webnovel

เจ้าชายนิสัยร้าย

"แล้วเจ้าชายมีแผนแก้ทางอย่างไรในใจ" นาถะยาทักถามเจ้าชายขณะเดินออกมาจากบานกระจก ร่างกึ่งเดินกึ่งเหินตรงไปยังหน้าต่าง แหงนมองท้องฟ้าอาบอรุณวันใหม่ไปพลาง "ประเดี๋ยวเหล่าชาววังคงแห่แหนมากันแน่นเพื่อเตรียมพระองค์ จะปรึกษาพูดคุยก็คงได้แค่ตอนนี้"

"ไหนเจ้าว่าอ่านความคิดข้าได้ ก็อ่านไปสิ ไม่ต้องพูดมากความ" เมงจีสวาตรัสขณะขยับพระเขนยบนเตียงเผยให้เห็นสมุดใบลานน้อยผูกหนึ่ง ทรงอ่านไปอย่างไม่ใส่พระทัยนาถะยา จนกระทั่งคู่สนทนารีบลอยล่องมาใกล้พระองค์

"โธ่ นาถะยาอ่านความคิดเจ้าชายได้ก็แค่ช่วงที่เจ้าชายคิดเป็นภาษา เป็นถ้อยคำในหัว นาถะยารับรู้อารมณ์ความรู้สึกแค่ที่เจ้าชายรู้สึกเท่านั้น" ดวงจิตรีบอธิบายก่อนหันมองเจ้าชายเมงจีสวาซ้ายทีขวาทีแช่มช้า "ดังนั้นการกระทำบางอย่างที่เจ้าชายไม่สำแดงออกมา นาถะยาก็ไม่รู้หรอกเจ้าข้า"

"เรื่องมากจริงเชียวผีตนนี้" เจ้าชายปิดสมุดใบลาน ผินพระพักตร์ไปพลางถอนปัสสาสะ

"เถอะนะพระองค์ เห็นแก่ผู้ไร้ญาติขาดมิตรน่าเวทนาเถิด นาถะยาเวียนวนท่องแดนหลายหนก็หาคนพูดด้วยไม่ได้เช่นพระองค์ มันเหงาปากนักหนา" นาถะยากล่าวด้วยเสียงแสร้งสะอื้น เจ้าชายได้ยินก็นึกหมั่นไส้ใคร่ยกพระบาทยันร่างแต่ยั้งระงับใจไว้ก่อน

"ข้าเห็นเจ้า แต่ผู้อื่นไม่ ...เอ็ดอึงลำพังมิวายผู้อื่นจะนึกว่าข้าเสียจริต"

"เจ้าชาย...คิดมากเกินไปกระมัง" นาถะยายิ้มเก้อแล้วกอดอก "เจ้าชายยามนี้เป็นเพียงเด็กตัวน้อยไร้เดียงสา ใครเล่าจะถือสา"

"นาถะยา ...ข้านี้ฤๅเด็กไร้เดียงสา" เจ้าชายเมงจีสวาเปล่งวาจาขบขัน พลางคว้าหมากพลูบนพานพระศรีที่ตั้งอยู่ปลายพระแท่นมาเคี้ยวขยุบหยับหน้าตาเฉย ตามปรกติหมากพลูเหล่านั้นวางไว้เพื่อรับรองเจ้านางพระราชมารดาหรือผู้หลักผู้ใหญ่หาใช่กับพระองค์ไม่ นาถะยาที่จ้องมองอยู่คิ้วกระตุก เผลอหลุดเบ้ปากชั่วขณะก่อนจะรีบเก็บอาการเมื่อเห็นสายตาสาแก่ใจของอีกฝ่าย

"เจ้าชายนิสัยร้าย" นาถะยาพึมพำ

"ใครใช้ให้เจ้าทะลึ่งพูดมากกวนใจก่อนเล่า สมควรแล้ว"

"ระวังเถิดเจ้าชายจะเหมือนเมื่อคราวแรกพบ พอมิฟังความกันก็พลาดเสียหลายหน นาถะยาพูดเพราะหวังดี เราสองยังต้องแก้ไขความวายป่วงด้วยกันอีกมากโข เพื่อให้วันหน้าต่างไปจากเดิม ทุกย่างก้าวของพระองค์ต้องรอบคอบ ระวังอย่างยิ่งยวด บางทีควรเริ่มต้นจากกิริยาร้ายกาจของพระองค์ซะก่อนกระมัง"

"ไว้หากเผลอไผลไปหยิบโอรถมวนค่อยพูดแล้วกันหนา อายุเช่นนี้ถือสูบคงไม่เหมาะ"

"หมากพลูก็ต้องระงับเช่นกัน" วิญญาณลอยล่องมานั่งพระแท่นข้างๆ "ว่าแต่เจ้าชาย งานศพท่านแม่ทัพดาวอะไรสักท่านผู้นั้น พระองค์จำปีได้หรือไม่ หากจำได้เราย่อมอนุมานเวลาได้"

"แม่ทัพดาง์วตองฮมู...สิ้นเมื่อไรข้าไม่แน่ใจ ข้ายังเยาว์นัก แต่ตำหนักนี้ข้าอยู่จนเกือบสิบขวบปี" เจ้าชายเมงจีสวาตรัสก่อนยกใบลานน้อยขึ้นมา "อีกประการที่รู้ คือปีเกิดในเอเช้งข้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย"

"ใบลานคือเอเช้ง..." นาถะยาพยักหน้าทำปากเหมือนร้องอ้อเข้าใจก่อนเอนคอ "เอเช้งมันคืออะไรหรือพระองค์"

"เพลงกล่อมนอนของราชนิกุล เจ้าฟ้าหงสาวดีเมื่อมีประสูติกาลก็จะมีเอเช้งของตัวเองกันทั้งสิ้น นอกจากคำร้องจักมีวันเดือนปีเขียนกำกับไว้... วันเดือนข้ายังคงเดิม แต่ปีเคลื่อนต่างจากเดิมสี่ปี"

"เมื่อฟื้นกลับมา อะไรหลายครั้งก็ไม่เหมือนเดิม เจ้าชายก็ทรงทราบ"

เจ้าชายเมงจีสวาเข้าใจความหมายคำพูดของนาถะยา ในการข้ามภพช่วงแรกของพระองค์และวิญญาณตนนี้ก่อนหน้านั้นล้วนมีบางสิ่งแปรเปลี่ยน สภาพอากาศมีตั้งแต่แดดจ้าฟ้าใสจนถึงฝุ่นหมอกห่าฝนลงจัด บางครั้งสถานที่พระองค์ก็มาในสนามรบแห่งอื่นเป็นที่ชายแดนเมืองสุพรรณบ้าง ด่านเจดีย์สามองค์บ้าง หรือกระทั่งที่ชานกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา

"เพื่อให้แน่ใจคงต้องเขียนใส่กระดาษร่างไว้คร่าว ๆ เรื่องใดเกิดเรื่องไหนไม่ก็จับจดไว้ รีดเค้นเอาความจากพวกพี่เลี้ยงนางกำนัลเห็นจะเหมาะ ต้องเป็นคนใกล้ตัวไว้วางใจได้สักสองสามคน เราจึงจะวางแผนกันได้ว่าจะอย่างไรต่อไป"

"เด็กคนนั้น พี่เลี้ยงเจ้าชายที่ชื่อเชงมา ดูจากรับมือเจ้าชายเมื่อครู่ได้ มีความน้ำอดน้ำทนน่าประทับใจ จากคำพูดเจ้าตัวเมื่อครู่ก็ดูสัตย์ซื่อสมวัยดี นาถะยาเห็นว่าเขาเหมาะให้ถามไถ่"

"ก็จริงอยู่ เชงมาดูแลตั้งแต่ข้าเกิด ถึงข้าตอนเด็กจะเคยร้าย เชงมาก็ไว้ใจได้ คอยรับใช้ทำตามสั่งด้วยดีเสมอมา"

"...อยู่ด้วยกันแต่เด็ก เขาไม่บ่นหรือท่านทำขัดใจเขากันบ้างเลยหรือ"

"ไม่นับเรื่องนิสัยชอบกังวลขาดความมั่นใจ ก็น้อยครั้งจะขัดข้าสักครา"

"อ้อ เจ้าชายไม่เคยถูกขัดใจ มิน่าเล่าจึงโตมาเป็นเช่นนี้สิหนา"

นาถะยาพูดอย่างขบขัน และก่อนที่เจ้าชายเมงจีสวาจะรับสั่งโต้แย้ง แว่วเสียงของบ่าวรับใช้ก็ทยอยเข้ามาพอดี

"เบาะแสของเรากลับมากันแล้ว จากนี้โปรดเมตตาพวกเขาหน่อยเถิดเจ้าชาย เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"

นาถะยาพูดก่อนลอยล่องชะโงกไปดูต้นเสียง ครั้นเมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย คนสองคนเพิ่มเป็นสิบคนและหลายสิบคน เมื่อไม่เห็นมีวี่แววจะหยุดเพิ่มจำนวน นาถะยาก็อดใจเอ่ยถามเจ้าชายเมงจีสวาไปไม่ได้

"พระองค์ไล่บ่าวไพร่ออกตำหนักไปกี่คน เมื่อโมโหมิสิ่งใดไม่ได้ดั่งใจ"

"ใครจะไปจำได้ว่าเคยโมโหตอนเด็กไปเท่าไร"

"...ดีที่นาถะยาเป็นผี เป็นคนคงโดนเจ้าชายระเห็จไปไกลแล้ว"

'เป็นคนปากเช่นนี้ไม่ตัดลิ้นก็ตัดหัว' เจ้าชายเมงจีสวานึกด่าในใจ นาถะยาถึงกับหันกลับมาเบ้ปากชักสีหน้าเหยเกอีกครั้ง ตอนนั้นเองเจ้าชายเมงจีสวาจึงทราบถึงความสะดวกในการนึกดำริถ้อยคำสนทนากับดวงจิตตนนี้โดยที่พระองค์ไม่ต้องออกโอษฐ์สักนิด...

次の章へ