นำไปลงต่อใน readawrite แล้วค่ะ ใช้ชื่อเดียวกัน bit.ly/3N4HG6J
กิจวัตรประจำวันของวัยเลขหกขึ้นต้นซ้ำซากจนเป็นแบบแผน ตั้งแต่นอนสี่ทุ่มตื่นตีห้า แล้วเริ่มวันใหม่ด้วยการเดินเข้าครัวหาชงกาแฟ แวะลูบหัวเหล่าแมวเหมียวที่โดดแผล็วมาตามมุมมืดต่าง ๆ ของบ้าน ใต้ชั้นวางของ ในฝ้าเพดาน บนตู้กับข้าว ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะครัวแล้วอ้อนเสียงหวาน
ป๊ายิ้มรับการทักทายของสัตว์เลี้ยง บ่นเอ็นดูแมวสีเทาตัวหนึ่งที่มีหยากไย่ติดเต็มหัว "ไปนอนที่ไหนมาฮึ" เพราะไม่ว่าจะจัดที่ไว้ให้ดีแค่ไหนพวกมันก็ไม่เคยอยู่สักที บางตัวถึงกับไปแย่งที่นอนหมา
สุนัขต่างจากแมวตรงที่ไม่ค่อยตามติดมนุษย์อย่างกดดันเท่าไร บางตัวยังนอนอุตุอยู่ในมุ้ง บางตัวมุดออกมาทักทายเจ้าของแล้วกระดิกหางขออาหาร "จ้า จ้า เดี๋ยวรอแด๊ดนะลูก" เขามักให้เหล่าสัตว์เลี้ยงกินเป็นเวลาซึ่งตีห้ายังเช้าเกินไป แมวโตหมาโตอดทนรอกันได้
ชายสูงวัยไปเปิดตู้กับข้าวชั้นบนสุดเพื่อหาซองอาหารนิ่ม ในห้องใต้บันไดเป็นที่เลี้ยงลูกแมวยังไม่หย่านม ยังเด็กเกินกว่าจะกินอาหารแข็งหรือปล่อยสู่โลกภายนอก ยังต้องอยู่ในห้องที่มีสารพัดของเล่นแขวนเต็ม มีคอนโดแมวให้ปีนป่าย มีที่นอนอบอุ่นให้แม่แมวพักผ่อน
ดีนะที่รับแม่มันมาด้วย ยังไงเขาก็ดูแลลูกแมวได้ไม่ดีเท่าแม่แมวแน่…
ป๊าเกาคอให้ความรักกับพวกมันอย่างไร้กังวล ไม่ต้องรีบร้อนไปไหน ไม่มีงานหนักหนาอะไร มีความสุขเชื่องช้ากับฝูงก้อนขนตัวเล็กนุ่มนิ่ม
ชีวิตหลังเกษียณสุขสงบแบบนี้นี่เอง ทำสวนง่าย ๆ ที่บ้าน เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกข้าว ปลูกผักกินเอง หมาแมวรวมกันอีกกว่ายี่สิบ ตอนเช้าก็มีเวลานั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นบนชิงช้าไม้สัก โยกไกวเบา ๆ ไม่ให้มึนหัวตาลาย ซึมซับบรรยากาศร่มรื่นของสวนยามเช้าตรงที่โปรด
แสงอรุณเริ่มสาดฉายไปทั่วสวนสวย ย้อมดอกบานเช้าให้ผลิกลีบยั่วยวนผีเสื้อ ในฤดูร้อนแบบนี้เวลาเช้ามักเริ่มตั้งแต่ยังไม่หกโมงดี เมื่อความเคยชินเตือนเขาว่าได้เวลาแล้วป๊าจึงเดินกลับขึ้นห้องไปปลุกสามีขี้เซา สายตายาวทอดมองร่างคนบนเตียงด้วยความเหนื่อยหน่าย ทั้งนอนหงายอ้าปากกรนดังอย่างกับฟ้าผ่า
"แด๊ด ลุกเร็ว กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย" ผู้เรียกตีพุงกลม ๆ ระบายความหมั่นไส้สักทีสองที "นอนกินบ้านกินเมืองจริงจริ๊ง"
"อือออ คร่อก"
"ตื่น!"
ไม่ว่าตาจะปิดอยู่หรือยังสะลึมสะลือเมาขี้ตา ผู้สูงวัยอีกคนก็สามารถลุกขึ้นตามได้เหมือนร่างกายเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เท้าพาร่างงัวเงียเดินลงบันได มือควานหาครกสากในครัว จัดแจงตำปลาย่างเตรียมคลุกข้าวให้แมวกว่ายี่สิบชีวิตและสุนัขจรจัดอีกสี่
การให้อาหารสัตว์ยามเช้าถือว่าเป็นงานหนักใช้ได้ แต่ในเมื่อพวกเขามีเวลาว่างเหลือเยอะแยะจะเลี้ยงอีกสักสิบตัวก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร จนป๊ามองเห็นโอโม่ที่ขึ้นไปนั่งเลียไข่อยู่บนตู้กับข้าว เงยหน้าขึ้นมามองคนสามวินาทีก่อนเลียไข่ต่อ…เปลี่ยนใจ มีแค่นี้แหละพอแล้ว อยากลดแมวลงอีกตัวมากกว่า
ในการให้ข้าวหมาแมวแต่ละครั้งต้องเรียงจานไว้ให้ตัวละใบ ไม่งั้นทะเลาะกันตาย แต่มักถูกขัดขวางด้วยพวกรีบร้อนเช่นแมวหิวเดินวนรอบไม่ก็กลิ้งตัวทับหลังเท้า หมาร้องแอ๊ง ๆ ขวางทางจนเกือบทำเจ้าของล้ม ถ้าเป็นสักสามสิบปีก่อนจะไม่ว่าอะไรเลย ล้มตอนนี้เดี๋ยวได้ไปตื่นอีกทีที่โรงพยาบาล
"โอ๊ย พันแข้งพันขาอยู่นั่นแหละ ป๊าจัดจานอยู่เห็นไหมลูก" พอทนไม่ไหวชายสูงวัยถึงต้องตวาดสักที
"อย่าดุนักสิ" สามีเขาเอ่ยปราม ลูกครึ่งชิวาว่าที่คิดว่าตัวเองเป็นแมวเห่าอย่างเห็นด้วย วิ่งย้ายที่ไปเห่าแอ๊ง ๆ ใกล้แด๊ดต่อ "ป๊าน่ารักไงฟ็อกกี้ถึงได้อยากอยู่ใกล้ ๆ" ผู้พูดยิ้มโปรยเสน่ห์ ทั้งยังวาดทัพพีเปื้อนข้าวกับปลาแห้งเป็นรูปหัวใจในอากาศ
"อายุปูนนี้แล้วจะเอาอะไรมาน่ารักอีก" ถึงเสียงเขาฟังดูเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มมีความสุขที่ระบายทั่วริมฝีปาก
แด๊ดหัวเราะเสียงดังจนแมวมองแรง เขาเป็นแบบนี้ทุกวันเลย ตอนเลขสองนำหน้าเป็นอย่างไรเลขหกก็เป็นอย่างนั้น ปากหวานชอบหยอดเสมอต้นเสมอปลาย
เหล่าสัตว์สี่ขาไปล้อมสามีไว้เป็นวงกลม ตัวหูตั้งตัวหน้าขนทั้งแมวและชิวาว่านั่งส่งสายตากดดัน ต่างจากสุนัขบ้านอีกสี่ตัวผู้นั่งรอเรียบร้อย ตาใสแป๋ว น้ำลายไหลรดพื้น พอแด๊ดเริ่มตักข้าวคลุกปลาจากในหม้อให้ก็ส่ายหางไปมาอย่างบ้าคลั่ง
"โบลลิ่งเอ็งนี่ยังไง" โบลลิ่งคือแมววัวผู้เกรี้ยวกราด พอเห็นแด๊ดตักให้สุนัขก่อนก็ปรี่เข้าไปขู่แย่งกิน ผู้ให้อาหารถึงกับต้องอุ้มขึ้นแยก "น่าน ไปตบหน้าน้องอีก จานข้าวเอ็งก็อยู่ตรงนี้ไง"
ป๊ายิ้มมองภาพนี้อย่างเอ็นดู หัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ สามีทำท่าจะเท้าเอวแสดงความไม่พอใจ แต่มือหนึ่งถือแมว มือหนึ่งถือหม้อข้าวเก่า เลยได้แค่มองคาดโทษ "ป๊าจะล้อแด๊ดเหรอ"
"แหมม ทีเมื่อก่อนจำชื่อไม่ได้สักตัว เดี๋ยวนี้เรียกอย่างกับลูกเชียวนะ ใครน้าบอกอย่าเลี้ยง ๆ เอามาก็เป็นภาระ" เขายังจำโทนเสียงต่ำติดหงุดหงิดของสามีในอดีตได้ดี และจะจำให้แม่นเพื่อเอาไปล้อต่อจนขึ้นเลขแปดไม่ก็อัลไซเมอร์ถามหา
"อะ-อะไรเล่า ก็ต้องดูแลมันทุกวันนี่หว่า"
"วันหลังอุ้มไปนอนด้วยเลยไหม"
"ไม่ได้สิ ตรงนั้นสงวนไว้ให้ป๊าคนเดียว"
"ปากหวานจริงจริ๊ง"
"หวานรอให้ป๊ามาลอง"
คนโดนหยอดพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ แต่ในเมื่อเห็นกันมานานโขแล้วอีกฝ่ายก็อ่านสีหน้าเขาออกอยู่ดี แด๊ดยิ้มอย่างผู้กุมชัยชนะ มั่นหน้าจนระดับความหมั่นไส้ของป๊าพุ่งทะลุชั้นเมฆ เขาชี้มือไปนอกหน้าต่างบ้านในทิศทางสวนแล้วใช้งานตัวต้นเหตุ
"ไป ไปปลอกมะพร้าวมาคั้นกะทิก่อน เอาลูกแก่ ๆ นะ ที่ร่วงลงมาแล้วนั่นก็ได้"
"เขินเหรอป๊า รอเสร็จงานก่อนเนาะ"
"ลูกจะมาเย็นนี้แล้ว เร็ว!"
เหตุผลว่าจะได้เจอลูก ๆ แล้วทำให้เหล่าผู้เป็นพ่ออารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใกล้เทศกาลสงกรานต์ก็จริงแต่ป๊าไม่ได้หวังว่าจะต้องมีพิธีรีตองมากมาย ไม่ได้หวังไปทำบุญด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องมีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ แค่ได้เห็นหน้า ได้ตามเอาใจพวกลูก ๆ สักสี่ห้าวันก็ดีใจจะแย่แล้ว
วันนี้พวกเขาคงวุ่นกับการเตรียมรับลูกตั้งแต่เช้าจนเย็น อาหารที่คิดไว้ต้องมีข้าวเหนียวมะม่วงแน่ ๆ เพราะผลสีเขียวสีเหลืองร่วงเกลื่อนเต็มดินไปหมด นี่ก็ไปสอยน้ำดอกไม้มารอไว้หลายลูก แป้งข้าวเหนียวก็เหลือเยอะแยะ นอกนั้นอาจเป็นบัวลอย ไปถอนขิงในสวนสมุนไพรมาสักสามสี่ต้น อัญชันสำหรับคั้นสี ดอกมะลิไว้ลอยในน้ำดื่ม ไม่ลืมใบเตยสักกอ ตรงริมสระกำลังงามพอดีเลย ไหนยังจะต้องคิดเมนูอาหารคาวอีก
ระหว่างรอแด๊ดขูดมะพร้าวทำกะทิ ป๊าขึ้นเรือนไปเก็บกวาดห้องของลูก ๆ เอาผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน แล้วก็หมอนออกมาซักตากแดดแรงของเดือนเมษายนให้หอมกรุ่น เขาเดินไปเดินมาระหว่างเครื่องซักผ้ากับรั้วบ้าน ผ่านครัวที่สามียังนั่งเอียงบนกระต่ายตัวเล็กแล้วลงมือขูดอย่างมุ่งมั่น การไม่บ่นเหมือนปกติบอกได้ว่าเขาเฝ้าคอยการมาถึงของลูก ๆ เพียงไร
ชีวิตน่าเบื่อหน่าย…แต่ขอแค่ครอบครัวพร้อมหน้าก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
_____