webnovel

ตอนที่่ 11

เพื่อนคนอื่นที่เริ่มตื่นหันมามอง แม้ในสมองเต็มไปด้วยสารพัดความคิด หากพัฒน์หยุดโวยวายรับเสื้อมา โก้ชี้เตียงฝั่งตรงข้ามเตียงที่เขานอน

"เตียงนั้นว่าง นายนอนเตียงนั้นได้เลย"

"อืม งั้นเราอาบน้ำก่อนนะ ไม่ได้อาบตั้งแต่เย็น ตัวเหม็นแย่"

"แล้วทำไมไม่อาบ"

พัฒน์หันไปขึงตามองวีระ

"ก็มันหนาวไง ถามอยู่ได้ เราไปอาบน้ำแล้ว"

พัฒนรีบวางกระเป๋าบนเตียง เขาถือเสื้อโก้กับผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำด้านใน พอปิดประตูห้องน้ำอยู่คนเดียว เขามองเสื้อในมือ เสื้อยืดสีดำค่อนข้างใหม่เนื้อหนาพอที่จะใส่บนเขาใหญ่ที่อากาศเย็น เนื้อผ้าที่ผ่านการซักทำให้รู้ว่า เป็นเสื้อที่เจ้าของเคยใส่มาก่อนแล้ว เสื้อของโก้ ความคิดของคนรับมายิ่งฟุ้งซ่านสับสน

"เสื้อเราหายจริง ๆ เหรอ"

คำถามที่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจว่า อยากให้คำตอบออกมาเป็นเช่นไร สามปีที่รู้จักกันมาเขามั่นใจ แม้การให้คนอื่นใส่เสื้อตนเอง อาจไม่แปลกนักสำหรับนักกีฬาชายคนอื่น แต่ไม่ใช่เรื่องปกติของโก้ คนที่ค่อนข้างถือตัว ไม่ชอบใช้ของส่วนตัวร่วมกับใคร เขาไม่เคยเห็นโก้ใช้ของร่วมกับใครเลย เขาแขวนเสื้อแล้วรีบอาบน้ำ ราวจะให้น้ำที่เย็นเยือกล้างความฟุ้งซ่านออกไปหากก็ยังอดคิดไม่ได้

"โก้ เราฝากเสื้อไปกับนายก่อนได้ไหม"

"ฝากเสื้อ"

"ก็เราต้องไประยองก่อน แล้วเราว่าพอกลับมาถึงเราจะไปหมอชิตขึ้นรถไปเขาใหญ่เลย เราก็จะฝากเสื้อที่จะใส่ที่โน่นไปกับนาย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าบ้านไปเอาเสื้อใหม่"

เพื่อให้โก้มั่นใจว่า เขาจะตามไปแน่ ๆ พัฒน์จึงเอาเสื้อค่อนข้างหนาที่จะใส่ตอนอยู่บนเขาใหญ่มาฝากโก้ไว้ก่อน นอกจากไม่ต้องหอบของเยอะแล้วยังทำให้เขาตามไปง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องกลับเข้าบ้านที่ค่อนข้างไกลเพื่อเปลี่ยนกระเป๋า โก้ก็รับฝากโดยดี หากเมื่อมาถึงแล้วโก้บอกว่า ทำเสื้อเขาหาย ตอนแรกเขากังวลปนโมโห เพราะเสื้อที่มีเป็นเสื้อค่อนข้างบางที่ใส่ตอนอยู่ระยองแล้วยังไม่ได้ซัก จะใส่ซ้ำก็...

แต่เมื่อโก้เอาเสื้อตัวเองมาให้ ความกังวลนั้นกลับกลายเป็นความยินดี เสื้อตัวเดียวแต่ทำให้ใจเต้นแรงอย่างประหลาด ในใจอดนึกถึงละครหลาย ๆ เรื่องที่เคยดูไม่ได้ เมื่อพระเอกนางเอกติดฝนอยู่ด้วยกัน แล้วพระเอกเอาเสื้อตัวเองให้นางเอกใส่ หากแต่นี่คือชีวิตจริง แม้ในใจจะแอบหวังว่า ไม่ใช่แค่เขาฟุ้งซ่านคิดไปเองฝ่ายเดียว หากอีกใจก็ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง คนอาบน้ำใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะกดความคิดทั้งหมดลงไป

อธิพัฒน์เช็ดตัวแล้วค่อย ๆ ใส่เสื้อ ทั้ง ๆ ที่เป็นเสื้อยืดธรรมดา แต่คนใส่กลับอุ่นจนหน้าร้อนผ่าว อากาศเย็นเยือกของเขาใหญ่ไม่หนาวเท่าที่คิด เขายกสองมือกอดบ่าตัวเองผ่านเสื้อ ยามปาดมือบนบ่า เขาอดคิดไม่ได้เลยว่า ราวกับถูกเจ้าของเสื้อโอบกอดไว้ ดูละครจนเพ้อไปแล้ว พัฒน์กดความคิดฟุ้งซ่านลงอีกครั้ง

"ใส่ตัวนี้ด้วย บนนี้หนาว เดี๋ยวไม่สบาย นายยิ่งขี้หนาวอยู่"

พอเดินออกมาจากห้องน้ำ โก้ก็ยื่นเสื้อกันหนาวสีขาวตัวใหญ่ให้อีก พัฒน์รับมา ดวงตาวาวคลอล้นด้วยความยินดีอย่างปิดไม่ปิด คนส่งเสื้อให้เห็นแล้วมั่นใจว่าคิดไม่ผิดเลยที่เอาเสื้อมาเผื่อ คงเพราะเสื้อสองตัวที่ใส่มันหนา หน้าคนใส่ร้อนผ่าวจนวีระที่ดูอยู่ถาม

"เป็นไรไป พัฒน์ หน้าแดงเลย"

"เปล่า อากาศเย็นไง หายใจแล้วแสบจมูกเลยหน้าแดง"

วีระหัวเราะล้อเลียน หากไม่พูดอะไรต่อ โก้เดินออกไปเพื่อบอกรถตู้ที่เช่ามาว่าจะไปไหน พัฒน์มองตามเงาหลังที่เดินไป ความคิดคงวนเวียนอยู่กับคำถามว่า การที่อีกฝ่ายเอาเสื้อตัวเองมาให้นี่ เป็นเจตนาจงใจหรือทำเสื้อที่ฝากไว้หายจริง ๆ

"แปลกจริง โก้บอกว่าทำเสื้อนายหาย แต่เราว่าเราเห็นถุงใส่เสื้อนายอยู่ในตู้กลุ่มนะ"

พัฒน์มองวีระ ตาใสวาวราวกับคาดหวังให้สิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง

"ไว้กลับกลุ่มค่อยไปดูอีกทีล่ะกัน ว่าแต่ วันนี้จะไปไหนกัน"

"เอ ไม่แน่ใจ โก้เป็นคนจัดโปรแกรม เดินมานั่นแล้ว โก้วันนี้จะไปไหน"

"น้ำตกเหวนรก นายปลุกคนอื่นให้ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวจะได้กินข้าวแล้วไปกัน"

วีระเริ่มปลุกเพื่อนที่ยังไม่ยอมลุกจากเตียง พัฒน์นั่งรอบนเตียง โก้เดินมานั่งข้าง ๆ แล้วทำหน้านิ่งมองด้วยตาดุ ๆ แต่ไม่พูดจนคนถูกมองชักหายใจไม่ค่อยสะดวก

"มีอะไรหรือเปล่า โก้"

"นายมายังไงเช้าขนาดนี้"

เสียงเรียบ ทำให้คนพึ่งมาถึงย่นคอ พอเสมองทางอื่นเสียงเข้มยิ่งคาดคั้น

"เราถามว่า นายมายังไง"

"ก็นั่งรถมาไง ใครจะเดินมาล่ะ"

"โก้ วันนี้จะไปไหน"

เพื่อนที่เดินออกมาจากห้องน้ำถามขัด พัฒน์หันไปยิ้มหวานที่สุดให้คนที่มา จนคนได้รับงงว่า เกิดอะไรขึ้น พัฒน์รีบตอบ

"โก้บอกจะไปน้ำตกเหวนรกล่ะ ใช่ไหม เออ...เราไปช่วยวีปลุกคนอื่นก่อนนะ จะได้ไม่สาย"

พัฒน์รีบลุกไปปลุกเพื่อนที่ยังนอนอยู่ โก้มองตามเห็นคนตัวเล็กแอบถอนใจโล่งอก เขารอจนอีกฝ่ายมองมา เขาชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้รู้ว่า อย่าคิดว่าหลบพ้น ยังไงเขาก็ต้องรู้คำตอบให้ได้

ทางลาดลงเขาถูกเจาะแต่งเป็นบันไดทอดยาวลงไปถึงน้ำตกด้านล่าง น้ำช่วงฤดูหนาวเย็นจัด แค่แช่มือลงไปคนจุ่มก็ร้องคราง

"อู๊ย เย็นชะมัด"

"ขี้หนาวก็ยังจะจุ่มมือลงไปอีก"

"ก็อยากรู้นี่ เย็นแค่ไหน น้ำใสจริง ไม่รู้มีปลาไหม"

"ถ้ามีก็อยู่ตรงน้ำลึกโน่น ว่าแต่มีใครอยากเล่นน้ำไหม"

โก้ถาม เพราะอากาศเย็นทุกคนจึงส่ายหน้า ทั้งกลุ่มแยกย้ายเดินเล่นนั่งเล่นอยู่บริเวณรอบ ๆ หามุมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ยิ่งตามโขดหินที่มีน้ำตกไหลมาเป็นฉากหลังยิ่งเป็นจุดรวมตัว

พัฒน์มองไปทางต้นน้ำที่ไหลมา สองข้างลำธารเป็นป่าค่อนข้างทึบ เขาเดินเลียบทางน้ำขึ้นไปจนเกือบจะแยกออกมาจากกลุ่ม โก้ที่มองอยู่รีบตะโกนเรียก

"พัฒน์ อย่าเข้าไปลึก อันตราย"

คนถูกเรียกหันกลับมายิ้มแหย ๆ แล้วกลับมารวมกลุ่ม เสียงคนบอกยิ่งเข้ม

"เดินเข้าไปทำไม อันตราย"

"เราอยากรู้ไงว่า ในนั้นมีอะไรหรือเปล่า"

"มาเที่ยวป่าอย่าแยกกลุ่ม เดี๋ยวก็หลงหรอก"

"ถ้าพัฒน์หลงนายก็ไปตามสิ จะได้เหมือนละครไง พระเอกนางเอกหลงป่า เผื่อจะมีฝนตกแล้วเจอกระท่อมกลางป่า"

เพื่อนที่มาด้วยล้อเลียน พัฒน์ทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ยิน โก้หันไปบอกคนพูด

"ดูละครมากไปแล้ว บอกก่อน ใครแยกไปแล้วหลงไม่ไปตามทั้งนั้นแหละ"

คนได้คำตอบทำหน้าล้อเลียน พัฒน์มองโก้ที่เดินไปอีกทาง แม้จะเริ่มชินกับเวลาที่เพื่อนล้อแล้วโก้จะตอบให้รู้ว่า ไม่ได้ใส่ใจตัวเขาเลย หากแต่ทุกครั้งที่ได้ยินก็ยังอดน้อยใจไม่ได้สักที

เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนทั้งกลุ่มอีกครั้ง ตลอดทั้งวันโก้จึงเดินห่างจากพัฒน์ไม่เข้ามาคุยด้วยอีก ขึ้นรถก็นั่งคนละแถว ยิ่งตอนรวมตัวถ่ายรูปหมู่ โก้จะรอให้พัฒน์เข้าไปในกลุ่มก่อนแล้วไปยืนอยู่อีกฝั่ง จึงไม่มีรูปไหนเลยที่ทั้งคู่ยืนคู่กัน ทุกรูปเขากับพัฒน์จะยืนคนละด้านเสมอ

"นายเป็นอะไร วี มาเดินติดกับเราอยู่ได้"

อธิพัฒน์บ่น เพราะทั้งวัน วีระแทบจะเรียกได้ว่าอยู่ประกบติดกับตนเองตลอด ไม่ว่าจะเดินไปไหน วีระต้องมาอยู่ข้าง ๆ พอเห็นสีหน้าชักหงุดหงิดวีระก็บอก

"มีคนสั่งให้เราคอยดูนาย ห้ามปล่อยนายไว้คนเดียว"

"ใครสั่ง"

วีระพูดเหมือนไม่ตั้งใจบอก หากกลับมุ่งมั่นจริงจังที่จะสื่อให้รู้

"จะใครสั่ง ก็โก้น่ะสิ โก้บอกให้เราคอยดูนายไว้ เขาว่านายชอบเดินแยกตัวไปโน่นมานี่ ปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้ ยิ่งเฟอะ ๆ ฟะ ๆ อยู่"

ประโยคแรกทำให้หัวใจคนฟังพองโต หากประโยคหลังทำให้อดมองค้อนคนที่ยืนห่างไปไม่ได้

"อยู่นี่เอง มานั่งทำอะไรคนเดียว"

หลังกินข้าวเย็น เพื่อน ๆ ตั้งวงเล่นไพ่ พัฒน์ไม่อยากร่วมวง แล้วก็รู้สึกว่า มีคนบางคนรอเค้นคำตอบอยู่ เขาจึงหลบลงมาเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน จนเห็นบริเวณข้างสระน้ำสวยสงบ เลยนั่งเล่นผ่อนคลาย ตั้งใจว่า อีกสักพักค่อยกลับไปนอน ยิ่งถ้าไปถึงแล้วใครบางคนหลับไปเลยได้ยิ่งดี

โก้มองหาแล้วไม่เห็นพัฒน์อยู่ในบ้าน เมื่อเห็นเพื่อน ๆ สนใจแต่เรื่องได้เสียในวงไพ่ เขาจึงชวนวีระให้ออกมาตาม จนเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ริมหนองน้ำคนเดียว คนที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าหันมายิ้มให้แล้วชี้ไปที่ท้องฟ้า คืนนี้เดือนแรมฟ้าโปร่งทำให้เห็นดาวระยิบระยับเต็มผืนฟ้า

"เราออกมานั่งเล่นน่ะ ฟ้าสวยนะ ดาวเต็มฟ้าเลย มานั่งดูด้วยกันไหม"

โก้นั่งลงข้าง ๆ หน้าตาเขาจริงจังไม่ยิ้มตอบจนคนนั่งอยู่ก่อนใจฝ่อ พอรู้ตัวอยู่ว่า อีกฝ่ายยังคงติดใจเรื่องที่เขามาถึงตั้งแต่เช้า ยิ่งทบทวนวีรกรรมที่รีบตามมาเมื่อวาน พัฒน์ก็ยิ่งคิดว่า ไม่น่าเล่าให้ฟังแน่ ๆ วีระมองท่าทางหวาด ๆ ของคนตัวเล็กอย่างขำ ๆ ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าญาติตัวเองต้องคิดว่าโก้เป็นคนพิเศษแน่ ๆ ถึงมีอาการแบบนี้ แม้จะอยากรู้เหมือนกันว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงได้มาถึงเช้าขนาดนั้น แต่ก็คิดว่า ตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ทั้งสองคนจะได้อยู่กันลำพัง เอาเหอะ...ให้โก้ซักก่อนก่อน แล้วเขาค่อยมาถามทีหลังดีกว่า หากพอจะเดินกลับพัฒน์ก็รีบบอก

"ไปไหนล่ะ วี นั่งด้วยกันก่อนสิ"

"ไม่ล่ะ เห็นโก้บอกมีเรื่องจะมาถามนายนี่ คุยกันสองคนนั่นแหละ"

คำบอกทำให้คนฟังชักหายใจไม่คล่อง พอเหลือบมองหน้านิ่ง ๆ ของคนนั่งอยู่ด้วยเขาก็รีบบอก

"งั้นเรากลับด้วยดีกว่า เดี๋ยวมีใครมาตามอีก"

โก้กดบ่าพัฒน์ไม่ให้ลุกขึ้น วีระรีบบอก

"ไม่มีใครมาตามหรอก เล่นป็อกเด้งกินเงินกันแบบนี้ ถ้ามีคนลงเล่นด้วย เป็นได้เล่นทั้งคืนไม่สนใจอะไรเลย เดี๋ยวเรากลับไปแล้วเล่นกับพวกนั้นเอง นายสองคนจะได้คุยกันสะดวก ๆ"

ประโยคท้ายกินนัย วีระมองพัฒน์แล้วทำมือปาดคอล้อเลียนก่อนเดินกลับไป พอมองหน้าคนที่ครั้งนี้ไม่ยิ้มเลย พัฒน์ก็ใจฝ่อเขาปั้นยิ้มหวานสุดชีวิตให้โก้ หากคนนั่งด้วยยิ่งหน้าตึงไม่ยิ้มตอบ คนยิ้มหน้าแหยทำไม่รู้ไม่ชี้มองดาว คนมีคำถามจ้องเขม็ง สายตานั้นเข้มขึงบอกให้รู้ว่า ต้องการคำตอบ

"ตอนนี้บอกเราได้หรือยังว่า นายมายังไง เช้าขนาดนั้น"

"ก็มีรถมาส่งหน้าที่พักไง"

คนมาตอนเช้าตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป หากไม่ยอมสบตาด้วย คนถามรู้ทันว่าอีกฝ่ายต้องการเลี่ยงไม่ตอบ เสียงเข้มจึงซักลงไปในรายละเอียด

"รถอะไรมาส่ง เช้าขนาดนั้น"

"ก็รถส่งของไง"

"พัฒน์"

เสียงเรียกนั้นบอกให้รู้ว่า คนพูดโกรธจริง ๆ แล้ว พัฒน์เหลือบมองก่อนค่อย ๆ ตอบ

"มันมีรถขึ้นมาส่งของ เราเลยติดรถเขามา"

"รถส่งของอะไร มันมีรถขึ้นเขาใหญ่วันละเที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ แปดโมง มาถึงนี่เที่ยง เราก็บอกที่บ้านไว้แล้วว่า ให้บอกนายให้ตามมาตอนเช้า แล้วเราจะไปรับตรงที่จอดรถตอนเที่ยง แต่นี่นายมาถึงแต่เช้าเลย นายมายังไง"

เมื่อเห็นคนตัวเล็กยังอึกอักเหมือนหาวิธีเลี่ยง โก้ที่รู้ดีว่าจะจัดการยังไงจึงบอก

"ก็ได้ ถ้านายไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ที่ถามเพราะเราเป็นห่วงว่า นายมาเช้าขนาดนี้ได้ไง ถ้านายคิดว่าเป็นห่วงนี่ เรายุ่ง เราไม่ถามก็ได้ ต่อไปนายจะทำอะไรเราก็จะไม่ยุ่ง"

"ไม่ใช่อย่างนั้น โก้ แต่...แต่ถ้าเล่าแล้วอย่าโกรธนะ"

"แสดงว่า มันน่าโกรธใช่ไหม ถ้าเล่ามาดี ๆ จะไม่โกรธ"

คนตามมาแอบถอนใจ แม้ท่าทางพร้อมถอยห่างถ้าอีกฝ่ายโกรธแต่ก็ค่อย ๆ เล่าออกมา

"คนที่บ้านนายบอกแล้วว่า ให้ตามมาตอนเช้า แต่เราไม่อยากรอ เมื่อวานเราเลยไปถามที่หมอชิตว่าจะมาเขาใหญ่ได้ยังไง เขาบอกว่า ให้นั่งรถมาลงปากช่องก่อน แล้วหารถจากปากช่องขึ้นเขาใหญ่อีกที เราก็นั่งรถมาปากช่องแล้วต่อรถขึ้นมา แค่นี้เอง"

คนเล่าพยายามพูดเหมือนเป็นเรื่องการเดินทางธรรมดาทั่วไป แต่คนฟังไม่ละเลยรายละเอียดที่ถูกเล่าข้ามไป

"ไม่แค่นี้ นายมาจากระยองนี่ แล้วนายออกจากกรุงเทพกี่โมง"

"ก็ออกตอนบ่าย ๆ"

"บ่ายน่ะ บ่ายกี่โมง แล้วมาถึงกี่โมง"

คนรอคำตอบขึงตา คนตามมาดึงหญ้ามาพันนิ้วไปมา เสียงอ่อยเบาหวิว

"ก็ออก ออกตอนหกโมงเย็น มาถึงปากช่องสามทุ่ม"

"สามทุ่ม"

คนได้คำตอบตกใจ คนเล่าย่นคอยิ่งเห็นสายตาที่มองมาราวจะขย้ำ คนที่เมื่อวานใจกล้าตามมาโดยไม่รู้จักทางเลยสักนิดยิ่งไม่กล้าสบตา เขารู้สึกว่าความกล้าที่มีทั้งหมดในชีวิตถูกใช้ไปเมื่อคืนนี้แล้ว

"ไหนบอกว่าจะไม่โกรธไง"

พัฒน์ชำเลืองดูหน้าที่โมโหจัดแล้วทำท่าจะลุก หากคนตัวโตกว่ากดบ่าไว้ไม่ให้ไปไหน ถ้าเป็นปกติเขาคงสะบัดตัวลุกหนีไปแล้ว แต่พอเห็นอาการคนข้างตัวก็ไม่กล้าขยับหนี

"ยังไม่ต้องไปไหน เล่ามาให้หมดเลยนะ นายขึ้นมายังไง กลางคืนมันไม่มีรถนี่ แล้วเมื่อคืนนายนอนที่ไหน เล่าตั้งแต่มาถึงปากช่องเลย ถ้าไม่เล่าให้หมด คราวนี้เราโกรธจริง ๆ ด้วย"

เพราะทั้งโมโหทั้งเป็นห่วง เสียงดังจึงเข้มดุดันรัวคำถามเป็นชุด คนโดนถามหน้ายิ่งแหย แต่พอย้อนนึกไป เจ้าตัวยังตกใจว่า ทำไมถึงกล้าตามมาคนเดียวตอนค่ำแบบนั้น

ตอนคนที่บ้านโก้บอกว่า ให้ตามไปพรุ่งนี้แปดโมง แล้วโก้จะไปรับที่ท่ารถ ไม่รู้เพราะไม่อยากให้คนที่ไปก่อนรอหรืออยากเจออีกฝ่ายเร็ว ๆ เขาก็ตัดสินใจซื้อตั๋วมาปากช่องเลย คิดว่าจะสามารถหารถขึ้นเขาใหญ่ได้ตลอดเวลา โดยไม่รู้เลยว่า เมื่อมาถึงตอนสามทุ่ม ด้านนอกของท่ารถมืดสนิท มีเพิงขายอาหารเปิดอยู่ร้านเดียว คนตัวเล็กกำลังคิดว่าจะเล่ายังไงดี คนถามย้ำเสียงเข้ม

"เล่ามาให้หมดเลยนะ มาถึงปากช่องแล้ว"

次の章へ