'อันตรายนะพระองค์ เกิดอ้ายผู้นี้อุตริวางแผนร้ายอันใดขึ้นมา เราจะแย่เอาน่า...' นาถะยากระซิบกับเจ้าชายของเขา ด้านหลานหลวงมังสามเกียดยังคงสงบนิ่ง ประจันหน้านายเรือสำเภาต้าหมิงอยู่เช่นเดิม
'กลัวปะไร มีราชองครักษ์วังหน้า คนของเรากับเมยะรวมกันก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่าทางนั้นหรอก แล้วถิ่นนี้เป็นถิ่นของเจ้าน้า ถ้าจะมีเรื่องกันคิดหรือว่าจะหนีพ้น เจ้าคอยสังเกตระวังไว้เถอะนาถะยา'
"พระองค์ วันนี้ก็มีเรื่องอีกแล้วหรือ"เมยะขยับกายเข้ามากระซิบถามหน่อเนื้อเชื้อหงสา
"ถ้ามีเรื่อง เจ้าก็จงหลบข้างหลังซะ"
"หลบหลัง? เราอยู่ในวงล้อมนะ" เมยะแค่นหัวเราะ ก้าวมาตั้งเชิงหมัดข้างคู่สนทนา "แลข้ามิใช่พวกชอบอยู่แนวหลังซะด้วยซิ ใช่ว่าข้าเป็นวาณิชจะไร้วิชาวิวาทหรอกหนา"
"เช่นนั้นก็เบาแรงไปได้เยอะ"
กริยาท่าทางของคณะมังสามเกียดและวาณิชต่างถิ่นสร้างความประหลาดใจให้กับชาวโพ้นทะเลต้าหมิง สายตาพวกเขาหันไปมองเจ้านาย ต่างก็ไม่ขยับกระไรนอกจากรอคำสั่ง
"ชาวไป๋กู่[1] ใจสู้ตั้งแต่เด็กตัวเท่านี้เชียว" ชายร่างยักษ์ศีรษะล้านเตี้ยน หนวดเคราเฟิ้มยาวถึงอก พูดกระซิบกับหลินต้าวด้วยสำเนียงจีนแต้จิ๋ว
"เห็นพ้องกับเจ้า หลี่ตัน...ตอนข้าตัวเท่านี้ยังเพิ่งนั่งอ่านซ้องกั๋ง[2] อยู่บ้านกระมัง"
"ข้านึกว่าพวกเขาจะกลัว แล้วตามเรามากินข้าวด้วยง่ายกว่านี้ซะอีก... แบบนี้เราจะต่อรองกับพ่อนักบวชหัวขาวได้ยังไงกัน ขมขู่เลยหรือไม่" หลี่ตันใจฝ่ามือนวดหลังคอเบาๆ จ้องมององครักษ์ชาวต่างชาติที่ติดตามเด็กชายมาด้วย เขาคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้มีฝีมือฉกาจพอตัว จึงต้องระแวงระวังที่สุด
"ไม่เอา... เรามาคุยอย่างผู้ดีมีอารยะ" นายสำเภาต้าหมิงกวักมือ คนของเขาถอยห่างไปสองสามก้าว ก่อนที่เขาจะมาพูดกับผู้นำคณะฝ่ายตรงข้ามด้วยภาษาหงสาวดี "คุณชายน้อย หลินต้าวเป็นแต่เพียงพ่อค้า แล่นสำเภาเดินทะเลธรรมดา ดินแดนไป๋กู่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราคนต่างถิ่นจำต้องหามิตร หากได้ผูกไมตรีกับคุณชายน้อยด้วยจักเป็นเรื่องดีต่อเราทั้งสอง"
"แล้วไยเป็นข้า" มังสามเกียดตรัส ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่น่ารู้ว่าเขามีฐานะเป็นใคร "ไยจึงมาเจรจาการค้ากับข้า"
"แววตาของท่าน คุณชายน้อย" นายสำเภาเฉลย ยกยิ้มไม่วาง "ตั้งแต่ที่พบกันพร้อมท่านผู้ทรงศีล ข้าน้อยมองเห็นความครุกกรุ่นลุกโชติสะท้อนในนัยน์ตาของคุณชาย ไม่สมวัยท่านสักกระผี มิใช่ธรรมดาสามัญ"
'อ่านขาด...แค่มองตาเห็นไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ' นาถะยากระซิบ
"พูดเพ้อพกไปเรื่อย...เจ้าอยากต่อรองกระไรกันแน่ นายสำเภา"
"สายสัมพันธ์ คุณชายน้อย" หลินต้าวโค้งสุภาพเล็กน้อย ก้าวมาใกล้เพียงลำพังแต่ก็เว้นระยะไม่ให้อีกฝ่ายระแวง "ข้าน้อยมาใหม่ในแดนไป๋กู่ รู้จักเพียงนักบวชหม่างเท่านั้น แลหนก่อนเห็นว่าคุณชายน้อยมักจี่กับพวกฝะรังคี รูม แขก กระทั่งที่เพิ่งมาตั้งนิคมไม่นานมานี้อย่างสมาคมเดอมาร์โครา และ ฮาลา-คเล" นายสำเภามองไปทางเมยะ ก่อนเหลียวกลับมาที่ผู้นำรุ่นเยาว์
"หากไม่ขัดเคืองคนแต้จิ๋วเช่นหมู่เรา ข้าน้อยก็อยากสนิทสนมกับคุณชายน้อยเช่นกัน เผื่อวันหน้าข้าน้อยสร้างเรือนสร้างคลังสินค้าสักแห่งในที่ว่างย่านนี้น่ะขอรับ"
มังสามเกียดพิจารณาความจากคำพูดของอีกฝ่ายด้วยความใจเย็น การปรากฏตัวของนายสำเภาคงมีเป้าหมายหวังผลมากกว่าที่พูด บางทีอาจมีเจตนาต่อรองอะไรกับเจ้าน้ามินเลตยาอีกมากกว่าที่พูดก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีพื้นที่จุดนี้ก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจซึ่งได้รับมอบหมายในพื้นที่ มากกว่าเป็นเรื่องความเห็นของพระองค์
"บอกเรื่องนี้กับข้านั้นเสียเที่ยวแล้ว เรื่องการตั้งถิ่นสร้างเรือนเป็นเรื่องที่กรมการค้าและกรมการเมืองในสภาหลุตดอพิจารณาต่างหาก" ผู้นำคณะชาวหงสาวดีตอบนายเรือ "อีกอย่าง สายสัมพันธ์กับเจ้า ก็ไม่เห็นว่าข้าจะได้ประโยชน์กระไร"
"ข้ายินดีจะให้เป็นมือเป็นเท้า เป็นหูเป็นตาหรือกำลังแก่ให้คุณชายน้อย ข้าก็เป็นให้ได้ขอรับ คุณชายน้อยสนใจข้อเสนอข้าหรือไม่"
มังสามเกียดหันไปสบตากับสหายร่วมคณะทั้งหลาย ขณะพิจารณาว่าจะดำริเห็นชอบอย่างไร ฉับพลันนั้นเองคนกลุ่มหนึ่งก็เดินก้าวเข้ามาล้อมเหล่าชาวทะเลต้าหมิง ทีแรกมังสามเกียดนึกว่าเป็นคนของเจ้าน้า...แต่เมื่อดวงเนตรพระองค์เห็นผู้ที่ก้าวเข้าสองคน ก็ทรงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่หลานหลวงเท่านั้นในคณะทุกคนก็ต่างตกตะลึงเช่นกัน
"หูตาเรามีเพียงพอแล้ว ถ้าเจ้าจะใคร่ปรึกษาเรื่องทำเลที่ตั้งการค้า ไยมาคุยกับเด็กๆ มิเสวนากับผู้หลักผู้ใหญ่เล่า" เสียงหนึ่งกล่าวกับหลินต้าว นายสำเภาหันไปมองผู้พูด สบตาหนุ่มผู้นั้นแล้วเอ่ยสำเนียงฉันมิตรอ่อนน้อม
"ท่านชาย มิทราบว่าท่านคือ..."
บุรุษคนแรกผู้นั้นไม่ตอบ สีหน้าดุดัน แววตายังคงเข้มขรึม ลงท้ายที่บุรุษคนที่สองซึ่งเป็นชายชราร่างเล็กเป็นคนตอบ
"...นั่นคือพ่อเอิน เขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้นที่นายเรือชวนคุยนั่นแหละ" ชายชราเดินมากลางวง ขยิบตาแก่หลานๆ แล้วหันไปทักทายนายสำเภาต่างชาติ น้ำเสียงใจเย็นสุขุม
"ยินดีที่ได้พบพาน พ่อค้าแห่งต้าหมิง ข้าชื่อจะเด็ด เป็นพ่อ เป็นปู่ เป็นคนแก่ที่พอจะชินกับที่ทางแถวนี้ คนย่านนี้คุ้นชื่อข้าดีนะ... จะเด็ดลูกชายสิงคสุ คนปาดงวงตาลจากเมืองตองอู"
'เจ้าพ่อกับเจ้าปู่!?' ทั้งนาถะยา ทั้งมังสามเกียดต่างอุทานลั่นในใจ ใครจะนึกคาดฝันว่าประมุขสูงสุดแห่งหงสาวดีกับว่าที่ผู้นำแผ่นดินอุปราชา ทั้งสองพระองค์จะปลอมตัวเป็นชาวบ้านสามัญ แต่งเรื่องแต่งราวพวกตนได้อย่างแนบเนียบเป็นธรรมชาติและมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลานหลวงเช่นนี้
"คนปาดงวงตาลหรือ?" หลี่ตันพึมพำคำผู้เฒ่าที่ตนได้ยิน ส่วนหลินต้าวมองบุรุษหนุ่มกับชายชราอาวุโสนิ่งๆ พิจารณาความที่เกิดขึ้นอยู่นัยที
"พอดีข้าฝีมืออยู่บ้างเลยเจริญในหน้าที่การงาน ...เดี๋ยวนี้สบายแล้ว นั่งเป็นหัวให้ลูกหลานดูแลกิจการแทน" ชายผู้อ้างตัวว่าชื่อจะเด็ดยังคงพูดน้ำเสียงแฝงอารมณ์ขัน มังสามเกียดก็ชักสีหน้าไม่ถูก ว่าเจ้าปู่กำลังทรงปลอมพระองค์ไปในลู่ทางอะไรอยู่
"ท่านจะเด็ด ท่านเอิน ข้าน้อยเสียมารยาทต้องขออภัย มิทราบพวกท่านคือผู้ใหญ่ของคุณชายน้อย ยินดีที่ได้พบพาน..." หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นายสำเภาต้าหมิงก็ไม่รอช้าที่จะคารวะผู้หลักผู้ใหญ่ จากนั้นบทสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงคำพูดกระซิบกระซาบระหว่างเหล่าผู้ปกครองสูงสุดเท่านั้น หลานหลวงไม่อาจทราบได้ว่านายเรือจะพูดอะไรกับเจ้าปู่และบิดาของเขาบ้าง บางทีอาจจะพูดไปตามที่เขาเคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านั้น
เรื่องกับลงเอยที่ว่าไม่กี่อึดใจ เจ้าน้ามินเลตยาก็ทรงรีบเสด็จมาพร้อมด้วยหม่องมิโมและผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง สีหน้าของเจ้าน้าไม่ต่างจากคราวพระองค์เห็นพระญาติผู้ใหญ่ปรากฏครั้งแรก น้าชายหันมองคณะรุ่นเยาว์ สีหน้าของเขาฟ้องราวกับพูดขึ้นว่า 'ดูเหมือนเรื่องจะไม่ทันเกิดแต่ไฉนกลายเป็นอะไรเช่นนี้ไปได้'