"มหาอุปราชาเมงจีสวา! พระองค์จะรอช้าอยู่ไยในร่มไม้เล่า…"
ในห้วงแห่งความฝัน เจ้าชายมังสามเกียดได้ยินสุรเสียงน่าเกรงขามของพระนเรศดังกึงก้องไปทั่ว
ช่างเป็นภาพอันน่าหวาดหวั่น อีกฝ่ายหนึ่งไม่รอช้าไสช้างเข้ามากระแทกชนจนตนเกือบล้มหงายกระเด็นไป เหล่าทหารต่างแตกพ่ายถอยหนี เมื่อเจ้าชายเงยพระพักตร์ขึ้นมาพระนเรศก็ประจันหน้าพระองค์ คมง้าวแหลมคมก็ชูขึ้นเหนือศีรษะกษัตริย์อยุธยา ก่อนฟาดลงโดยที่พระองค์ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว แต่แล้วในฉับพลันนั่นเองร่างของพระนเรศ ทหาร ช้างม้า ตลอดจนสมรภูมิต่อสู้ก็มลายหายไปสิ้น กลายเป็นโลกที่ขาวโพลน เลือนลาง คลุมเครือดั่งสายหมอกยามเช้า
...ขณะที่พระองค์มองหาทางออก หญิงสาวนางหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเจ้าชายมังสามเกียด
หญิงสาวในความฝันสวมชุดอาภรณ์งดงาม สง่าสมดังราชนิกูลชั้นสูงของชาวหงสาวดี ประดับด้วยอัญมณีเลอค่าซึ่งตกทอดมาหลายชั่วอยู่คน ในมือกุมดาบสั้นเล่มหนึ่งจับแนบแน่นไว้กลางอก
หญิงสาวจ้องมองเจ้าชายด้วยสายตาอันลึกล้ำ พระองค์สัมผัสได้ถึงความโกรธ เหยียดหยามเกรี้ยวกราด คับแค้นและโศกเศร้าเกินพรรรนา ห้วงความรู้สึกเหล่านี้สะท้อนก้องอยู่ในนัยน์ตาของนางคู่นั้น ริมฝีปากที่เม้มจนเลือดไหลเอ่ยถ้อยคำออกมา พร้อมหันดาบสั้นมายังเจ้าชายเสมือนจะปักตัดขั้วหัวใจ
"ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมาพังพินาศลงก็เพราะพระองค์!"
...
ขณะที่เจ้าชายได้แต่จ้องมอง ไม่ทันจะได้พูดหรือแสดงอาการโต้ตอบสิ่งใด ไม่ว่าจะด้วยชะงักงันหรือเหตุผลกลใดพระองค์ก็ตื่นขึ้นมา...โดยมีเจ้าดวงจิตคู่คิดจ้องมองไม่วางตา
'ฝันกลางวันเช่นนี้เจ้าชายก็ยังฝันร้ายได้อีกฤๅ'
นาถะยาพึมพำ สีหน้าแฝงไปด้วยความเป็นห่วง แต่เจ้าชายทรงหาได้ปรารถนาความเวทนาหรือเห็นใจเช่นนี้ไม่
'พระนเรศอีกแล้ว…แล้วก็…'
'แล้วก็…'
'ไม่…ช่างมันเถอะ' เจ้าชายส่ายพระพักตร์ สลัดภาพความฝันเกี่ยวกับการยุทธหัตถี อิสตรีและคำพูดเหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลัง ก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วตรัสขึ้นบ่ายเบี่ยงประเด็น 'ระหว่างที่ข้าหลับไปเกิดอะไรขึ้น'
เมื่อเจ้าชายตื่นบรรทม นาถะยาก็มาแจ้งข่าวเรื่องย่าพวาสีได้เดินทางออกนอกวังแล้ว โดยพระอัครมเหสีเป็นผู้จัดแจงถึงกับให้มีนางรับใช้ติดตามไปด้วยหลายคน เล่ากันว่าพระนางได้มอบธํามรงค์ประจำพระองค์จากพระหัตถ์ให้แก่นาง ลางทีอาจเป็นสายใยผูกผันดุจดั่งพี่น้องอย่างที่เจ้าชายได้สดับ ย่าพวาสีถูกส่งไปรักษาตัวยังสถานตี่ละฉิ่นซึ่งเป็นสำนักนางชีเก่าแก่
หลังออกจากวังไม่กี่อึดใจหลานสาวของย่าพวาสี ซึ่งแต่เดิมเป็นคนสังกัดกำกับวังหลังก็ได้ย้ายมารับหน้าที่หัวหน้านางกำนัล ซึ่งหลานนางนี้ก็สานต่อหน้าที่ด้วยดี
หลังตื่นเจ้าชายเมงจีสวากับนาถะยาไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ การฝึกปรือทักษะศาสตราวุธและสรรพวิชาความรู้เพิ่มเติมเป็นสิ่งที่ทั้งสองเห็นพ้องว่าต้องเร่งด่วนอย่างจำเป็น กระทั่งเหล่าพระพี่นางทั้งสองหรือพระราชมารดาเมงพยูยังมีพระดำริออกปากชมว่าพระองค์ใฝ่รู้
แต่กระนั้นก็ตามข่าวคราวที่ว่าเจ้าชายโอรสวังหน้าหงสาวดีมีนิสัยร้ายกาจ ไม่แยแสการเรียน เอาแต่พระทัยเป็นที่ตั้งก็ยังไม่เลือนหายไปจากใจหมู่ข้าราชสำนักซึ่งประสบพบเจอมาด้วยตนเองหรือเล่าปากต่อปากอยู่ดี
'พระองค์ไม่คิดแก้ต่างข่าวลือเสียหายบ้างฤๅพระองค์' นาถะยากระซิบขณะเจ้าชายฝึกอาวุธเสร็จแล้วเสด็จไปเรียนวิชาตำรา กระนาบด้วยพระพี่เลี้ยงและข้ารับใช้จำนวนมาก
'แก้ข่าวก็เหมือนแก้ตัว อยู่นิ่งเฉยคนจะนึกเกลียดก็เกลียด ช่างเรื่องขี้ปากแล้วจัดการหาทางเอาตัวรอดในวันหน้าของพวกเราดีกว่า'
สักพักเจ้าชายได้มีรับสั่งให้พระพี่เลี้ยงทั้งสองเชงมาและหน่องจาแจ้งเหล่าราชครูผู้สอนทั้งหลาย ว่าพระองค์ต่อไปจะฝึกร่วมกับผู้อื่นด้วย จากเดิมที่พระองค์จะแยกฝึกอยู่กับแค่ในกลุ่มคนสนิทเครือใกล้ชิดรั้ววังหน้า บัดนี้ทรงจะเริ่มเข้าหาเหล่าผู้ที่จะมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
จากการปรึกษากับนาถะยา เขาก็เห็นว่าเป็นการดียิ่งถ้าหากจะเร่งกระชับความสัมพันธ์บุคคลจงรักภักดี รวมถึงชักจูงฝ่ายที่เป็นกลางให้มาเข้าพวกด้วยกับตนเพื่อเพิ่มพูนขุมกำลัง ซึ่งเมื่อเริ่มแผนการบุคคลที่เจ้าชายหมายตาไว้เหล่านี้ในอดีตล้วนเป็นลูกหลานขุนนางชั้นสูง ไม่ก็ราชบุตรเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในอาณัติหงสาวดีทั้งสิ้น
…และในวันแรกหลังนัดแนะวางแผนเริ่มต้น การร่ำเรียนด้วยกันระหว่างเจ้าชายกับบุคคลอื่นนอกรั้ววังหน้าก็อาจเรียกได้ว่าเปิดตัวไม่ได้ง่ายดายสวยงามนัก
เพราะกิตติศักดิ์และอุปนิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจของเจ้าชายเป็นทุนเดิม จึงทำให้บรรดาเจ้าชายหลายพระองค์รวมถึงบุตรหลานขุนนางใหญ่ผู้พอจะมีอำนาจไม่ค่อยตอบรับพระองค์ พวกเขาไม่อยากมาร่วมการฝึกการเรียนในครั้งนี้สักเท่าไรนัก ส่วนใหญ่มองว่าเจ้าชายกำลังหาเรื่องป่วนน่าปวดหัวมาให้ จึงอาศัยบารมีบิดามารดาญาติมิตรต่างก็อ้างเลี่ยงด้วยเหตุผลกิจจะสารพัดต่างกันไป บ้างก็เลี่ยงว่าติดราชการอื่น บ้างแจ้งพระองค์โดยอ้างว่าป่วย บ้างก็แสร้งไม่อยู่หรือติดกิจอื่นแล้วผ่อนปรนไปคราวหน้า
ส่วนจำพวกที่มาเรียน ถ้าหากไม่ใช่อยู่ในสังกัดวังหน้าเป็นบ่าว เป็นพระพี่เลี้ยงคนสนิท ก็อาจจะมาร่ำเรียนด้วยความเกรงพระทัย เกรงบารมีด้วยสถานะ อ่อนแอขี้โรคหรือไม่ก็ไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ความ
"เจ้าชายมังสามเกียด จะทรงรอให้ผู้อื่นมาเพิ่มมากกว่านี้แล้วค่อยเรียนหรือไม่พระเจ้าค่ะ" ราชครูผู้ทรงวิชาตำราแก่บรรดาเชื้อพระวงศ์ไต่ถามหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์
"เราเรียนกันเท่านี้แหละท่านครู ใจของพวกเขา ถ้าอยากจะมาเรียนกับเราก็คงมาแต่หัววันแล้ว"
"...เช่นนั้นก็ร่ำเรียนเจ้าชาย โบราณว่าไว้ข้าวขาวข้าวสารต้องตำดูถึงรู้ว่าดีฉันใด ใจคนต้องคบหาดูจึงรู้ว่าดีฉันนั้นพระเจ้าค่ะ"
ราชครูสูงวัยเอ่ยพึมพำนัยแฝงเร้นบนคำกล่าวปลอบโยนเจ้าชายน้อย นาถะยาเห็นพ้องแล้วจ้องนาถะยาผู้เป็นสหายก่อการ การสร้างพันธมิตรใหม่นั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและต้องปรับปรุงตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้…