นิมนิม รู้สึกถึงการได้ปลดปล่อยอดีตอันแสนขมขื่น
และหนักหนาสาหัสจนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ของตัวเธอเอง
ไปพร้อมๆกับ การโยนตัวขึ้น โยนตัวลง ของชิงช้าไม้แผ่นนี้
เธอรู้สึกเหมือนกำลังกลับไปเป็นเด็กหญิงบ้านนอกตัวเล็กๆผอมเก้งก้าง
อีกครั้งหนึ่ง...
คุณพ่อของเธอ เคยผูกชิงช้าไม้แผ่นเดียวคล้ายๆแบบนี้ เอาไว้
ใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่มีก้านแตกกอออกอย่างแข็งแรงด้านข้างลำต้น
พื้นที่ใต้ต้นจามจุรีแห่งนี้จึงเป็นสนามเด็กเล่นและที่รวมพลของนิมนิม กับพี่สาว
น้องชายคนเล็กสุด รวมทั้งเพื่อนเด็กๆจากครอบครัวอื่น ซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกแถวนี้
นิมนิม เป็นนักอ่านตัวยงมาตั้งแต่เด็ก
ด้วยความที่คุณพ่อของเธอเป็นคุณครูระดับปริญญาตรีคนแรก ของกิ่งอำเภอแห่งนี้
ในจังหวัดขอนแก่น ทุกคนในพื้นที่แถวนี้จึงรู้จักและให้ความเคารพรัก
ต่อคุณพ่อของเธอ ทุก ๆ วันในช่วงที่ทุกคนในครอบครัวมานั่งล้อมเป็นวงกลม
เพื่อรับประทานอาหารมื้อค่ำกันพร้อมหน้านั้น คุณพ่อของนิมนิม
มักจะสอนลูก ๆ ทั้งสามคนไปด้วยเสมอๆ ว่า : ให้เป็นคนขยันเรียนรู้ และศึกษา
หาความรู้ เพราะความรู้คืออาวุธและเครื่องมือสำหรับการสร้างชีวิตที่ดี
เช่น คุณพ่อของเธอเป็นคนยากจน กำพร้าคุณพ่อ(ปู่)ที่ป่วยหนักจนเสียชีวิตไป
ตั้งแต่ท่านอายุเพียง 4 ขวบ คุณแม่ของคุณพ่อ(ย่า)จึงเลี้ยงดูคุณพ่อมา
อย่างทุกข์ยากลำบาก เพราะภาคอีสานสมัยก่อนนั้นเป็นดินแดนอันแห้งแล้ง
เมื่อเกิดเป็นคนจน ไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง ต้องรับจ้างปลูกข้าวทำนาให้คนที่มีฐานะกว่า
แต่เมื่อเกิดภัยแล้งขึ้นในพื้นที่แถบนั้น ย่าจึงอุ้มคุณพ่อออกเดินไป
ขอข้าวสาร(ข้าวเหนียว) จากในหมู่บ้านอื่นที่ฝนตกแล้วได้ทำนา
เพื่อนำมานึ่งกินประทังชีวิต จนกระทั่งย่าได้พบกับสามีคนใหม่(ปู่คนใหม่)
คุณพ่อเล่าว่า สิ่งเดียวที่ได้ช่วยพัฒนาชีวิตของคุณพ่อ
จนเรียนจบในระดับปริญญาตรี ( ช่วงพุทธศักราช 2508)
สามารถสอบเข้ารับราชการครู ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติได้รับการยกย่อง
เคารพจากสังคมในยุคนั้น สิ่งนั้นคือ เพราะคุณพ่อขยันอ่านหนังสือท่องตำรา
ค้นหาความรู้จากการอ่าน จึงเป็นเด็กเรียนดี ความจำแม่น
จึงได้รับทุนการศึกษา : เด็กเรียนดีแต่ยากจน มาโดยตลอด
คุณพ่อจึงถือว่า : การศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดของการดำเนินชีวิต
ดังนั้นนิมนิม จึงฝึกอ่านหนังสือ รวมทั้งอ่านทุกสิ่งที่มีตัวหนังสือมาตลอด
ตั้งแต่เริ่มฝึกการอ่านตอนอายุได้ 5-6 ขวบ เธอกลายเป็นหนอนหนังสือ
ประจำห้องสมุดโรงเรียน และห้องสมุดมหาวิทยาลัย
นอกจากนั้นเธอยังใช้เงินที่ค่อยๆเก็บสะสมในแต่ละเดือนหมดไป
กับการเข้าร้านหนังสือและหอบหนังสือชุดใหม่ติดมือออกมาจากร้าน ทุกครั้ง
" หากท่าน
ไม่เชื่อถือผู้อื่น
ผู้อื่นไหนเลย
เชื่อถือท่าน "
นิมนิม กล่าวบทกวีที่กินใจของ "โกวเล้ง" นักปราชญ์ชาวจีนโบราณ ขึ้น
ท่ามกลางความเงียบที่ไม่เงียบมากจนเกินไปนัก นั่นก็เพราะมีเสียงคลื่น
กระทบฝั่งอยู่ไม่ไกล อีกทั้งเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าแมลงพฤกษ์ไพรในราตรีกาล
ที่ซึ่งต่างแข่งกันออกมาหากิน ท่ามกลางความมืดใต้แสงแห่งดวงดาว
ระยิบระยับในคืนนี้ ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัว ของสตรีสาวอายุมาก
แต่ดูภายนอกแล้วเหมือนเธออายุไม่เกิน 30 ปี ดูมีมนตร์เสน่ห์
น่าค้นหา มิตรแท้คู่ใจสักคน เพื่อนั่งชมแสงจันทรา ด้วยกัน
ต่างรินจอกชาจีน ชนกันประสานใจ จิบชาร้อน ก่อนพร่ำถึง บทกวี เยี่ยงปราชญ์
" ชื่อเสียง คล้ายเป็นแอกอันหนักอึ้ง
สร้างชื่อเสียง ยากเย็นเท่าไหร่
การแบกรับมัน ยิ่งสาหัสกว่า "
เสียงอันนุ่มทุ้มแต่ชัดเจนของบุรุษผู้หนึ่ง ดังขึ้นทางด้านหลังของนิมนิม
ณนนท์ เอ่ยบทกวีอีกบท ของปราชญ์ชาวจีน "โกวเล้ง"
ที่ซึ่งเขาชื่นชอบอ่านและจดจำได้ ประสานต่อเสียงของนิมนิม
ที่พึ่งกล่าวบทกวีจบลง เขาเดินตรงมาที่ชิงช้าไม้ของนิมนิม
แล้วหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังของชิงช้า ซึ่งกำลังโยนตัวลงจากอากาศมาสู่พื้น
นิมนิม ชะงัก! เธอรีบใช้ขาและเท้าทั้งคู่ยันพื้นทรายละเอียดเอาไว้!!
เพื่อบังคับการแกว่งไกวของชิงช้าจนหัวทิ่มไปข้างหน้า!! ก่อนที่เธอจะเอี้ยวตัว
หันมาทางด้านซ้ายของตน ตามกระแสเสียงที่ดังขึ้น ใกล้ๆ นี้
"อ้าว! ตกใจหมดเลยค่ะ!! "
นิมนิม รีบพูดเสียงดังด้วยความตกใจ อีกทั้งเพื่อเป็นการเรียกให้ผู้อื่น
ได้ยินเสียงของเธอจากบริเวณนี้ด้วย เธอเป็นคนระมัดระวังตัวเองสูง
และไม่ประมาทอยู่เสมอ ในขณะที่ชิงช้าไม้กระดานกำลังอยู่
ในช่วงจังหวะของการ โยนตัวลงมา
" สวัสดีครับ คุณ....? จำผมได้ไม๊ครับ ? "
ณนนท์ รับรู้ว่าหญิงสาวผู้นั่งอยู่บนชิงช้ากำลังรู้สึกกลัวและระแวดระวังตัว
เขาจึงรีบกล่าวคำทักทาย พร้อมกับก้าวยาว ๆ ด้วยขาเรียวยาวแข็งแรงทั้งคู่
ไปยืนอยู่บริเวณด้านหน้าของชิงช้าไม้ที่หยุดไกวลงแบบกระทันหัน
" เอ้อ! อ้อ! ค่ะ จำได้ค่ะ คุณก็พักอยู่ที่นี่เหมือนกันหรือคะนี่? "
นิมนิม ยิ้มแบบงง ๆ และรีบตอบตามมารยาทอันควร
เพราะเธอไม่ต้องการทำให้บุรุษผู้มีพระคุณของเธอผู้นี้ ได้รับการปฏิบัติที่ไร้มารยาท
ณนนท์ รู้สึกแปลก ๆ อย่างที่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายแก่ตนเองได้
เขาจึงเสยกแก้วไวน์ที่ถือเอาไว้ในมือขวาขึ้นดื่ม อึกใหญ่! จนเกือบหมดแก้ว
ก่อนที่จะลดแก้วไวน์ลงถือไว้ครึ่ง ๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับดวงตาคู่โต
ที่เปล่งประกายสวยงามด้วยอารมณ์งุนงงสงสัย ท่ามกลางแสงแห่งราตรีกาล
" ครับ ผมพักที่นี่เสมอ ๆ ครับ ทุกครั้งที่เดินทางมาหลบพักผ่อน
อืม! คุณก็ชอบบทกวีของ โกวเล้ง เหมือนกันใช่ไม๊ครับนี่? "
ณนนท์ รู้สึกถึงความอุ่นแผ่ซ่านจากต้นคอขึ้นไปตามใบหน้าเพราะฤทธิ์ของไวน์?
หรือเพราะฤทธิ์แห่งอารมณ์บางอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้นเองในใจของเขา ?
" ค่ะ ใช่ค่ะ ฉันชอบอ่านหนังสือและบทกวีค่ะ
หนึ่งในนักประพันธ์ที่ฉันติดตามผลงานของเขานั้น มีท่านโกวเล้ง อยู่ด้วยค่ะ
อ้อ! ฉันชื่อนิมนิม นะคะ ต้องขออภัยมากจริง ๆ ค่ะ ที่ก่อนหน้านั้น
ไม่ทันได้บอกชื่อแก่คุณเลย แหะ ๆ !! "
นิมนิม ได้โอกาสบอกชื่อของเธอและขอโทษไปพร้อม ๆ กัน
นี่คือมารยาทสังคมซึ่งเธอเรียนรู้โดยหลักของมานุษยวิทยามาเป็นอย่างดี
ทั้งจากหลักสูตรในมหาวิทยาลัย รวมทั้งจากประสบการณ์ยาวนาน
ที่เธอต้องทำงานไปด้วยเพื่อหาเงินเรียนหนังสือไปด้วย
" นิมนิม ? "
พระเอกคนดัง เอ่ยทวนชื่อของสตรีร่างสมส่วนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา
" ชื่อน่ารักจังครับ ขอบคุณที่บอกนะครับ
อ้อ! ผมชื่อ นนท์ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณนิมนิมอย่างบังเอิญครับ "
ณนนท์ เดาเอาเองว่านิมนิมบอกชื่อเล่นของเธอแก่เขา
เขาจึงบอกแค่ชื่อเล่นของเขาแก่เธอเช่นเดียวกัน
เพราะมันเป็นสถานการณ์อันไม่ปกติเลยสำหรับพระเอกชื่อดังเยี่ยงเขา
ที่ต้องมาแนะนำตัวแบบประหม่าและไม่คุ้นเคยแนวนี้กับผู้อื่น
แถมผู้นั้นยังเป็นสุภาพสตรีรูปร่างหน้าตามีเสน่ห์ดึงดูดใจเขาอย่างไม่รู้ตัว อีกด้วย