webnovel

จอมภูตสะท้านบัลลังก์

เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 (ค.ศ. 1402) เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากเป่ยจิงเข้าสู่ราชธานีนครหนานจิง ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน แต่เมื่อเข้าเมืองได้ปรากฏว่าจักรพรรดิหนุ่มทั้งไม่ออกมายอมแพ้ถวายบัลลังก์ให้ ทั้งไม่ยอมฆ่าตัวตายให้พ้นความอับอาย กลับเผาวังแล้วหายตัวไป กลายเป็นเรื่องลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์ว่าเขาหายไปไหน นิยายเรื่องนี้แต่งเติมจากจินตนาการนำจักรพรรดิหนุ่มเดินทางหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือฉายา จอมภูต ที่มีฉากหน้าเป็นสัปเหร่อ ทั้งมีความสามารถปลุกซากศพขึ้นมาใช้งาน จักรพรรดิหนุ่มกลายเป็นสัปเหร่อน้อยเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดหาโอกาสพลิกฟื้นชิงบัลลังก์

DaoistpRuDrI · História
Classificações insuficientes
13 Chs

บทที่ 7 ขบวนส่งศพ

ผ่านไปสามชั่วยามหลังเกิดเรื่องที่ร้านฟางเฉิน เมิ่งเถียนนั่งซึมเซาอยู่หน้าโลงศพที่เรียงรายอยู่ในโกดังเริ่มตั้งสติได้อีกครั้ง เหตุการณ์วันนี้สำหรับเขาแทบจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินคาดคิด ผู้คนโอภาปราศรัยกันอยู่ดีๆ แท้ๆ กลับลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันอย่างน่าสยดสยอง แต่ยิ่งครุ่นคิดยิ่งไม่เข้าใจ สุดท้ายอดรนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยถามสัปเหร่อเสียนผู้มีฉากหน้าเป็นอาจารย์ที่กำลังแล่เนื้อหมูเค็มรับประทานกับหมั่นโถวแกล้มสุราอยู่ไม่ไกลนัก

"อาจารย์ เหตุใดฟางเซินจึงคิดร้ายพวกเรา เหตุใดท่านทราบว่าพวกเขาคิดลงมือในวันนี้ ในเนื้อชามนั้นใช่มียาพิษหรือไม่ พวกที่นั่งดื่มกินในร้านไฉนกลายเป็นมือสังหารจนหมด เหตุใดพวกมันจึงรู้ว่า..." คำถามพร่างพรูเป็นอันหยุดชะงักเมื่อมีหมั่นโถวอันหนึ่งพุ่งเข้าไปอุดปาก !

"ช่างซักดีแท้..." สัปเหร่อเสียหัวเราะขึ้น

"ในโลกนี้มีอาชีพหนึ่งที่เรียกว่ามือสังหาร เรื่องนี้ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่ก็ย่อมทราบว่ามีอยู่ เพียงแต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่เคยพบเห็น เหล่ามือสังหารฆ่าคนเป็นอาชีพ พูดง่ายๆ หากินด้วยการเข่นฆ่า พวกนี้แม้มีมากหลายแต่ให้จำแนก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทเท่านั้น"

"สามประเภทใดอาจารย์ !?" เมิ่งเถียนรีบถามต่อพลางกัดกินหมั่นโถวใบนั้น เขาพบว่าตนเองที่แท้หิวกระหายไม่เบา ตั้งแต่บ่ายยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง

"พวกแรก เป็นพวกที่รู้จักแต่ลงมือสังหาร โดยมากเป็นมือใหม่ ไม่ก็พวกใช่การไม่ใคร่ได้ อาศัยใจกล้าเสี่ยงดวงทำงาน ใครจ่ายเงินก็ลงมือให้กับคนนั้น กลุ่มนี้มีทั่วไป แต่มักไม่ได้งานเพราะตัดราคากันเองบ้าง คนจ้างไม่เชื่อมั่นว่าจะทำงานสำเร็จหรือไม่บ้าง ไม่มีคนว่าจ้างบ้าง รายได้ไม่แน่นอนจะว่าไปทำอาชีพฆ่าหมูฆ่าไก่ยังนับว่ารายได้ดีกว่า ถือเป็นชนชั้นล่างของเหล่ามือสังหาร..."

พูดเสร็จหย่อนเนื้อเค็มใส่ปากยกเหล้าขึ้นจิบตามอีกจอก ก่อนจะเอ่ยต่อไป ท่วงท่าคล้ายคนแก่เล่านิทานให้เด็กฟัง ไม่คล้ายคนที่พึ่งสังหารชีวิตผู้อื่นมาหมาดๆ ถึง 11 ศพ !

"พวกที่สอง พวกนี้รู้จักแสวงหาเป้าหมาย มือสังหารทำงานฆ่าคนแลกเงิน หากเอาแต่รอคนมาว่าจ้างเมื่อใดจึงมีรายได้... มัวแต่อยู่เฉยๆ เงินไม่มาหา แถมเสียโอกาส บางทีลดราคาแข่งกันไปมาเหลือไม่เท่าไหร่ต่อการเสี่ยงชีวิตย่อมไม่คุ้มค่ากับเหล่าผู้มีทักษะและประสบการณ์ พวกที่สองนี้รู้จักใช้สมองมากกว่าพวกแรก รู้จักเสาะหากลุ่มเป้าหมาย บางส่วนถึงกับสามารถสังเกตความไม่ปกติธรรมดา ค้นหาคนแปลกหน้า หรือมีพิรุธเก็บข้อมูลสะสมเอาไว้มีบ้างถึงขั้นคิดค้นเลือกเฟ้นวิธีลงมือไว้ล่วงหน้า ปะเหมาะเมื่อมีข่าวค่าหัวมาถึง ก็สามารถชิงลงมือได้อย่างรวดเร็ว คนอื่นไม่ทันออกเสาะหา พวกมันก็สามารถปลิดศีรษะเป้าหมายได้แล้ว นับว่าหาเงินได้ดีกว่า ทำกำไรได้เหนือกว่าพวกแรก ฟางเฉินกับเมียอยู่ในพวกนี้ พวกมันคงเริ่มได้กลิ่นผิดแปลกของเจ้าโชยมา แต่เชื่อว่ายังไม่ทันได้กระจายข่าวและแท้จริงมันยังไม่คิดลงมือสังหาร เพราะสิ่งที่มันใส่มาในเนื้อหมาฝานไคว่เป็นเพียงยามอมเมาประสาท กินเข้าไปหลับสามสี่วันก็ฟื้น ไม่ได้กะให้ถึงตาย คงเพียงคิดครากุมไว้รอการยืนยัน... เพียงแต่ข้าไม่อาจเสี่ยงให้มันแพร่งพรายสอบถามข่าวออกไป รู้มาว่าวันนี้พวกมันนัดหารือเพื่อรวบรวมเรื่องของเจ้าออกไปสืบสาว จึงตั้งใจพาเจ้าออกไปกระตุ้นให้มันเร่งลงมือ จะได้จัดการเสียให้สิ้นเรื่อง" พูดจบก็ถอนหายใจ

"ฟางเฉินหนอ ฟางเฉิน... รู้จักกันมานานปีสุดท้ายต้องจากกันด้วยลักษณะนี้... ต่อไปหากข้าอยากกินเหล้าแกล้มเนื้อหมาฝานไคว่ มิต้องไปถึงเมืองเพ่ยหรอกหรือ..." พูดจบก็ตัดเนื้อใส่ปากยกสุราดื่มตามไปอีกจอก

"เช่นนั้นท่านก็ทราบมาก่อนแล้วสิว่า ฟางเฉินสองผัวเมียเป็นมือสังหาร" เมิ่งเถียนถามต่อ

"รู้ตั้งแต่แรกพบ ตอนนั้นมันเพิ่งเข้าวงการ ที่จริงเมียของมันเป็นอาจารย์ที่ฝึกสอนฝีมือให้ นางเดิมเป็นคนรับใช้ที่ถูกสั่งให้พลีกายลอบสังหาร แต่ขุนนางที่เป็นนายเดิมมีอันล้มตายลงจึงถูกส่งมารับใช้ยังบ้านที่ฟางเฉินทำงาน นางไม่ได้เปิดเผยทักษะการฆ่าต่อนายใหม่ สุดท้ายพบรักกลายเป็นคู่ผัวเมียมือสังหาร สองคนช่วยกันเชื่อว่าหาเงินได้ไม่เลว จึงลาออกมาเปิดร้านอาหารบังหน้า..."

"ออ เป็นเช่นนี้ สองคนผัวเมียกับคนในร้านล้วนเป็นมือสังหาร มิน่าเล่า ข้าไม่เคยบอกชื่อออกไปไฉนพวกเขาจึงเรียกข้าได้อย่างถูกต้อง... เป็นพวกมันสืบเสาะมาก่อนนั่นเอง" เมิ่งเถียนเอ่ยขึ้นอย่างได้คิด พลางพยักหน้าในการสังเกตของตน

"ผิดแล้ว ชื่อของเจ้าเป็นข้ากระพือไปตั้งแต่แรก ตำบลเล็กๆ เช่นนี้ มีข้าเป็นสัปเหร่อจัดการศพอยู่คนเดียวใครบ้างไม่รู้จัก พอมีเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ของข้า คนย่อมจะรับรู้พูดและพูดถึงเจ้ากันบ้าง เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก อีกทั้งตัวเจ้าเองก็ออกไปตลาด ออกไปจับจ่ายข้าวของเป็นประจำ คนรู้ชื่อเจ้านับเป็นเรื่องสามัญยิ่ง" สัปเหร่อเถียนพูดยิ้มๆ

"ที่น่าสังเกตคือพวกมันพยายามจัดงานเลี้ยงรับศิษย์ใหม่ให้ข้า แต่ไหนแต่ไรมาข้ามีศิษย์หลายต่อหลายคน พวกมันสองผัวเมียไม่เคยกระทำเช่นนี้ แถมยังเลือกเนื้อหมาฝานไคว่ที่ข้าโปรดปรานมาบังหน้า ดูแล้วจงใจหาข้ออ้างให้ดื่มกินลงไปให้ได้ แบบนี้สิจึงเป็นพิรุธ" อาจารย์หยุดจิบเหล้านิดหน่อยแล้วระบายเสียงหัวเราะออกมาดังๆ

"ที่แย่ที่สุดคือ นั่นไม่ใช่เนื้อหมาขนเหลือง มันเป็นเพียงซุปที่ทำจากเนื้อแพะ ! พวกมันช่างดูถูกทักษะด้านอาหารของข้ายิ่งนัก เชื่อว่าวันนี้มันเพียงนัดหมายเพื่อหารือตระเตรียมแผนการ จึงปรุงเนื้อแพะทำการฝึกซ้อม แต่พวกเรากลับโผล่หน้าเข้าไป จึงอาศัยเรื่องเลยตามเลย คิดจับไว้ก่อนหาความจริงทีหลัง สุดท้ายยังมีจุดจบเช่นนี้"

"อาจารย์ มีมือสังหารอีกพวกหนึ่งที่ท่านยังไม่ได้กล่าวถึง..." เมิ่งเถียน กล่าวถามเมื่อนิ่งคิดผ่านไปครู่หนึ่ง

"ออ พวกที่สามคือพวกที่แสวงหาความเป็นเลิศ นับว่าน่าเกรงกลัวที่สุด บางรายแทบไม่สนใจเงินทองอีกแล้ว พวกมันยึดถือการฆ่าคนเป็นการสร้างผลงานฆ่าสนองความพึงพอใจ คล้ายจิตรกรใหญ่วาดภาพอันวิจริต นักประพันธ์ลือชื่อแต่งบทกวีก็ไม่ปาน สนใจแต่งานใหญ่เรื่องเหนือธรรดา เติมความพึงใจตนเองเป็นหลัก หากคิดว่าจ้างคนกลุ่มนี้ต้องเป็นผู้สามารถจ่ายสูงกว่าราคาธรรมนับสิบนับร้อยเท่าจึงสามารถใช้งานพวกมันได้ กลุ่มนี้ยากรับมือ หวังว่าจะพบเจอให้น้อยเข้าไว้ แต่... เถ้าแก่รองจู้ตี้ ยิ่งมายิ่งมั่งคั่งสามารถจับจ่ายมือเติบ อาจจะหามือสังหารกลุ่มนี้มาตามล่าเจ้าก็เป็นไปได้ !"

สัปเหร่อสูงวัยกล่าวพลางโคลงศีรษะ

"อย่าได้กังวลไป คืนนี้ดึกแล้วเจ้าควรพักผ่อนได้ อีกไม่เกินสองวันพวกเราต้องเดินทางไกล"

"เดินทางไกล... พวกเราจะไปที่ใดกันหรือท่านอาจารย์ ?" เมิ่งเถียนร้องถามขึ้นอย่างสงสัย

"ไปส่งศพ !" จอมภูตในคราบสัปเหร่อแค่นเสียงออกมา

.............................................

เช้าของสองวันถัดมามีงานส่งศพเกิดขึ้นจริงๆ มีคนมาเคาะประตูเรียกหาสัปเหร่อตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง เมิ่งเถียน งัวเงียออกมาเปิดประตูต้อนรับ พบว่าเป็นผู้ที่มาเป็นชายสองคนแต่งชุดแบบบ่าวไพร่ในบ้านเศรษฐี บอกกล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาพ่อบ้านรองแซ่เจินซี่งเป็นหนึ่งในคนสนิทของนายท่านเฉิงกับภรรยาเกิดเสียชีวิตลงพร้อมกัน ตกตายคราวเดียวสองคนผัวเมีย เชื่อว่ากินอาหารผิดสำแดงอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปจึงได้เกิดเรื่อง ทางการนำไปตรวจศพเสร็จสิ้นแล้วไม่พบพิรุธว่าเป็นการถูกสังหารแจ้งให้สามารถนำศพกลับมาได้ แต่นายท่านเฉิงไม่อยากนำศพเข้าบ้าน เนื่องจากใกล้วันงานมงคล บุตรชายคนเดียวของท่านจะแต่งงาน จึงต้องการว่าจ้างสัปเหร่อเสียให้นำศพไปส่งยังบ้านเดิมของผู้ตายแถบชานเมืองหางโจว

สัปเหร่อเสียนพร้อมด้วยเมิ่งเถียน รีบแต่งตัวออกไปยังบ้านเศรษฐีแซ่เฉิง พบว่าศพถูกนำมาเก็บไว้ที่โกดังเก็บของหลังร้านค้าร้านหนึ่งไม่ไกลจากบ้าน ศพทั้งสองยังไม่ได้ผ่านการจัดการทำความสะอาด เพียงผ่านการชันสูตรของทางการมารอบหนึ่ง แล้วห่อเสื้อไว้อย่างลวกๆ สองอาจารย์ลูกศิษย์ตรวจดูศพสักครู่ สัปเหร่อเถียนก็ไปพบพ่อบ้านใหญ่เพื่อตกลงเรื่องรูปแบบการจัดการ ต้องการโลงแบบไหน เสื้อผ้าอย่างไร ข้าวของที่จะให้ติดตัวคนตายมีอะไรบ้าง รวมไปจนถึงของเซ่นไหว้ในยามทำพิธีฝังศพ ตลอดจนขอทราบที่อยู่ญาติพี่น้องเพื่อแจ้งข่าวการตาย เพื่อให้มาร่วมงานและเป็นผู้ดูแลสุสานต่อไปหลังเสร็จพิธี เมื่อตกลงเรียบร้อยก็รับเงินออกมา ถือว่ารวดเร็วรวบรัด ทำงานอย่างผู้ชำนาญ ทุกเรื่องราวทุกรายละเอียดไม่มองผ่าน ราคาจึงถือว่าเหมาะสมกับงานไม่มีใครกล้าตำหนิว่าแพง

เพียงช่วงเวลาสายของวันนั้น ศพของสองผัวเมียแซ่เจินก็ถูกนำมาถึงยังที่พักของสัปเหร่อเสียน เข้าสู่ขั้นตอนการจัดการศพ เมิ่งเถียนทำการจุดธูปเทียนเผากระดาษเงินกระดาษทองเซ่นไหว้ ตามธรรมเนียมที่ถูกสอนก็จุดไม้หอมให้ห้องพิธีเตรียมศพให้กับอาจารย์ หลังจากการเปลื้องชุดชำระล้างภายนอกเรียบร้อยเขาก็ถูกสั่งให้ออกไป เหตุผลเนื่องจากสัปเหร่อเสียนจะทำการชำระภายในศพให้พร้อมเดินทางไกล ระยะทางจากหนานจิงไปยังหางโจวไกลถึง 600 ลี้ ใช้เวลาเดินทางไม่น้อยกว่า 3 วัน หากไม่จัดการชำระภายในให้เรียบร้อยศพย่อมเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นไม่เป็นที่พอใจของญาติพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน การชำระภายในไม่ใคร่น่าดู เมิ่งเถียนแม้เริ่มชินกับศพแต่จิตใจยังไม่แข็งกล้าพอจะลงมือทำงานชำแหละร่างพออาจารย์สั่งให้ออกไปภายนอกเพื่อตระเตรียมข้าวของให้พร้อมเดินทางก็ยินดีรีบปลีกตัวออกมาด้านนอกทันที

ผ่านไปสามชั่วยาม สัปเหร่อเสียนก็ออกมาจากห้องพิธี เมิ่งเถียนเองก็เตรียมข้าวของตามที่อาจารย์สั่งไว้ครบถ้วน ทั้งของเกี่ยวกับพิธีศพจนถึงเสบียงและสัมภาระที่กินใช้ระหว่างการเดินทางล้วนไม่ตกหล่น นับว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนวิถีชีวิตจากจักรพรรดิมาเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อได้อย่างเต็มตัวแล้ว...

ก่อนค่ำวันนั้น รถม้าขนาดใหญ่คันหนึ่งก็ถูกนำมาส่งที่หน้าประตู เป็นรถม้าที่เมิ่งเถียนติดต่อว่าจ้างมาจากในหมู่บ้าน เจ้าของรถม้าเพียงให้เช่ารถใช้ขนศพเดินทาง แต่ตัวเขาไม่ยินดีไปด้วยกับศพผีตายโหงจึงรับเพียงค่าเช่ารถไว้จำนวนหนึ่ง พอช่วยสองศิษย์อาจารย์ขนโลงศพสองใบและสัมภาระขึ้นรถเสร็จก็รีบขอตัวกลับเนื่องจากใกล้ค่ำ กิริยาลนลานของชายเจ้าของรถทำให้เมิ่งเถียนขบขันอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่ตนเองก็ใช่ว่ากล้านักในเรื่องซากศพและภูตผี หลังเก็บของใส่รถเรียบร้อยเมื่อทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จก็ออกเดินทาง เป็นการเดินทางในเวลากลางคืน...

สัปเหร่อเสียนกล่าวว่า ขบวนส่งศพผู้คนถือเป็นของอัปมงคลเดินทางยามค่ำคืนหลีกเลี่ยงผู้คนเป็นเรื่องที่ดีแล้ว บางคนขวัญอ่อน หรือดวงไม่แข็งพบปะเข้าอาจเจ็บไข้ได้ป่วยหรือขวัญเสียขึ้นมาจะโดนต่อว่าเสียเปล่าๆ เดินทางชั่วครู่ก็มาถึงประตูเมือง การเข้าออกช่วงนี้ยังมีการตรวจตราเข้มงวดอยู่บ้าง เนื่องจากแผ่นดินพึ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เนื่องจากเป็นรถขนโลงศพและสัปเหร่อเสียนก็เดินทางเช่นนี้เป็นประจำ จึงคุ้นเคยกับผู้เฝ้ารักษาประตูเมืองด้านนี้เป็นอย่างดี

"อาสี่ ครานี้ท่านไปที่ใด" เสียงหัวหน้าทหารรักษาการที่ประตูเมืองร้องทักทาย

"ผู้น้อยรับคำสั่งนายท่านเฉิงส่งคนสนิทและภรรยากลับบ้านเดิมที่หางโจว ท่านนายด่านลำบากแล้ว ค่ำคืนยังอีกยาวไกลน้ำใจเล็กน้อยขอช่วยค่าน้ำชาท่านกับเหล่าพี่น้อง" สัปเหร่อเสียนลงรถไปพูดคุย แอบกำนัลเงินเล็กน้อยเป็นน้ำใจให้ทหารที่เฝ้าประตูเมือง

"มิกล้าๆ ขอบคุณน้ำใจอาสี่ เส้นทางอีกยาวไกลไม่รบกวนท่านแล้ว" นายด่านรับเงินแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม พลางหันไปโบกมือเรียกทหารที่กำลังเข้าไปตรวจค้น "พวกเจ้าพอได้แล้วมีอันใดน่าดู อาสี่มีธุระอย่าได้ทำให้เสียเวลา"

"ขอบคุณท่านนายด่าน"

สัปเหร่อเสียนโค้งคำนับพลันปีนขึ้นไปบนรถม้านั่งตอนหน้าคู่กับเมิ่งเถียน บังคับม้าให้เดินทางผ่านประตูออกไป เมิ่งเถียนรู้สึกเกร็จอยู่ตลอดเวลา แม้จะถูกกำชับว่าอย่าได้เผยพิรุธ แต่เมื่อต้องผ่านจุดที่มีทหารอันทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นคนของจูตี้ไปแล้วก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ พยายามข่มใจทำสีหน้าให้เป็นปกติแต่ใจกลางฝ่ามือหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาจนชุ่มชื้น บางคราถึงกับรู้สึกเส้นขนที่คอลุกชันเหมือนมีดวงตาลึกลับจับจ้องมาก็ไม่ปาน...