webnovel

บ้านร้าง (4/4)

ชายปริศนายังเหลือหน้าไว้ให้ผู้สืบทอดบ้าง ถึงไม่อุ้มแบกขึ้นบ่าเหมือนเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ช่วยพยุงเดินด้วยกันแทน แขนคนเจ็บอยู่บนบ่ากว้าง ลำตัวส่วนบนแนบชิด มือกระชับเอวเขาไว้มั่นคง

นาวีพยายามกัดฟันรักษาภาพลักษณ์เข้มแข็ง เอาคำว่า 'ผู้สืบทอด' และ 'ย่า' มาเตือนตัวเองไม่ให้ซบอกคนข้าง ๆ อย่างชัดเจนเกินไป แต่การฝืนยิ่งส่งความเจ็บปวดลงเข่าหนักกว่าเก่า ลงน้ำหนักทีเหมือนจะตาย ไม่ต้องคิดไปถึงเลยว่าจะเดินเอง

ความทุลักทุเลทำให้พวกเขาใช้เวลานานกว่าจะถึงครัวชั้นหนึ่ง ข้างในไม่ได้ว่างเปล่าตามที่คาด ร่างในชุดขาวโทรม ๆ ยืนนิ่งขวางหน้าประตูทางออกสู่สวน แขนทั้งสองข้างปล่อยแนบลำตัว คอเอียงในลักษณะผิดธรรมชาติ ดวงตาเปื้อนเลือดไม่มองสิ่งใด เหมือนแค่ถูกสั่งให้ 'รอ' ดักทางเหยื่อที่รู้ว่ายังไงก็ต้องหนีไปข้างนอก น่ากลัวว่าทุกทางออกจากตัวบ้านจะถูกการ์ดอยู่เช่นเดียวกัน

พวกเขาแอบอยู่หลังบานประตูของห้องติดกัน เงียบภาวนาให้ผู้ทรยศเดินออกไป แต่จนแล้วจนรอดร่างที่ยืนนิ่งก็ไม่ยอมขยับ

ผู้ช่วยเหลือตัดสินใจพานาวีเลี่ยงไปอีกทาง ทั้งสองผ่านทางเดินริมบันไดที่มืดสลัว เต็มไปด้วยเศษราวจับร่วงลงเป็นกองไม้ระเกะระกะ ก่อนจะถึงบันไดเตี้ย ๆ ฝังลึกลงผนังปูน นำไปสู่ประตูไม้เก่าขึ้นรา พอเปิดออกเห็นแต่ความมืดกับหยากไย่ ดูคล้ายปล่องเมรุเชื่อมไปปรโลกมากกว่าทางใต้ดิน

"ขะ-เข้าไปในนี้เนี่ยนะ??" คนขี้กลัวส่ายหน้าอย่างเดียว ใช้สายตาเคลือบแคลงมองคนใจดีที่ช่วยชีวิต แต่ตอนนี้จะใจร้ายมากถ้าให้เขาไปติดอยู่ในนั้น

"มันเป็นทางเชื่อมไปถึงสวน"

"ทำไมรู้ดีจังฮึ" หรือความจริงแล้วเจ้าหน้าที่เก๊จะเก๊เนียนกว่าที่คิด เขารู้เรื่องบ้านร้างแล้วก็การทำงานของสมาคมดีจัง อยากรู้นักใครแอบช่วยหมอนี่ ใครกันที่กล้าทรยศย่า

"เอาไว้ทีหลังได้ไหมนาวี"

ร่างเล็กกว่าถูกลากเข้าไปรวดเร็ว ย้ำเตือนว่าทางเลือกของเขามีน้อยพอ ๆ กับแสงสว่างในทางลับ ดีที่ผู้ร่วมทางหักไฟฉุกเฉินให้นาวีถือสู้กับความมืด อีกทั้งสัญชาตญาณบอกเขาว่ากลิ่นอายของคนใกล้ตัวเท่ากับปลอดภัย มือที่โอบกอดก็ช่วยให้อุ่นใจจนลืมเถียง

เส้นทางมืดสนิทตัดตรงอย่างเดียว ยังไงก็ไม่หลง หนทางข้างหน้าให้ความรู้สึกไกลมากไม่รู้จบ ยิ่งอยู่นานยิ่งเหมือนช่องแคบรอบตัวบีบคั้นเข้ามา หลังเดินไปราว ๆ สิบนาทีที่เหมือนสิบชั่วโมง เด็กหนุ่มถึงเห็นแหล่งแสงสว่างอื่นที่ไม่ใช่ไฟฉุกเฉิน

ไม้ค้ำมนุษย์ทิ้งให้นาวีพิงกำแพงชั่วคราว ก่อนชายหนุ่มจะผลักประตูสี่เหลี่ยมบนเพดานออก แล้วพากันปีนบันไดสู่โลกชั้นบน ลังไม้เป็นสิ่งแรกที่นาวีสังเกตเห็น ตามด้วยอุปกรณ์ช่างแขวนเต็มผนังสามด้าน นอกนั้นเป็นแผ่นพลาสติกกับลูกบิดโทรม ๆ ตรงทางออก และพื้นที่แคบพอจะมองเห็นหมดว่าทั้งห้องไม่มีผีซ่อนตัวอยู่

"ผมจะออกไปดูข้างนอกก่อน"

"ไม่เอา ไปด้วยกันสิ" เด็กหนุ่มเถียง แต่โดนทิ้งให้นั่งหน้ามุ่ยบนลังไม้อยู่ดี

ชายปริศนาค่อย ๆ แง้มประตูออกสู่สวน จากช่องแคบระหว่างบานพับกับผนังเขาเห็นเงาเส้นแตกสาขาของกิ่งไม้บนฟ้ากลางคืน นอกนั้นเป็นเงาตะคุ่มยากจะแยกออกว่าพุ่มไม้ น้ำพุ หรืออะไร เมื่อเห็นว่าทางสะดวก ผู้ช่วยเหลือหันกลับมาหาเด็กหนุ่ม ตอนนั้นเองที่หางตานาวีเห็นเงาขยับเร็ว ๆ อยู่ข้างนอกจึงตะโกนเตือน

"ข้างหลัง!"

ช้าไปแล้ว ผีตาเลือดโดดล็อกคอร่างสูงไว้จากข้างหลัง หมายให้ขาดอากาศ เหยื่อแก้ด้วยการดันศัตรูไปชนแผงแขวนอุปกรณ์ เครื่องมือหลายอันร่วงกราวลงมา

ชายหนุ่มหน้าดำหน้าแดงจากหายใจติดขัด เขาพยายามกระแทกร่างศัตรูชนกับผนังซ้ำ ๆ แรงชนิดถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาคงหมดสติไปแล้ว แต่ผียังเกาะหลังไม่ปล่อย สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อนาวีเห็นผู้ทรยศวิ่งกรูมาไม่ต่ำกว่าสาม และประตูก็เปิดกว้างต้อนรับ

คนเจ็บรีบฝืนลุกไปหยิบอาวุธมาช่วยผู้ช่วยชีวิต เขาฉวยค้อนเล็งทุบหัวผีให้มันหยุด มันละมือข้างหนึ่งมาแย่งอาวุธกับนาวี เปิดโอกาสให้เหยื่อจับผู้โจมตีทุ่มตัวลอย พาตัวเองออกจากท่ารัดคอได้สำเร็จ

ชายปริศนาลากแขนเขาให้วิ่งหนีไปด้วยกัน ขาที่เชื่องช้าทำให้เขาเป็นตัวถ่วง ถึงก้าวลงพื้นดินนุ่มก็เหมือนก้าวลงถ่านไฟ เหลือบข้างหลังเห็นภาพไกล ๆ ว่าพวกที่เคยตระเวนหาอยู่รอบบ้านต่างพากันวิ่งมาทางนี้ จากคนตาเลือดสองสามคนกำลังจะกลายเป็นสิบ

"ไม่-ไม่ทันแน่ ทิ้งผม—"

"ไว้ทีหลัง! วิ่งก่อน!"

…เขาไม่ฟังเลย

ในสวนมืดและเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ท่อนไม้ล้มคว่ำ พุ่มไม้หนามขึ้นเป็นกระจุก ก้อนหินคมนิ่งรอเป็นกับดัก ทั้งร่างกายและทัศนวิสัยเป็นเครื่องถ่วง ช้าจนถูกไล่กวดทัน

"นาวี!"

เสียงตะโกนเตือนมาช้าไป เขาถูกร่างเร็ว ๆ พุ่งใส่จากมุมอับจนล้มคว่ำ

ตอนลงเขาเอามือยันพื้นผิดท่า ข้อมือที่รับแรงกระแทกเหมือนร้าวแตกเป็นเสี่ยง ความเจ็บปวดพุ่งลามไปทั่วเหมือนเอาแขนจุ่มกระทะร้อน เสียงร้องของตัวเองรวมไปกับเสียง 'พลั่ก!' ของเท้ากระแทกเนื้อ

นาวีเห็นศัตรูโดนถีบไปไกล ก่อนเขาจะโดนอุ้มขึ้นพาหนีอย่างทุลักทุเล ความเจ็บปวดทั้งภายในภายนอกร้อนชัดจนน้ำตาไหล คนหนึ่งกำลังจะหมดแรงในไม่ช้า คนหนึ่งอยู่ในสภาพร่างกายไร้ทางสู้ อยู่ท่ามกลางวงล้อมของอันตรายถึงชีวิต

…ในที่สุดก็ไม่มีทางเลือก

มือของเขาทาบบนแผ่นอกชายหนุ่ม สัมผัสถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็วจากการออกแรง ก่อนจะหลับตาลง

เขาไม่อยากจำช่วงเวลาหลังจากนั้น

นาวีได้ยินเสียงเรียกร้อนรน มือเขย่าปลุกให้คืนสติแต่ก็พยายามเบามือไม่ให้เจ็บ เห็นใบหน้าคุ้นเคยผ่านการรับรู้เบลอ ๆ มีแต่สายตาเป็นห่วงของอีกฝ่ายที่ชัดเจน ตราตรึงเข้าประสาทโดยตรงราวกับเป็นมีดแหลมคมทิ่มแทง

"—ไว้ อย่าพึ่งหลับ —ตื่น!"

ท่ามกลางความปวดหัวหนึบ ร่างกายถึงขีดจำกัด ผู้หลงลืมถูกเตือนด้วยภาพความทรงจำชวนขมขื่น แต่เขาเลือกที่จะปล่อยจิตใจให้หลุดลอยไปโดยไม่สู้ เพราะนิทรามันไร้ความเจ็บปวด นิทราไร้ความรู้สึกผิด นิทราไม่มีน้ำตา

"ป๊า!"

____