ณ เทือกเขาซีซาน แดนบรรพกาล
ป่าไผ่ ลำต้นใหญ่กว่า 2 คนโอบ ยอดไม้สูงเสียดฟ้า เรียงรายเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้า ขนาบ 2 ฟากฝั่งทางเดินยาวเหยียด คดเคี้ยวไปตามแนวต้นไม้ มองผาดเผินเหมือนเป็นธรรมชาติของป่าโปร่ง หากมองให้ดี ป่าผืนนี้ถูกสำนักซีซานตัดแต่งและดูแลเป็นอย่างดีแทบทุกตารางนิ้ว ด้วยแนวลำต้นเป็นระเบียบเกินกว่าเป็นป่าธรรมชาติ เซี่ยหยางอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสำนักซีซานคงเป็นคนเจ้าระเบียบและเข้มงวดไม่น้อยเชียว นอกเหนือจากนั้น ยังกั้นอาคมไว้รอบป่าเป็นปราการล่องหนเสียอีก
"พี่ใหญ่ ป่าไผ่แห่งนี้มีอาคมของสำนักซีซาน เหาะหรือหายตัวเข้าไปไม่ได้ ต้องเดินเท้าอย่างเดียว ท่านเปลี่ยนใจหรือยัง"
ตงเป่าฉือยืนอยู่ข้างๆ มองเห็นทางเดินยาวเหยียดก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เอ่ยถาม เซี่ยหยางส่ายหน้าตอบ
"ข้าต้องหยุดเขาให้ได้ ถ้าเจ้าคร้าน ไม่อยากเดิน ก็กลับสำนักตงซานไปก่อนเถิด"
"ได้! ข้าจะไปรอท่านที่อาศรมอาจารย์"
"เดี๋ยวสิเจ้าหมู! ข้าประชด เจ้ากล้าทิ้งข้าเหรอ"
เซี่ยหยางคว้าคอเสื้อด้านหลังของตงเป่าฉือไว้ ศิษย์น้องเลยค้อนขวับเข้าให้
"ตั้งแต่เป็นเซียนมา ข้าเดินอย่างมากก็แค่จากหอนอนไปโรงครัวเท่านั้น นี่จะให้ขึ้นเขาตั้งไกล ซ้ำยังใช้อาคมไม่ได้ ไม่รู้ว่าในป่ามีค่ายกลอะไรดักอยู่บ้าง พี่ใหญ่ ท่านเป็นเซียนเสินคุนแล้ว แต่ข้ายังเป็นจินตันอยู่ เห็นใจข้าหน่อยเถิด อีกอย่าง เดิมทีข้าไม่ค่อยชอบซีหยางอยู่แล้ว ทั้งขี้โอ่ ช่างข่ม ถูกปลดได้เสียก็ดี ให้ท่านเป็นผู้คุมกฎแทน ไม่ดีตรงไหน...ข้ารู้นะ ท่านมาห้ามเขา เพราะไม่อยากเป็นผู้คุมกฎเซียน"
ตงเป่าฉือกล่าวแทงใจของเขาครึ่งหนึ่ง เซี่ยหยางเลยกล่าวโต้ตอบไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ครู่ จึงยอมปล่อยคอเสื้อตงเป่าฉือแบบไม่เต็มใจนัก
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าไปคนเดียวก็ได้ เจ้าหมูแล้งน้ำใจ"
ว่าจบ เซี่ยหยางก็เดินผ่านม่านอาคมล่องหน เข้าเขตป่าไผ่ของสำนักซีซานไปเพียงลำพัง ตงเป่าฉือชั่งใจอยู่ครู่ เลยต้องวิ่งตามไปด้วย
"ข้าไปด้วยก็ได้ พี่ใหญ่ รอข้าด้วย...โอ๊ย!"
แต่ทว่า ศีรษะตงเป่าฉือกลับกระแทกม่านอาคมล่องหนดังลั่น เซี่ยหยางเลยรีบวิ่งกลับมาดู ยกมือแตะอาคมสำรวจให้ชัดเจนอีกครั้ง
"ม่านอาคมนี้ไม่ให้เซียนจินตันผ่านหรือ?"
"ผิดแล้ว ม่านอาคมนี้กั้นไว้เพื่อไม่ให้เซียนขั้นต่ำกว่าฮว๋าเสินออกไปต่างหาก"
เสียงหนึ่งกล่าวไขข้อข้องใจอยู่เบื้องหลัง เซี่ยหยางกลับหลังหันมอง พบซีหยางยืนสะพายย่ามผ้าอยู่เบื้องหลัง สวมอาภรณ์ผ้าฝ้าย สีขาวดำ ราบเรียบ ไม่สะดุดตา ยิ่งไปกว่านั้น ไร้ซึ่งพลังวิญญาณ เขามองแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ฝ่ายตงเป่าฉือกลับชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ใส่
"เช่นนั้นท่านจะออกมายังไง ท่านเป็นมนุษย์ไปแล้ว"
"อาคมกั้นเซียน ไม่ได้กั้นมนุษย์ ข้าออกไปได้อยู่แล้ว"
ซีหยางตอบไม่ยี่หระแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่เซี่ยหยางรีบขวางหน้าไว้ก่อน
"ช้าก่อน ท่านเป็นเซียนตั้งแต่ถือกำเนิด เห็นทีคงใช้ชีวิตเช่นมนุษย์ไม่ได้ โปรดทบทวนใหม่อีกครั้งเถิด เหยียนอีเลี้ยงดูท่านมา อย่างไรเสีย ต้องไม่ทอดทิ้งท่านแน่นอน"
เซี่ยหยางส่งแววตาขอร้องให้เปลี่ยนความคิด กลับทำให้ซีหยางรู้สึกสังเวชตัวเองมากกว่าเก่าจนยิ้มเหยันระคนเศร้าใจออกมา
"น้องชาย ข้าตัดสินใจไปแล้ว อาจารย์เป็นคนเด็ดขาด ไม่คืนตบะให้ข้าหรอก เจ้าหลีกไปเถิด ให้ข้าไปตามทางของข้าดีกว่า"
"วิญญาณเซียนของแม่นางเป่ยอวิ๋นยังอยู่"
เมื่อทัดทานเท่าไหร่ไม่เป็นผล เซี่ยหยางจึงกล่าวไม้สุดท้ายออกมา ซึ่งได้ผล ซีหยางหยุดชะงัก มองเขาอย่างมีความหวังขึ้นมา
"จริงอยู่ว่ากายทิพย์ของนางถูกคมหอกเซินอันทำลายไป แต่ช่วงนั้น...กายทิพย์ของหนานเหอสลาย ไอวิเศษจากกายมหาเทพตกจากภพสวรรค์ถึงภพมนุษย์ เป็นไอชีวิต ต้นจิตของแม่นางเป่ยอวิ๋นเป็นธาตุลม วิญญาณย่อมสัมผัสถูกไอวิเศษนั้น หากท่านยอมยั้งใจ ไม่ช้า ท่านต้องตามหานางจนพบแน่ๆ"
เมื่อฟังคำกล่าว ซีหยางก็ดีใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็สลดลงดังเดิม และส่ายหน้าตอบ
"สายเกินไป เซี่ยหยาง ข้ารู้จักอาจารย์ดี ท่านอุตส่าห์เดินทางมาตามข้ากลับไป...แต่ข้ากลับหันหลังให้ท่าน ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงริบตบะของข้าคืน...ข้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว"
"ไม่จริงเลย"
เซี่ยหยางยังคงยืนยัน เขาก้าวเข้าหาซีหยาง สีหน้าและแววตามุ่งมั่น เป็นกริยาที่ตงเป่าฉือแปลกใจ ก่อนไปจับอสูร ท่าทางของทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน ยามนี้ศิษย์พี่ของเขากลับห่วงใยราวกับนับถือเป็นสหายต่อกันแล้ว
"อาจารย์ของข้าก็เคยเสียตบะบำเพ็ญไป ยังกลับมาเป็นเซียนได้ ท่านเองก็เช่นกัน ข้าจะขอร้องเจ้าสำนักซีซานให้หาที่อยู่แก่ท่านบนเขาเซียน อย่างไรเสีย ท่านก็เป็นคนของที่นี่"
"เกรงว่าจะไม่ได้"
ผู้โต้ตอบเขา กลับไม่ใช่เสียงของซีหยาง เซี่ยหยางเบิกตาน้อยๆ หันมองต้นเสียง ครู่หนึ่งจึงปรากฏเซียนผู้สวมอาภรณ์ดำทอง ตัดกับสีของหนวดเคราขาว ยาวจรดช่วงเอว ยืนอยู่เบื้องหลังซีหยาง ท่าทีขึงขัง เข้มงวด และจับจ้องเขาเขม็ง
"คำสั่งของเจ้าสำนักใหญ่ ถือเป็นประกาศิต เมื่อไม่ยอมเป็นเซียน จะอยู่แดนเซียนได้อย่างไร ข้าช่วยไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง ที่ตงจิ้นทงกลับมาเป็นเซียนได้ เพราะท้อสวรรค์ ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงยังคืนร่างเดิมอยู่ในหุบเขาจงฉาง ต่อให้ข้ารับซีหยางเป็นศิษย์เซียน เริ่มบำเพ็ญใหม่อีกครั้ง ก็หาหนทางยากนัก"
"ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโส"
เซี่ยหยางรีบประสานมือคารวะพร้อมตงเป่าฉือ ก่อนจะเงยหน้ากล่าวโต้ตอบอย่างร้อนใจ
"ผู้อาวุโส ท่านทราบหรือไม่ขอรับ ว่าซีหยางมีจิตเทพของมหาเทพถงหลินแฝงวิญญาณ แต่เพราะพิธีกรรมบางอย่าง ทำให้เสินนั้นถูกบดบังไว้ เพื่อหลอมรวมกับพลังของกระบี่เทพ"
"...ข้ารู้..."
เจ้าสำนักซีซาน ซีอู๋ซือ กล่าวเสียงหนักใจพลางลูบเครา เรียกสายตาของซีหยางหันมองอย่างตกใจเช่นกัน เจ้าสำนักซีคิดอยู่ครู่ จึงกล่าวอธิบาย
"เซี่ยหยาง เจ้าเป็นเซียนไม่ถึงร้อยปี ได้ร่ำเรียนเรื่องรากวิญญาณแล้วหรือยัง"
"เรียนแล้วขอรับ รากวิญญาณสรรพสิ่ง แบ่งออกเป็น 4 อย่าง แรกสุดคือรากวิญญาณเทพ มีอยู่ในผู้เกี่ยวพันกับเทพสวรรค์ สองคือราวกวิญญาณนภา เป็นของผู้มีพรสวรรค์ฝึกเซียนอย่างเป่าฉือ ศิษย์น้องของข้า สามคือรากวิญญาณปฐพี เป็นของสรรพสัตว์ทั่วไป ไม่มีพลังวิเศษ และสุดท้ายคือรากวิญญาณอสูร เป็นของผู้เกี่ยวพันกับอสูรขอรับ"
"ในเบื้องต้น ถูกต้อง แต่เบื้องลึก ข้าเชื่อว่าตงจิ้นทงไม่สอนเจ้าเป็นแน่ ผู้มีรากวิญญาณเทพ ส่วนใหญ่เป็นเทพจุติใหม่ตามประกาศิตสวรรค์ หรือไม่ ก็เป็นทายาทเทพสวรรค์โดยตรง ผู้มีรากวิญญาณนี้ ถือกำเนิดโดยไอวิเศษอยู่แล้ว แม้ไร้ซึ่งตบะพลัง ก็ยังมีพลังวิเศษอยู่ เช่นเจ้า แต่รากวิญญาณนภานั้นต่างออกไป แม้ผู้มีรากวิญญาณนี้จะมีไอวิเศษบางส่วนในกระดูก ลมปราณ วิญญาณ พร้อมบำเพ็ญตบะ และสามารถบรรลุได้ถึงขั้นเทียนเซียน ตามสติปัญญาส่วนตน แต่เมื่อตบะสูญสิ้น ไอวิเศษแรกกำเนิดหายไป จะสร้างเพิ่มไม่ได้ ไม่อาจดูดซับพลังฟ้าดินหรือบำเพ็ญเพียรได้อีก อย่างมากแค่อายุยืนกว่า แข็งแรงกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ไม่อาจเป็นเซียน"
"เช่นนั้นเสินของมหาเทพถงหลินเล่าขอรับ ในชีวิตของข้า รู้จักคนผู้หนึ่ง มีรากวิญญาณปฐพี และมีเสินของมหาเทพถงหลินบางส่วนในวิญญาณ เสริมวาสนาให้เป็นใหญ่เป็นโตในภพมนุษย์ ก่อนสิ้นใจ ได้ชื่อว่าเป็นกึ่งเซียน มีพลังวิเศษสามารถสร้างอาคมในอาวุธได้ และให้กำเนิดทายาทเซียนกับกึ่งเซียนด้วยกันจากพลังวิญญาณ เป็นไปได้ว่า เสินของถงหลินในกายซีหยางจะยังมีพลังวิเศษอยู่"
คำกล่าวของเซี่ยหยาง พาให้เจ้าสำนักซีซานและซีหยางมองหน้ากัน แต่แล้ว เจ้าสำนักซีอู๋ซือก็ส่ายหน้าออกมา
"เดิมทีซีหยางมีเสินของมหาเทพถงหลินเพียง 2 ส่วน ด้วยวาสนาตามลิขิตสวรรค์ เหตุนั้นจึงถูกรับเลือกให้เข้าพิธีเชื่อมจิตเทวะศาสตราวุธ เมื่อบรรลุขั้นเซียนถึงเสินคุน ต้นจิตเติบโต จึงมีโอกาสใช้พลังของมหาเทพได้บางส่วน แต่รากวิญญาณนภา มีไอวิเศษแค่แรกถือกำเนิดเท่านั้น ไม่อาจดูดซับได้เพิ่ม เสียแล้วเสียเลย เซี่ยหยาง ข้าเองก็อยากช่วยซีหยาง แต่ไร้ซึ่งหนทางจริงๆ"
เจ้าสำนักซีซานลอบถอนหายใจ ทำซีหยางก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
"อาจารย์ เมตตาของท่าน ข้าจะไม่มีวันลืม หนทางนี้ ข้าเป็นผู้เลือกเอง...ความภักดีของข้าสั่นคลอน ใจของข้าหาได้มุ่งมั่นแน่วแน่ต่ออาจารย์เจ้าสำนักใหญ่อีก ข้าจึงไม่อาจเป็นผู้คุมกฎเซียนได้ต่อไป ศิษย์ขอลาท่านตรงนี้ขอรับ"
ซีหยางกล่าวบอกพร้อมกับคุกเข่าลงคำนับซีอู๋ซือ ผู้ซึ่งได้เพียงย่อเข่าลงลูบศีรษะศิษย์เท่านั้น เซี่ยหยางมองภาพเบื้องหน้าก็กำหมัดแน่น ไม่อาจยอมรับได้ เขาครุ่นคิดหาทางขัดแย้ง แต่แล้ว ซีหยางก็ลุกขึ้น คว้าตัวเขาเข้าไปกอดเสียก่อน
"!!"
เซียนหนุ่มตาโต คาดไม่ถึง สติหลุดไปชั่วขณะ
"น้องชาย น้ำใจของเจ้ามากมายนัก ข้าซาบซึ้งใจจริงๆ"
ซีหยางผละออก จับบ่าเซี่ยหยางให้มองหน้ากัน สีหน้าและแววตาของอดีตผู้คุมกฎนั้นเศร้าหมอง แต่ก็ซ่อนความโล่งใจไว้ไม่น้อย
"นอกจากเรื่องของเป่ยอวิ๋นแล้ว ใจของข้าไม่อาจภักดีต่ออาจารย์ได้อีก ข้าอยู่ในแดนเซียนตั้งแต่กำเนิด รับรู้แค่เซียนต้องทำอย่างไร ฝึกถึงขั้นไหน เซียนคือความดี ปีศาจคือความชั่วร้าย ข้าจำฝังหัวเช่นนั้นมาตลอด จนได้ออกไปแดนปีศาจกับเจ้าและผู้อาวุโสตงจิ้นทง ความเชื่อของข้าเปลี่ยนแปลงไป สรรพสิ่งล้วนยากแท้หยั่งถึง ที่ดูว่าดีกลับใจร้าย ที่ดูว่าร้ายกลับมีน้ำใจงดงาม แท้จริงแล้ว สรรพสิ่งในภพจักรวาลเป็นเช่นใดกันแน่...ข้าตัดสินใจบีบให้อาจารย์เจ้าสำนักใหญ่ริบตบะพลัง เพื่อออกไปค้นหาคำตอบเหล่านั้น"
ซีหยางถอยห่างจากเซี่ยหยางเพียงเล็กน้อย แล้วประสานมือคารวะ โค้งลงต่ำสุด เซี่ยหยางรีบจับบ่ารั้งขึ้นทันที
"ท่านทำอะไร!"
"องค์เทพ ได้โปรดรับการขอขมาจากข้า ทั้งที่ถือกระบี่ของท่านมานับพันปี แต่ข้ากลับโง่เขลานัก ใช้กระบี่อวดอ้างพลังวิเศษ ยกตนเป็นใหญ่ ใฝ่หาเพียงเพิ่มพลังวิเศษในอาวุธ หลงระเริงว่าตัวเองมีรากวิญญาณเทพ...ทั้งยังดูหมิ่นท่าน กล่าวหาว่าท่านอ่อนแอ แท้จริงแล้ว ท่านเพียงต้องการให้สรรพสิ่งพึ่งพาต่อกัน ไม่แบ่งแยก สมควรแล้วที่ข้าถูกริบตบะพลัง ขออย่าได้เสาะหาวิธีใดช่วยเหลือข้าอีก ส่วนเป่ยอวิ๋น...ข้าจะออกตามหานาง แม้มีวาสนาต่อกัน คงได้พานพบอีกครั้ง"
เมื่อซีหยางแน่วแน่ในเจตนา เซี่ยหยางจึงไม่อาจทัดทานได้ เขาถอนหายใจ ยกมือตบบ่าซีหยางเบาๆ
"เช่นนี้แล้ว โปรดรักษาตัวด้วย อีกอย่างหนึ่ง...ข้าเป็นเพียงเจ้าปานแดง หาใช่มหาเทพหงหยาง ท่านอย่าคารวะข้าอีกเลย"
"เอาเถิด หากเจ้าไม่สบายใจ หากพบกันวันหน้า ข้าจะไม่ทำอีก"
ทั้งคู่ระบายยิ้มต่อกัน เต็มไปด้วยมิตรภาพ แม้เซี่ยหยางรู้สึกเสียดายลึกๆว่าจะไม่ได้พบกันอีก แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย เขายอมหลีกทางให้ซีหยางเดินผ่านม่านอาคมสำนักซีซานออกมา
อดีตผู้คุมกฎธาตุไฟรู้สึกใจหาย เพียงแค่ร่างกายผ่านกระแสลมอ่อน อันเป็นม่านอาคมล่องหน ปิดกั้นเขาซีซาน ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าม่านอาคมมีไว้เพื่ออะไร กระทั่งยามนี้ เมื่อลองยกมือแตะ กลับพบความหนาหนักเช่นกำแพงใหญ่ ไม่อาจล่วงเข้าด้านในได้อีกแล้ว เขามองเซี่ยหยางและเจ้าสำนักซีซานแทนคำบอกลา และมองป่าไผ่อันวิจิตรงดงามเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดใจหันหลังให้ ทว่า ตงเป่าฉือกลับขวางหน้าไว้ก่อน
"ช้าก่อน ท่านลงจากเขาเซียน มีเงินหรือไม่"
"ข้ามีอัญมณีติดตัวมาบ้าง ว่าจะไปขายที่ตลาดในเมือง"
"เช่นนั้น หากท่านไม่ถือสา ให้ข้าไปส่งที่แคว้นฉู่ ที่นั่นมีร้านค้าให้ราคางาม ข้ารู้จัก ข้าจะพาท่านไป"
"เซียนน้อย ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก"
"เอาเถิด เห็นแก่พี่ใหญ่เป็นห่วงท่าน ข้าอยากให้ท่านลงจากเขาได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องเดินเท้าหลายพันหลี่"
ตงเป่าฉือกล่าวทั้งรอยยิ้มไมตรี ซีหยางลังเลอยู่ครู่ เมื่อหันมองเซี่ยหยาง เห็นว่าพยักหน้าให้ จึงยอมรับความช่วยเหลือของตงเป่าฉือ
"ขอบใจเจ้ามาก"
"ไม่ต้องเกรงใจ"
กล่าวจบ ตงเป่าฉือก็ผายมือเรียกขวานออกมาเป็นพาหนะ พาตัวเองกับซีหยางก้าวขึ้นไปยืนบนนั้น แล้วจึงเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงสายลมอ่อนและไอวิเศษเซียน เซี่ยหยางเงยมองตามด้วยใจไม่สงบนัก แต่นั่นเป็นหนทางของซีหยาง เขาคงได้เพียงส่งความปรารถนาดีให้เท่านั้น
"ผู้อาวุโส เช่นนั้นผู้น้อยขอ..."
"ข้าสัมผัสไอเทวะลอยมาตามกระแสลมจากแดนปีศาจ ตอบข้ามาตามตรงว่านั่นเป็นของผู้ใด"
เจ้าสำนักซีอู่ซือกล่าวถามเสียงขึงขังขึ้น เซี่ยหยางครุ่นคิดอยู่ครู่ เขาไม่แน่ใจว่าหากบอกไปแล้ว จะส่งผลอย่างไร ความลังเลของเซียนหนุ่ม เปลี่ยนแววตาผู้อาวุโสกว่าอ่อนลงเล็กน้อย
"ไหนๆก็มาแล้ว ไปสำนักซีซานกับข้าเถิด"
"เอ๊ะ!!"
ยังไม่ทันได้ตอบรับ ซีอู๋ซือก็สะบัดแขนเสื้อร่ายอาคม พาเขาหายตัวไปจากป่าไผ่อย่างรวดเร็ว
-----------------------------
'ซ่าส์'
เสียงคลื่นทะเลซัดสาดและสายลมอ่อน หอบกลิ่นน้ำเข้ามาปะทะความรู้สึก คือสิ่งแรกที่ประสาทสัมผัสของเซี่ยหยางพบ ครู่หนึ่ง เขาจึงปรากฏกายอยู่กลางโถงตำหนักขนาดมหึมา อันเป็นตำหนักหินอ่อนขาว รูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกับบ้านเรือนทั่วไป ต่างก็เพียงเพดาน พื้น และผนัง ล้วนมีสีขาว เงาแวววับ เส้นสายลวดลายหินเป็นสีเทา เมื่อแสงแดดส่งถึง ทั่วทั้งโถงจึงสว่างกว่าปกติ ดูราวกับมีไอละมุนอบอวลอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งโถงตำหนักแห่งนี้ยังมีหน้าต่างบานกว้างจากพื้นจรดเพดาน ราว 10 ศอก หลายบาน ทั้งสองฟากฝั่งห้อง รับกระแสลมจากทิศเหนือใต้ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ว่าบัลลังก์เจ้าสำนัก เสา หรือแม้กระทั่งคบเพลิง ล้วนเป็นหินอ่อนทั้งสิ้น วิจิตรแปลกตา อ่อนละมุน ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของไป๋อวิ๋นขึ้นมา
เซี่ยหยางสลดลงเล็กน้อย เพราะว่านางถูกบีบคั้นให้ปลดผนึกพลัง เพื่อช่วยเหยียนซวน จึงถูกเทพสวรรค์จับได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย รู้อีกทีก็เห็นเจ้าสำนักซีซานยืนลูบเครามองอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้ขึ้นนั่งบนแท่นเจ้าสำนักเพื่อคุยกับเขาแต่อย่างใด อดคิดไม่ได้ว่า ภายนอกเจ้าสำนักซีอู๋ซือดูถือตน เงียบขรึม แท้จริงแล้วกับไม่ถือสาผู้น้อย ใจดีกว่าที่คิดไว้มากเชียว
"ตำหนักหลักของสำนักซีซาน ตั้งอยู่บนผา เบื้องล่างคือมหาสมุทรซีไห่ เป็นผืนเดียวกับมหาสมุทรตงไห่ แต่เพราะซีซานไม่ค่อยได้ฝึกวิชาใต้น้ำ ต่างจากตงซาน จึงไม่ใส่ใจเรื่องเขตกั้นแดนนัก อีกอย่างหนึ่ง ศิษย์ตงซานในรอบแสนปีที่ผ่านมา มีแค่เจ้าผู้เดียวที่ล่วงล้ำเขต เห็นแก่ตงอี้ซวิน ข้าจึงไม่ถือสาตงจิ้นทงนัก"
ได้ฟังคำกล่าวในสีหน้านิ่งขรึม เซี่ยหยางก็ใจหายวาบ ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอล่วงล้ำเข้ามาตอนไหน จึงรีบประสานมือขอขมา
"ผู้น้อยผิดไปแล้วขอรับ ผู้น้อยไม่ทราบมาก่อน"
"ไม่ใช่ความผิดเจ้า เจ้าเฒ่าตงจิ้นทง นิสัยซุกซน เจ้าเล่ห์ พาเจ้าล่วงล้ำเข้ามาเพื่อแอบเก็บไข่มุกหมื่นปี แต่เอาเถิด ไข่มุกก็เก็บไปแล้ว ข้าไม่ใส่ใจนักหรอก เถียงกับอาจารย์เจ้า มีแต่จะปวดหัว"
ซีอู๋ซือลูบเครา แสดงสีหน้าขัดใจ เซี่ยหยางเลยได้เพียงยิ้มเจื่อน ทว่า เมื่อมองสบตาผู้อาวุโสอีกครั้ง จึงนึกได้ว่าเขายังไม่ตอบคำถามสำคัญ เซียนจวินวัยหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ผู้อาวุโส ข้าไม่อาจปิดบังท่านได้ และคิดว่าท่านอาจจะรู้อยู่บ้าง ไอเทวะที่ท่านสัมผัสได้ เป็นของมหาเทพสององค์ขอรับ ผู้หนึ่งคือมหาเทพหลานเหอ อีกผู้หนึ่ง...คือมหาเทพไป๋อวิ๋น"
ฟังคำตอบ ซีอู๋ซือกลับไม่มีท่าทีตกใจ ทั้งยังสลดลง ผู้อาวุโสลูบเคราพลางถอนหายใจยาว
"มหาเทพทั้งสองผิดคำสาบานสวรรค์ เพียงเพื่อช่วยเหลือเซียนแดนบรรพกาล ข้าเป็นเซียนมาสองหมื่นปี รู้สึกละอายแก่ใจนัก"
"ผู้อาวุโสขอรับ ข้าขอถามตามตรง เหตุที่ท่านดูไม่ตกใจ เพราะท่านทราบอยู่แล้ว ข้าเดาถูกหรือไม่ขอรับ"
เซียนหนุ่มตัดสินใจถาม เจ้าสำนักซีซานครุ่นคิดอยู่ครู่ จึงโบกฝ่ามือเพียงครั้งเดียว ฉับพลัน หน้าต่างและประตูหินทุกบานก็ปิดลง เพดานด้านบนซึ่งสลักเป็นรูปกระแสลมอยู่เหนือคลื่นทะเล ปรากฏเป็นเส้นสายสีทองงดงาม ให้แสงสว่าง ทดแทนแสงจากดวงอาทิตย์ภายนอก เซี่ยหยางเผลออ้าปากค้าง เงยมองตื่นตาตื่นใจ
"เจ้านั่งก่อนเถิด"
เสียงของเจ้าสำนักซีซาน เรียกความสนใจเขา ครู่หนึ่งก็ปรากฏเก้าอี้รับรองน้ำชาด้านข้างโถง เซี่ยหยางลงนั่งฝั่งหนึ่ง ผู้อาวุโสลงนั่งฝั่งตรงข้าม มีเพียงโต๊ะน้ำชากั้นกลาง ไม่ได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์เจ้าสำนักแต่อย่างใด ความไม่ถือตัวนี้ ช่วยทำให้เซี่ยหยางผ่อนคลายลงมากเชียว เขาจัดแจงร่ายอาคม เสกชุดกาน้ำชา รินให้กับผู้อาวุโสก่อน ตามมารยาท ซีอู๋ซือรับมาพลางกล่าว
"หลายพันปีก่อน ช่วงนั้นเหยียนอีใช้เทวะอาวุธทั้ง 4 กำราบกลุ่มเซียนที่แข็งข้อต่ออำนาจของเทียนซานได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันที่แดนเซียนจะสงบสุข กลับมีคำทำนายปรากฏเหนือตำหนักเขาเทียนซาน เรื่องอสูรบรรพกาลทำลายวงอาคมภพมารออกมาเพื่อล้างผลาญภพจักรวาล จำต้องใช้อาวุธเทพทั้ง 4 เปิดภพมาร ส่งกลับไป เซียนผู้นั้นแม้ถืออาวุธเทพได้ทั้งหมด แต่มีผู้เดียว สองมือ ไม่อาจใช้พลังของอาวุธได้ เหตุนั้นจึงเกิดพิธีเชื่อมวิญญาณอาวุธเทพกับทารกเซียนขึ้นมา เพื่อจำลองเทพบรรพกาลขึ้นมาใช้อาวุธ"
เจ้าสำนักซีซานจิบชาสักครู่ จึงเล่าต่อ
"ทารกเซียนมากมายถูกคัดจากพลังวิญญาณ เวลาตกฟากเกิด ต้นจิต เลือกจากบิดามารดาขั้นเสินคุนทั้งสิ้น แต่กลับไร้ผล อาวุธเทพไม่ตอบรับผู้ใด กระทั่งมาถึงลูกสาวของตงอี้ซวิน แรกเริ่ม นางค้านหัวชนฝา เพราะถึงแม้กำเนิดจากเซียนเสินคุนเช่นนาง แต่บิดาของทารกน้อย เป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งเสียสละตัวเองในสนามรบ ไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าตัวเองมีลูกสาวด้วยซ้ำ อี้ซวินจึงรักและหวงแหนบุตรีผู้นี้มาก แต่ยามนั้นเหยียนอีไม่อาจหาทารกจากเซียนเสินคุนได้อีก จึงเกลี้ยกล่อมนางจนสำเร็จ...เจ้าคงรู้จากตงจิ้นทงว่าเกิดเรื่องใดขึ้น"
"ขอรับ อาจารย์บอกว่า อาวุธของเทพบรรพกาลเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อผู้หนึ่งรับพลังไม่ได้ จึงพาทารกผู้อื่นสลายไปด้วย แม่นางไป๋เป็นผู้เดียวที่ร่างกายไม่สลาย เพียงแค่หลับไป"
"ไม่ใช่ผู้หนึ่งรับพลังไม่ได้ แต่ไม่มีผู้ใดรับพลังได้เลย เหตุที่บุตรีของนางร่างกายไม่แหลกสลาย เพราะนางถ่ายทอดพลังวิญญาณให้ตลอดเวลา จนพลังของนางแทบไม่เหลือ ยามนั้นนางพร้อมสละตัวเองไปพร้อมกับบุตรี แม้แต่เหยียนอีก็ทัดทานไม่ได้ ช่างน่าเศร้าใจนัก"
ได้ฟัง เซี่ยหยางก็ก้มหน้าลง รู้สึกใจหายแทนตงอี้ซวิน นึกถึงกริยาของนางที่ทำเป็นใจแข็ง ไม่ให้เขากล่าวถึงไป๋อวิ๋น แต่ใจของนางคงแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
"แต่แล้วอยู่ๆ ช่วงที่นางเกือบจะสิ้นใจไปพร้อมกับทารก เช้าวันรุ่งขึ้น พลังของนางกลับฟื้นขึ้นมาจนสมบูรณ์ ทั้งยังอุ้มบุตรีเพียงผู้เดียวออกมาจากตำหนักเทียนซาน ทารกน้อยแม้หลับใหล แต่กลับมีพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ทั้งต้นจิตเป็นสายลม มีไอหยางบริสุทธิ์ กลุ่มผู้อาวุโสที่รู้เรื่องจึงคาดเดาว่าอี้ซวินคงถ่ายทอดพลังวิญญาณให้ทารก จนกระตุ้นจิตเทพนางให้เติบโตได้ เหตุนั้น เหยียนอีจึงตั้งนามของนางว่าไป๋อวิ๋น เพื่อชดใช้ต่ออี้ซวิน"
"เช่นนั้น...ไยท่านจึงไม่รับนางเป็นศิษย์เล่าขอรับ ต้นจิตของนางเป็นสายลมแท้ๆ"
"เพราะนั่นคือความตั้งใจของมหาเทพไป๋อวิ๋น"
เจ้าสำนักซีซานกล่าวพลางรินน้ำชาเติม จิบสักนิด ปล่อยให้เซี่ยหยางแปลกใจสักครู่ ค่อยตอบ
"สองพันปีต่อมา เมื่อทารกน้อยลืมตาขึ้น อี้ซวินเรียกให้ข้าไปดูนาง เจตนาฝากฝังบุตรีไว้ เมื่อข้าเห็นนาง กลับพบว่าพลังต้นจิตของนางแข็งแกร่งกว่าเซียนทั่วไปมาก ที่กลางหน้าผาก มีจุดอักขระวิญญาณ สีเงินสว่างไสว ข้าตั้งใจจะรับนางเป็นศิษย์ หากแต่ยามนั้น มีกระแสเสียงหนึ่ง ส่งถึงจิตของข้า เอ่ยทัดทานไว้ก่อน...เป็นเสียงของมหาเทพไป๋อวิ๋น"
ฟังคำกล่าวจบ เซี่ยหยางก็นิ่งอึ้ง เจ้าสำนักซีซานกล่าวต่อ
"ยามนั้นข้าไม่อาจล่วงรู้เจตนาของนาง แต่ก็จำต้องรับประกาศิตเทพสวรรค์ ปฏิเสธอี้ซวินไป เป่ยหรงจึงรับนางไว้แทน ข้าเดาว่านางต้องการปกปิดพลัง หากฝึกกับสำนักซีซานที่มีพื้นฐานอาคมธาตุลม ไม่ช้า ความลับของนางจะเปิดเผย แล้วก็จริงดังข้าคาดเดา วันชุมนุมเซียน ทั้งที่นางไม่เคยฝึกอาคมกระแสลม กลับใช้อาคมวายุได้แข็งแกร่งกว่าข้ากับอาจารย์รวมกันเสียอีก เหล่านี้ล้วนเป็นมติสวรรค์ เซียนผู้น้อยเช่นข้า ได้เพียงเฝ้ามองห่างๆเท่านั้น"
เจ้าสำนักซีซานรินน้ำชาให้เซี่ยหยางกลับบ้าง เซียนหนุ่มจึงรับมาจิบดื่มอย่างนอบน้อม แต่แล้ว เขากลับนึกบางอย่างได้
"เช่นนั้น ท่านคงทราบเรื่องมหาเทพหลานเหอด้วย ใช่หรือไม่ขอรับ"
ฟังคำถาม เจ้าสำนักซีซานก็ครุ่นคิดเล็กน้อย
"...ข้าไม่รู้ ได้ข่าวเพียงผู้คุมกฎหนานละสังขารกลางเวิ้งปีศาจ เมื่อรวมกับฝนเทวะก่อนหน้านี้ จึงคาดเดาเอาเอง เหตุที่มหาเทพหลานเหอแฝงกายเข้ามา คงเพราะพิธีเชื่อมวิญญาณกับอาวุธเทพ เพื่อช่วยเหลือทารกเซียนให้ปลอดภัย..."
ฟังคำเล่า ใจของเซี่ยหยางยิ่งหดหู่ พวกเขาทั้งสองคงเฝ้ามองอยู่นานมาก แต่ไม่อาจหาหนทางช่วยเหลือได้ ด้วยผิดต่อคำสาบานสวรรค์ สุดท้าย ก็ต้องแหกฏเพื่อช่วยสรรพชีวิตเบื้องล่างอยู่ดี ในหัวของเขา มีแต่ภาพหนานเหอสละชีวิตตัวเอง และภาพไป๋อวิ๋นถูกเทพสวรรค์จับไปเท่านั้น แต่แล้ว เขากลับนึกบางอย่างได้
"ผู้อาวุโสขอรับ ข้ามีเรื่องสงสัยอีก ข้าได้ยินมาว่า ประมุขสวรรค์มอบอาวุธเทพทั้ง 4 ให้แดนบรรพกาล เพราะแบบนั้น เหยียนอีจึงต้องคิดพิธีเชื่อมวิญญาณขึ้นมา อาวุธเทพ หากไม่มีวาสนา ก็ไม่อาจแตะได้ ข้าเดาถูกหรือไม่ขอรับ"
"ถูกเพียงครึ่ง มหาเทพจิวเทียนเพิ่งมอบอาวุธทั้ง 4 ให้แดนบรรพกาลอย่างเป็นทางการ หลังจากศึกจันทราอับแสง แต่อาวุธอยู่กับเหยียนอีตั้งแต่รับตำแหน่งเจ้าสำนักเทียนซาน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าได้มาอย่างไร หนำซ้ำ เซียนผู้นั้นกลับเป็นผู้เดียวที่จับอาวุธทุกอย่างได้ ขนาดปรมาจารย์จื่อเสียนยังไม่อาจแตะต้องได้ด้วยซ้ำ...เห็นที คงมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ ความวุ่นวายเหล่านี้ คงไม่มีทางจบสิ้นเป็นแน่ เซียนจะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่กัน"
เจ้าสำนักซีซานมองเซี่ยหยางจริงจังขึ้น ทันใดนั้น ผู้อาวุโสกว่าก็คุกเข่าลงกับพื้น เบื้องหน้าของเขา ทั้งยังคำนับผู้น้อยกว่า เซี่ยหยางเบิกตาโต รีบคุกเข่าตาม รั้งตัวผู้อาวุโสลุกขึ้น
"ผู้อาวุโส ท่านทำอะไร ข้าจะอายุสั้นเพราะท่านนะขอรับ"
"องค์เทพ ได้โปรดยุติความกำแหงในอำนาจของเซียนผู้นั้นด้วยเถิด!!"