัพหนุ่มวางร่างของนางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ราวกับนางเป็นหยกชั้นดี ก่อนจะคลายจุดให้นางหนึ่งจุด
"อึก ท่านทำอะไรน่ะ แล้วพาข้ามาที่นี่ทำไม แล้วที่นี่ที่ไหน แล้ว..." นางยิงคำถามใส่เขามากมายทันทีที่ขยับปากได้
"เพราะเหตุใด" เสียงทุ้มห้าวย้อนถามโดยไม่ใส่ใจกับคำถามของนาง
"เอ๊ะ...เรื่องอะไรเจ้าคะ"
"กลับก่อนกำหนด" ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็เอ่ยปากหลังจากที่นั่งนิ่งอยู่นาน ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นริ้วแดงจางๆ ตรงโหนกแก้มสาก
"อ้อ...เรื่องนี้เอง ท่านน่าจะดีใจนะเจ้าคะ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่ได้เต็มใจกับการหมั้นหมายครั้งนี้อยู่แล้ว"
มู่หลิ่งเหวินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาทำเพียงมองนางนิ่งๆ
"ดังนั้นการที่ข้าจะอยู่ต่อหรือกลับก่อนก็คงไมใช่ปัญหา และไม่ได้ทำให้ท่านเสียหน้าแต่อย่างใด" ชิงหลินพูดต่อโดยไม่ได้ดูปฏิกิริยาของคนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ นาง เลยไม่ได้เห็นใบหน้าที่เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวสลับกันไปมาของเขา
เมื่อเห็นเขาเอาแต่เงียบก็คิดว่าเขาคงจะเห็นด้วยกับคำพูดของนาง ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่คิดก็ถือว่าแผนการของนางประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว จึงเอ่ยต่อ "แต่ถ้าท่านกลัวเสียหน้า ท่านก็เรียนให้ท่านลุงกับท่านป้าทราบด้วยตัวเองเถิด หรือจะป่าวประกาศว่าข้าเป็นผู้ขอยกเลิกการเป็นคู่หมายเพราะมีใจให้ชายอื่น ข้าก็...อื้อๆ"
เส้นความอดทนขาดผึงทันที เมื่อแม่ทัพหนุ่มได้ยินคำว่า 'มีใจให้ชายอื่น'
มู่หลิ่งเหวินปิดปากอวบอิ่มที่ช่างเจรจาเชือดเฉือนของนางด้วยริมฝีปากหนาอุ่นร้อนด้วยบันดาลโทสะ ชิงหลินไม่ทันระวังตัวแถมยังขยับตัวไม่ได้เพราะโดนสกัดจุด ที่ขยับได้มีเพียงริมฝีปากจึงพยามยามปิดเม้มให้แน่น ไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้ามาได้ แต่ก็ต้องสะดุ้งจนเผลออ้าปากเพราะฝ่ามือแกร่งข้างหนึ่งลูบไล้หน้าอกและออกแรงบีบเบาๆ ทำให้ลิ้นหนาเข้ามาสำรวจได้โดยง่าย
ร่างใหญ่ทาบทับลงบนร่างเล็กที่นอนนิ่ง ฝ่ามือหนาลากไล้ไปตามเนื้อตัวของนางอย่างแผ่วเบาและถือสิทธิ์ เขาขบเม้มริมฝีปากนางจนบวมเจ่อ ก่อนจะผละศีรษะออกเล็กน้อยเพื่อมองนางที่หอบสะท้าน พร้อมกับกะพริบตามองเขาอย่างตื่นตระหนก แล้วก้มลงประกบปากอวบอิ่มซ้ำ เพียงแต่ครั้งนี้กลับนุ่มนวล อ่อนหวาน และไม่รุนแรงเอาแต่ใจ จนนางหลงมัวเมาไปกับความสุขที่เขามอบให้ชั่วขณะ
"อื้อๆ...อุด...ไอ้โอดเอิดเอ้าอะ" ชิงหลินประท้วงโดยแสร้งบีบน้ำตา
ได้ผล! มู่หลิ่งเหวินชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำตาของสตรีที่ตนรังแกอยู่ เขาจึงรีบผละร่างออกมานั่งหอบหายใจถี่อยู่ข้างเตียง ปล่อยให้นางนอนตัวแข็งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม
"ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดเจ้า"
'หา! ไม่ขอโทษแล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นความผิดของข้า หน้าด้าน! หน้าด้าน! หน้าด้าน!' ชิงหลินโมโหมากจนหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะกระโดดข่วนหน้าหล่อๆ ที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนัก
"ท่าน...ท่าน...ท่านนี่มัน..." นางเตรียมจะด่าเขา แต่ก็ต้องหุบปากฉับ เมื่อเขาโน้มหน้าลงมาใกล้พร้อมกับเท้าแขนข้างหนึ่งข้างศีรษะ
"เหตุใดไม่พูดต่อเล่า...หึๆๆ" สองสายตาประสานกันนิ่ง หนึ่งสายตาแพรวพราว หวานเยิ้ม และล้อเลียน อีกหนึ่งสายตาเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว สับสน และประหลาดใจ
"...ท่านต้องการอะไรกันแน่" เมื่อระงับความฉุนเฉียวได้จึงเอ่ยปากถาม คล้ายจะเห็นดวงตาคมสว่างวาบแวบหนึ่งก่อนจะหายไป พร้อมกับร่างแกร่งที่ผละออกทำให้นางหายใจคล่องขึ้น
'มันอะไรกันนักหนา เจอกันสามครั้งก็โดนจูบสามครั้ง เขาเกลียดชิงหลินไม่ใช่หรือ แล้วเขาทำแบบนี้ทำไม'
"ข้าจะพาเจ้ากลับเรือน"
ร่างเล็กแทบหวีดร้องออกมาเมื่อถูกอุ้มแนบอกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทุกการกระทำของเขาช่างเอาแต่ใจ ไม่ถามความเห็นนางสักคำ ครั้นอยากจะต่อว่าเขาก็ดันโดนสกัดจุดอีกครั้ง เมื่อพูดไม่ได้ ขยับก็ไม่ได้ นางจึงได้แต่ถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธเคือง
มู่หลิ่งเหวินหลุบตาคมลงมองนางในอ้อมกอดที่เม้มปากแน่น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มุมปากพลันยกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะกระชับวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิมแล้วโจนทะยานพาร่างเล็กกลับไปยังเรือนพักของนาง
[1] ยามโฉ่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 01.00 น. - 02.59 น.