หลังส่งคณะวาณิชเสร็จเจ้าชายก็ปลีกตัวหลีกจากขบวนราชวงศ์ออกมาพร้อมด้วยเชงมา หน่องจาและซิมาว พระองค์ไม่ต้องการให้เป็นที่รับรู้และต้องการความเป็นส่วนตัว จึงทรงเลือกใช้วิธีปลอมตัว ซึ่งนั้นทำให้พระพี่เลี้ยงทั้งสองต่างสงสัยขึ้นมา
"ไยต้องปลอมพระองค์ล่ะพระเจ้าค่ะ" หน่องจาทูลถามกับเจ้าชาย
"นั่นสิพระองค์ มิใช่ว่าเราจะไปขี่ม้าชมเมือง ไหว้พระทำบุญกันหรอกหรือ?"เชงมาสำทับอีกแรง ฝ่ายเจ้าชายมังสามเกียดปลดกองบองของตน เปลี่ยนเป็นผ้าเนื้อหยาบ จัดผมเผ้าหลวมๆ
"เราไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะมานอกวังเพราะกิจเช่นนั้น เราจะออกมานอกวังเพื่อพบคนผู้หนึ่งเป็นสำคัญ...แต่ระหว่างทางก็จะแวะเจอขุนนางกับพ่อค้าบางกลุ่มด้วย เพื่อสานสัมพันธ์" เจ้าชายแย้งกับสองพี่เลี้ยง เสสายพระเนตรทั่วแล้วรับสั่งต่อ "พวกเจ้าทั้งสามจากนี้จงงดสำนวนวังคำราชาศัพท์ จากนี้พวกเราคือชาวบ้านหงสาธรรมดา พูดจาสามัญเสมอกัน เดินตามปรกติ หาที่ผูกม้าเก็บไว้ด้วยเล่า"
"มิได้พระเจ้าค่ะ ตีตนเสมอเจ้าชาย นรกจะกินกบาล บาปกรรม" เชงมารีบทูลต่อเจ้าชาย ด้วยเพราะลำดับชั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งยวดของการปกครอง เป็นเรื่องอำนาจที่ผ่านการอบรมของผู้ใหญ่ ทำให้เขาจึงรีบแย้งในทันที
'นรกไม่กินกบาลเจ้าดอกหนาเชงมาคนดี ความตายไม่กินหัวผู้ใดหรอก' นาถะยากระซิบข้างหูเชงมาขณะที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ 'ความตายเป็นเรื่องเสมอภาคเท่าเทียม เรื่องนี้เป็นสัจธรรม'
"กาลนี้เรื่องพวกนี้เราไม่ถือหรอก"เจ้าชายตอบกับเชงมา "ให้ปลอมตัวอย่างที่ข้าบอก"
"...แล้วพวกกระหม่อมเล่าพระองค์" คราวนี้เป็นคราวของพระพี่เลี้ยงอีกคน หน่องจามองไปยังซิมาว ก่อนหันไปทางเจ้าชายผู้เป็นนาย "ข้าเพิ่งบวชหน้าไฟ ถอดโพกผ้ากองบองออกคงไม่เหมาะ แล้วยังซิมาวอีกคน เขาตัวโตเป็นยักษา กระหม่อมว่าไปไหนใครก็เห็นพระเจ้าค่ะ"
เจ้าชายทรงคิดเรื่องนี้มามาแล้ว อย่างไรองครักษ์หนุ่มผู้นี้ก็จะต้องติดตามพระองค์ไปทุกที่เมื่ออยู่นอกวัง ครั้นจะให้ออกกลุ่มหรือไปรั้งรอที่อื่นก็เกรงจะผิดหน้าที่และอาจจะเผชิญอันตรายที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นหนทางหนึ่งที่จะทำได้ก็คือ...
"หากทำทีว่าข้าปลอมเป็นพ่อค้า ให้ซิมาวเป็นคนสนิท เชงมากับหน่องจาพวกเจ้าปลอมเป็นบ่าวผู้ติดตามล่ะ บางทีอาจแนบเนียบ..."
"ไม่เห็นจะแนบเนียน"
เสียงหนึ่งราบเรียบเอ่ยแทรกขึ้นอย่างปุบปับกลางวงสนทนาระหว่างชายทั้งสี่ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังผู้พูดซึ่งปรากฏตัวจากด้านหลังขององค์ชายมังสามเกียด
"ท่านวาณิช ท่านมาทำอะไรที่นี่" หลานหลวงตรัสกับวาณิชแต่งกายเป็นชาวกอตัยค์ ผิวพรรณน้ำตาลคล้ำวัยไล่เลี่ยตน
"ข้าชื่อเมยะ เจ้าชาย ข้าเห็นพวกท่านแยกขบวนวัง จึงนึกว่ามีเรื่องใด ...ข้าไม่ได้เจตนาเสียมารยาทที่ฟังพวกท่านสนทนา แต่ก็ตอบไปตามที่คิดเท่านั้น และหากท่านจะเที่ยวชมเมือง เราอยากไปพร้อมพระองค์ด้วย หากทรงไม่รังเกียจ"
"แล้วขบวนการค้าของท่านเล่า?"
"ไม่ว่ากองเกวียนจะมาจากกอตัยค์ อินเดียหรือจุดสถานีไหนบัดนี้ก็มาถึงหงสาแล้วพระเจ้าค่ะ นี่คือช่วงเวลาอิสระของเรา"
เจ้าชายหันไปสบตากับเหล่าบริวารรวมถึงนาถะยา ก่อนที่ย้อนกลับมายังสหายการค้าของราชสำนัก
"เมยะ เราได้รับพระเสาวนีย์ลงมา มอบหมายให้ต้อนรับคณะวาณิช และพามาที่พำนักเท่านั้น มิได้สะดวกคุ้มกันเพื่อเที่ยวชมเมืองหรอกหนา"
"หน้าที่พระองค์ลุล่วงแล้ว ส่วนกิจชมกรุงเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า หากข้าปรารถนาไปทางซ้ายก็จะไปซ้าย แต่หากเจ้าชายใคร่ทรงเลี้ยวขวาก็ถือว่าแยกกันด้วยดี...แต่ข้าอยากเสนอความเห็นพระองค์สักประการสองประการ"
"เจ้ามีความเห็นใดเสนอ ไหนจงว่ามา" เมื่อเจ้าชายรับสั่งจบ เมยะก็เข้ามาใกล้พระองค์แล้วกระซิบด้วยเสียงอันแผ่ว
"ถึงเสื้อผ้าจะตบตาได้ แต่ผิวพรรณคนในวังก็ดีเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดาสามัญ หากให้ข้าแนะนำวิธีการปลอมตัว คราวหน้าให้บ่าวใช้ถ่านหรือขี้เถ้ามาพอกมาทาผิวไว้จะแนบเนียนกว่า"
'เขาพูดถูกเจ้าชาย มีเหตุผล คราวนี้เรารีบออกมาเลยไม่ได้เตรียมตัวที่จะปลอมอะไรเสียด้วย' นาถะยากระซิบ
"แล้วความเห็นอีกประการเล่า?"
"มีอย่างน้อยมีข้าไปด้วย พระองค์ก็มีพ่อค้าตัวจริงอยู่ในกลุ่ม ใครถามอะไรความก็ไม่แตกโดยง่าย"
"พี่ว่าน้องสามฟังคำเมยะแนะนำเอาไว้เถิดหนา"
"พี่หญิง!" คราวนี้เจ้าชายอุทานดังด้วยความตกใจ บรรดาบริวารรวมถึงเมยะก็ตกใจไม่ต่างกัน เพราะนึกความดุจเดียวกันว่าเจ้าหญิงมังอะถ้วยเดินทางกลับราชวังพร้อมขบวนเมื่อครู่ บัดนี้เจ้าหญิงมาในชุดเยี่ยงธิดาขุนนางชั้นสามัญ ปะแป้งทานาคาขาวเนียน ปล่อยเรือนผมที่ถูกมัดให้สยายออก นอกจากพระพี่นางแล้วเจ้าชายก็สังเกตเห็นองครักษ์คือดีเอโก้กับบริวารรับใช้ติดตามจำนวนหนึ่ง ทุกคนต่างเปลี่ยนชุดเสียเรียบร้อยเสร็จสรรพ
"ถ้าน้องหมายใจออกนอกวังหรือคิดปลอมตัว ก็ควรเอาอย่างพี่ ขบวนที่กลับก็เป็นขบวนปลอม ส่วนม้ากับเสลี่ยงขากลับก็แอบในคณะวาณิชของแม่นางมารีอาเถิด"
เจ้าหญิงมังอะถ้วยผู้พี่แตะบ่าพระอนุชาด้วยความเอ็นดู เจ้าชายถอนปัสสาสะเบาๆด้วยความจำยอมความแสบสันแสนกลอีกฝ่าย
"อย่างไรก็คนกันเองทั้งสิ้น สนิทสนมกันดีไว้เถิดหนาทั้งสอง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองเรา น้องสาม เจ้าดูแลพาชมเมืองในฐานะเจ้าบ้านเถิด" เจ้าหญิงหันไปมองทางเมยะและเจ้าชายมังสามเกียด พร้อมแย้มพระสรวลต้อนรับเป็นไมตรีจิต เมยะที่ฟังอยู่ก็นิ่งครุ่นคิดก่อนโค้งศีรษะเล็กน้อย
"เราดูแลตัวเองได้เจ้าหญิง ถือว่ายืดเส้นยืดสายจากการเดินทาง...อีกอย่างเราก็มีทั้งบริวารแล้วก็องครักษ์พร้อมหน้ากันขนาดนี้ ไปที่ใดก็ปลอดภัย แต่คงไม่ส่วนพระองค์เท่าไรกับเจ้าชาย"
เมยะพูดทำให้มังสามเกียดยกยิ้มที่มุมปาก นาถะยาถึงกับหันไปดู น้อยครั้งนักที่จะเห็นทรงขบขันต่อวาจาผู้ใด โดยเฉพาะกับแขกเมืองแปลกหน้าที่พึ่งมาไม่นาน ทั้งที่นาถะยาเองก็พูดแกล้งพูดหยอกมาก็มาก หลายครั้งกว่าจะทรงนึกอารมณ์ขัน ----วานิชผู้นี้ ฝีไม้ลายปากไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ยาถะยานึก
"ว่าแต่กระไรทำให้พระองค์ต้องลงแรงปลอมพระองค์ให้ลำบากถึงเพียงนี้ เจ้าชายจะไปที่แห่งใดฤๅ" เมยะถามต่อต้นเรื่อง
มังสามเกียดหันไปสบตากับเพื่อนคู่คิดที่ไม่มีใครมองเห็น นาถะยาผ่ายมืพลางออกความเห็นเชิงว่าอย่างไรก็ว่าตากัน แผนการที่จะไปอย่างเงียบเชียบและส่วนตัวไม่กี่คน ดูเหมือนต้องแปรเปลี่ยนเป็นคณะท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่...ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องให้เป็นไปพร้อมกิจที่วางไว้
"ข้าตั้งใจจะไปหาพวกขุนนางในเมือง แล้วก็กลุ่มพ่อค้าทั้งหลาย...และอาศรมย่านชานเมืองอีกแห่งเป็นสำคัญ ที่นั้นมีคนผู้หนึ่งที่ข้าต้องการจะพบให้ได้"
เจ้าชายชี้แจงกับคณะในกิจการเดินทางของพระองค์ เจ้าหญิงผู้พี่ สหายวาณิชและบรรดาพี่เลี้ยงบริวารไม่มีใครติดใจอันใดในเรื่องนี้ ทั้งหมดยินดีที่จะเดินทางทั่วรอบเมือง ระหว่างเส้นทางพบปะขององค์หลานหลวง
เห็นจะมีก็แค่สองราชองครักษ์พ่อลูกตระกูลเดอเมลโลเท่านั้นที่หันหน้าสบตากันนิ่ง ภารกิจปกป้องราชวงศ์ก็ส่วนหนึ่ง แต่สถานที่เจ้าชายจะโคจรไปนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกความกังวลขึ้นมาในใจ
ตอนนี้เหมือนสแตนด์อ่ะ ในข้างหลังมีข้างหลังอีกที 555555
// ขอฝากโหวตฝากเม้น มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟังครับ 555