บิดานึกโกรธเคืองในทีแรก เมื่อรับรู้ข่าวคราวบุตรสาวว่านางร้องไห้จนหมดสติไป จึงตั้งใจเดินทางมาไถ่ถามเอาความจากบุตรเขย หากไม่ทันได้ถามอะไร มาถึงก็พบสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ไป๋เหม่ยหลานอยู่ในอ้อมกอดสามี กลางสวนรายล้อมด้วยพฤกษชาตินานาพรรณเหมาะสมกับฐานะของจวนอ๋อง บุตรสาวหน้าตาตื่นตระหนกยกมือทำความเคารพบิดา
"หมอจากราชสำนักเดินทางมาดูอาการเจ้าแต่ยามเฉิน ข้ารึเป็นกังวล จนได้ยินว่าลูกสาว..." รอยยิ้มมีลับลมคมในบ่งบอกว่าบิดาพึงพอใจกับสิ่งที่พบเห็น บุตรสาวทำก้มหน้าก้มตาเอียงอายสามี แม้ในยามนี้ดวงตาแดงช้ำของนาง หาได้รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอันใด
"ฟื้นคืนสติก็โผเข้ากอดสามี เห็นทีว่าท่านพ่อของเจ้าคงไม่จำเป็นต้องเดินทางมา"
"ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านเป็นกังวล ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงอ่อนเพลียเล็กน้อย"
ไป๋เหม่ยหลานเป็นบุตรสาวที่ดีเสมอ บิดาเข้ามาลูบศีรษะนาง สอนนางเรื่องการมีสามีไม่ควรให้เขาต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งที่เป็นความผิดของนางเสียเมื่อไร หากไม่เป็นเพราะบ่าวรับใช้ปากพล่อยไปฟ้องบิดาว่าได้ยินเสียงร้องไห้ของนาง ตอนนำหีบผ้าและของใช้ของนางมาส่งถึงเรือนท่านอ๋อง
"ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวล ภรรยาข้า ย่อมไม่ปล่อยให้นางไม่สบายตัวหรือป่วยไข้นาน"
"ลูกสาวข้าอาจเอาแต่ใจสักหน่อย อย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กดี ข้าฝากท่านดูแลนางด้วย เฉียนฟานอ๋อง"
ฉางผิงโหวกล่าวกับบุตรเขย หันไปสั่งบ่าวให้นำยาสมุนไพรเพิ่มเติมจากหมอชรา หีบผ้าของบุตรสาวนั้นมากมาย วางอยู่ในจวนอ๋องกลางห้องรับรองแขก มีบ่าวรับใช้เดินมาหยิบสมบัติ เข้าไปเก็บในห้องให้นางเรียบร้อย
"ท่านพ่อรีบไปทำงานของท่านเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยู่ได้ ข้าจะดูแลท่านอะ..." พอเผลอหลุดปากไป นางเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ "เฉียนฟานอ๋องเป็นอย่างดี ดูแลงานบ้านเรือนให้เรียบร้อย"
"ดี ๆ ตอนแต่งรึถามนู่นถามนั่น ได้แต่งแล้วไม่ยอมคลาดจากสามี เจ้านี่นะ อย่าให้ข้าได้ยินเรื่องอาจารย์ยินเฟิงอะไรของเจ้าอีก ข้าเลือกสามีที่ดีให้เจ้า ไม่ควรให้ข้าต้องผิดใจกับลูกเขยเพราะเจ้า เข้าใจหรือไม่? ลูกสาว"
"เจ้าค่ะ!" นางสะดุ้งตอบ ไม่คิดว่าบิดาจะพูดมันขึ้นมา ใบหน้าแดงซ่านมองซ้ายขวาด้วยท่าทีลนลาน พบว่าชายทั้งสองสบตากันประหลาด ๆ บิดาโบกมือลาจากไป บอกว่าจะเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
อาจารย์ยินเฟิงในนามเฉียนฟานอ๋องลอบยิ้มกรุ้มกริ่ม ก้มหน้าลงมองแก้มแดงระเรื่อของหญิงสาวในชุดฮั่นฝู่ลวดลายดอกบ๊วยสีหวาน โดยมิได้รู้สึกหึงหวงนางแต่อย่างใด เขานึกตลกขบขันนาง แลเห็นว่านางแสนอับอายขายหน้า
"อืม... ได้ยินจากท่านพ่อว่าเจ้าคร่ำครวญหาท่านอาจารย์ยินเฟิงทุกวันเลยหรือ?"
"ขออภัยเจ้าค่ะ ต่อไปนี้ข้าจะระวังปากและความคิดภายในใจข้า ในเมื่อข้าแต่งงานมีสามีแล้ว ท่านเป็นเฉียนฟานอ๋อง" นางตอบรับด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อม เหลือบตามองใบหน้าเคร่งขรึมของท่านอ๋องผู้อ่อนโยนกับนางเมื่อนางเสียน้ำตาให้ท่านอาจารย์ ยามนี้กลับทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ครั้นนางจะอ้าปากถามเขาว่าไปเป็นอ๋องตอนไหนอย่างไรก็ไม่กล้า
"ตั้งแต่เมื่อไรกัน?" ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงคาดคั้นนาง มีสีหน้าเรียบเฉย อยู่ดี ๆ ก็เอ่ยอย่างไร้เยื่อใย
"ไป๋เหม่ยหลานรับรองว่าไม่มีเรื่องราวใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ขอเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์อีกยินเฟิงอีกเจ้าค่ะ"
"ใช่แล้วล่ะ หวังว่าข้าจะไม่ได้ยินชื่อชายอื่นนอกจากสามีของเจ้า"
"เจ้าค่ะ ท่านอ๋อง"
"สามี" เสียงเข้มสั่งนาง ก้มศีรษะประสานมือไว้ด้านหน้า ลมพัดเย็นสบายในสวน เสียงน้ำไหลจากโขดหินในบ่อน้ำพุ เสียงนกร้องอย่างสดชื่นแจ่มใส ยินเฟิงคงไม่สำราญใจเท่าการยืนฟังน้ำเสียงกัดฟันตัดพ้อของนาง
"ข้ายังไม่ชินปากเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าข้าจะพยายาม ข้าขออภัยท่านด้วย หากว่าข้าเสียมารยาทต่อท่าน"
"เลิกขอโทษข้าเสียที ภรรยา"
นัยน์ตาลุ่มลึกสีนิลสนิทฉายประกายนุ่มนวล โอนอ่อนต่อนางผู้อ่อนน้อม ลึก ๆ ภายในใจไป๋เหม่ยหลานกลับเป็นม้าพยศ อาจแข็งข้อต่อเขาขึ้นมาก็ได้ ตราบใดที่นางเป็นศิษย์ดื้อรั้นคนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ในภพชาติใหม่
'ชอบทำให้ข้าอับอายขายหน้านักนะท่านอาจารย์ คอยดูเถอะ ข้าจะเอาคืนแน่'
ถ้อยคำในใจ อีกฝ่ายมิอาจล่วงรู้ได้ ยินเฟิงเลื่อนมือไปลูบศีรษะนางด้วยท่าทางเอ็นดู โดยที่นางไม่ได้หลบเลี่ยงเขาให้รู้สึกเสียน้ำใจในฐานะสามีภรรยา ขณะดวงตาคู่สวยสั่นไหว อาจทำให้เขารับรู้ได้ว่านางมิเคยลืมเลือนอาจารย์ยินเฟิงของนางแม้สักวัน ถึงนางจะลั่นวาจาว่าไม่ขอเกี่ยวข้องกับเขาอีก
บรรยากาศในวันวานหวนคืนกลับ ประหนึ่งบุปผาที่แห่งเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาได้ฟื้นคืน แม้อาจแตกต่างไปเมื่อเขาและนางไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกที่มีต่อกัน เขาจะกอดนางจูบนางเมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น
ไป๋เหม่ยหลานไม่สามารถปฏิเสธหัวใจตน จำได้ว่าเมื่อก่อนนั้นนางมักหลบเลี่ยงสายตา เพื่อไม่ให้ผู้ใดรู้ความจริงว่านางคิดอย่างไรกับท่านอาจารย์