หลังจากที่จิตทิพย์แห่งอริยะสงฆ์ ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่
ของเธอในชาตินี้ ได้เมตตาส่งกระแสจิตมาบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า
นิมนิม ก็ยิ่งอดทนต่อทุกขเวทนาทั้งทางกายและทางใจของเธอเองมากขึ้น
โดยไม่ปริปากบอกญาติคนใดให้ต้องวิตกกังวลต่อการเฝ้าดูแล
มารดาผู้พิการ และนอนติดเตียง ในระยะสุดท้าย
" อีกไม่นาน..... ? หมายถึง 1 ถึง 3 เดือนหรือเปล่าหนอ? "
นิมนิม ครุ่นคิดถึงคำพูดจากทางจิตของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เงียบ ๆ ทุก ๆ ครั้งที่เหล่าครูบาอาจารย์มีเมตตาส่งกระแสจิต
ทางทิพย์มาบอกเหตุใด ๆ แก่เธอนั้น แน่นอนว่าจะมีเหตุดีหรือร้ายเรื่องนั้น ๆ
เกิดขึ้นในอนาคตอย่างมิต้องสงสัย!! แต่.. ทุก ๆ ความลับของสวรรค์นั้น
จะมีกฎอยู่ว่า : ไม่ให้ล่วงรู้วันเวลาที่ชัดเจน แน่นอนแบบตายตัว
เพราะนิมนิม หาใช่บุคคลซึ่งเป็นพระอริยะเจ้าผู้หมดจากกิเลสนานา ไม่!!
วันหนึ่ง หลังการรับประทานอาหารเหลวผ่านทางสายยาง ไหลลงคอ
ไปสู่กระเพาะอาหาร ของผู้เป็นมารดา ในขณะที่นิมนิมยืนอยู่ตรงหัวเตียงพยาบาล
ที่ซึ่งมีร่างผอมแห้งของมารดานั่งอยู่ในท่าเอนประมาณ 60 องศา ตามระดับ
การปรับเตียงสำหรับผู้ป่วยที่กำลังย่อยอาหาร
" มื้อคืนนี้ ก่อนไก่ขัน แม่เห็นผู้ชายแต่งชุดตำรวจ
ย่างเข้ามาในห้องเฮานี้ตั้งสี่คน ตั้ว! "
(แปลจากอีสาน : เมื่อคืนนี้ ก่อนไก่ขัน แม่เห็นผู้ชายแต่งตัวชุดตำรวจ
เดินเข้ามาในห้องของเรานี้ถึงสี่คน นะ! )
จู่ ๆ คุณแม่ก็เอ่ยขึ้น และเอียงหน้ามามองลูกสาวคนกลาง ผู้ที่เธอรัก
และห่วงใยมากที่สุด ซึ่งกำลังถือถุงยางอาหารเหลวและกำลังเทน้ำอุ่นลงไป
ในถุงนั้น ก่อนที่จะยกถุงขึ้นห้อยไว้บนเสา ในระดับที่แพทย์กำหนดให้
เพื่อให้น้ำดื่มหลังจากทานอาหารเหลวหมดลงแล้วแก่ผู้ป่วยนอนเตียง
" ติจ้า แล้วเขาพากันเข้ามาเฮ็ดอีหยังจ้าแม่? "
( แปลจากอีสาน : หรือคะ แล้วเขาพากันเข้ามาทำอะไรคะแม่? )
นิมนิม รีบตอบมารดาเพื่อแสดงความใส่ใจต่อสิ่งที่ท่านกำลังพูด
" เขาย่างเข้ามายืนล้อมเตียงแม่นี่หละ ข้างละสองคน เขาบอกว่า
เขามาจับไพ่เอาไปปรับ พะนะ "
( แปลจากอีสาน : เขาเดินเข้ามายืนล้อมเตียงของแม่นี่แหละ
ข้างละสองคน เขาบอกว่าเขามาจับไพ่เพื่อเอาไปเสียค่าปรับ )
นิมนิม ห้อยถุงอาหารไว้บนเสาข้างเตียงแล้ว จึงหันมาพูดคุยกับแม่
ผู้ให้กำเนิดของเธอด้วยความรักและสนใจ เธอก้มหน้าลงมองหน้าแม่
และยกมือของเธอขึ้นมาลูบเบา ๆ บนหลังมือผอมแห้งของผู้ให้กำเนิด
เพื่อแสดงความรัก และเป็นการถ่ายเทความอบอุ่นให้กับผู้ป่วย
" แล้วแม่ ว่าจั่งได๋กับเพิ่นจ้า? "
( แปลจากอีสาน : แล้วแม่ พูดว่าอย่างไรกับท่านคะ? )
" แม่กะย่านแฮง!! ย่านเพิ่นพากันเอาโตแม่ไปมื้อนี้
แม่กะเลยฟ้าวบอกเพิ่นว่า : ข้อยสวดอิติปิโสซูมื้อ ๆ ละ 108 เทือ
แล้วกะลูกสาวของข้อยผู้นั้น : แม่ชี้ไปทางที่โตกำลังนอนหลับอยู่กับน้องณิว
เขากะสวดมนตร์นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้ข้อยอยู่ซุมื้อ บ่ เคยขาด
อย่าฟ้าวมาเอาข้อยไปเถาะ เจ้านายเอ๊ย! เหลือโตนฉันแน
ฉันยังอยากอยู่กับลูกกับหลานไปอีก "
( แปลจากอีสาน : แม่ก็กลัวมาก!! กลัวท่านเอาตัวแม่ไปวันนี้
แม่จึงรีบบอกท่านไปว่า : ฉันสวดอิติปิโส ทุกวัน ๆละ 108 จบ
และลูกสาวของฉันคนนั้น : แม่ชี้มือไปทางที่นิมนิมกำลังนอนหลับอยู่กับน้องณิว
เขาก็สวดมนตร์นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้ฉันทุกวัน ไม่เคยขาดเลย
อย่าพึ่งมาเอาฉันไปเลยนะคะ เจ้านาย เอ๊ย! )
แม่ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและหวาดกลัว พร้อมยกมือซ้าย
ซึ่งใช้ได้เพียงข้างเดียว ตั้งแต่เส้นเลือดในสมองของแม่แตก!!
ในครั้งที่สองเมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากแม่ผ่าตัดและฟื้นชีวิตขึ้นมา
แม่ก็กลายเป็นผู้ป่วยอัมพฤกษ์ด้านขวาตลอดทั้งร่าง!!!
แม่ชี้นิ้วมือไปทางปลายเตียงด้านที่เป็นที่นอนของนิมนิมกับลูกชายคนเล็ก
คือน้องณิว ซึ่งปูอยู่บนพื้นห้องอย่างเรียบง่ายตามแบบวิถีชีวิตชาวอีสาน
" แล้วแม่กะฟ้าวซี้มือไปทางโตนอนอยู่กับน้องณิว นั่นแหล่ว!
เพิ่นกะหันไปเบิ่งทางนั้นกับมือแม่ แล้วเพิ่นผู้หนึ่งทรงสิเป็นหัวหน้าหมู่
เพิ่นกะหันหน้ามาเหลียวเบิ่งแม่ "
(แปลจากอีสาน : แล้วแม่ก็รีบชี้มือไปทางที่ลูกนอนอยู่กับน้องณิว เลยสิ!
ท่านก็หันไปมองทางนั้นตามมือของแม่ แล้วท่านหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าทีม
ท่านก็หันหน้ามามองดูแม่ )
นิมนิม เชื่อทุกสิ่งที่คุณแม่ของเธอกำลังเล่าให้เธอฟัง เพราะแม่ของเธอ
คือผู้ป่วยนอนเตียงในระยะสุดท้าย ผู้ซึ่งมีอาการเจ็บป่วยเข้าขั้นโคม่ามา
หลายต่อหลายครั้งแล้วในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้น "จิตของผู้ป่วย"
จะอยู่ครึ่งๆระหว่าางภพภูมิของคนเป็น (เชื่อมต่อกับกายเนื้ออยู่) กับ
ภพภูมิของคนตาย (เชื่อมต่อกับโลกทิพย์ด้วยจิต ) ที่มีการเข้าและออก
จากร่างเป็นบางเวลา เช่น ในเวลาที่นอนหลับลึก หรือสลบ เป็นต้น)
" นางเซื่อแม่จ้า "
นิมนิม มองสบตามารดาด้วยความรักและเข้าใจอย่างสุดหัวใจ พร้อม ๆ กับ
ลูบบนหลังมือและแขนของแม่ไปด้วยเบา ๆ เพื่อปลอบโยนจิตใจของมารดา
" บาดนี่! ผู้เป็นหัวหน้าหมู่่กะเลยเว้ากับแม่ว่า" :
" เอาหละนางสวาทเอ๋ย!
ครั้งนี้ถือว่าพวกเรามาเยี่ยมก็แล้วกัน พวกเราจะยังไม่เอาตัวเจ้า
ไปเสียค่าปรับก็ได้ เพราะท่านนั้น! "
แม่ว่าเพิ่นคือสิหมายถึงโตนั่นหล่ะหล่า เพราะเสียงของเพิ่น
เป็นทรงเกรงอกเกรงใจโตหล๊ายหลายเด๋!
" ได้สวดมนตร์ รักษาสมาทานศีล ทำสมาธิ แผ่เมตตาจิตให้เจ้าอยู่ทุกวัน
พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องให้ความเคารพท่านเช่นกัน แต่ ครั้งหน้า
พวกเราจะกลับมาใหม่!! ขอให้เจ้าเตรียมตัวเอาไว้ด้วย "
( แปลจากอีสาน : คราวนี้! ผู้เป็นหัวหน้าทีมจึงพูดกับแม่ว่า
"เอาหล่ะนางสวาท เอ๋ย! ครั้งนี้ถือว่าพวกเรามาเยี่ยมก็แล้วกัน
พวกเราจะยังไม่เอาตัวเจ้าไปเสียค่าปรับก็ได้ เพราะท่านนั้น!"
แม่ว่าท่านคงจะหมายถึงลูกนั่นแหละหล่า เพราะเสียง
ของท่านดูท่าทางเกรงอกเกรงใจลูกมากๆเลย!
" ได้สวดมนตร์ รักษาสมาทานศีล ทำสมาธิ แผ่เมตตาจิตให้เจ้าอยู่ทุกวัน
พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องให้ความเคารพท่านเช่นกัน แต่ ครั้งหน้า
พวกเราจะกลับมาใหม่!! ขอให้เจ้าเตรียมตัวเอาไว้ด้วย " )
แม่ของนิมนิม มีแววตาที่ดูตื่นตระหนกหวาดกลัวมาก ๆ
ในขณะที่กำลังเล่าเรื่องที่ตนเองมองเห็น ให้บุตรสาวคนกลางรับฟัง
" พอเว้าแล้ว เพิ่นสี่คนกะพากันมองไปทางที่โตนอนหลับอยู่
แล้วกะพากันย่างออกจากประตูห้องทางนี้ หายไปเลย!!
จั่งวาหายไปไส? หมาเฮือนเฮานอนเฝ้าอยู่ทางนอกตั้งหลายโต กะบ่เห่าจั๊กแอะ!!
โอ๊ย!! แม่ว่าเพิ่น บ่ แม่นตำรวจดอกหล่า เพิ่นต้องปลอมโตมาเว้ามาบอกแม่ซือ ๆ
แม่ย่านแฮงหลายกะเลยนอน บ่ หลับอีกเลย แม่เลยนอนสวด :
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ฯ
ตามที่โตเคยสอนแม่ไว้ ไปเรื่อย ๆ จนว๊า!! โดนเติบ!!
แม่จั๊งหลับไปแต่ยามได๋? แม่กะ บ่ ฮู้ ? "
(แปลจากอีสาน : " พอพูดจบ ท่านสี่คนก็พากันหันไปมองด้านที่ลูกนอนหลับอยู่
แล้วก็พากันเดินออกจากประตูห้องทางนี้ หายไปเลย!!! ไม่รู้ว่าหายไปไหน?
สุนัขบ้านเรานอนเฝ้าอยู่ด้านนอกตั้งหลายตัวก็ไม่เห่าสักแอะ!!
โอ๊ย!! แม่ว่าท่านไม่ใช่ตำรวจหรอกลูก ท่านต้องแปลงกายมาพูดมาบอกแม่เฉย ๆ
แม่กลัวมาก ๆ ก็เลยนอนไม่หลับอีกเลย แม่เลยนอนสวด
: อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ฯ
ตามที่ลูกเคยสอนแม่ไว้ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง!! นานพอควร!!
แม่จึงเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน? แม่ก็ไม่รู้ " )