เซี่ยหยางบรรจงเหยียบพื้นหินอ่อนสีดำสนิท ขัดมันวาววับราวกับแสงดาวอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่ารองเท้าของเขาจะทำพื้นเป็นรอย ดวงตาสีเปลือกไม้กวาดมองโถงขนาดใหญ่มหึมา ชนิดที่ว่า จุคนทั้งเมืองฝูยังไม่ถึงครึ่งของห้องนี้ ทั้งเพดายังสูงเสียดฟ้า สลักเสลาลวดลายเถาวัลย์ไม้ สัตว์หน้าตาแปลกๆที่เขาไม่เคยเห็น
"ที่เจ้าเห็น คือภาพสลักสัตว์เทวะ 4 ทิศ"
"!!!"
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงหนึ่งกังวานก้อง สะท้อนเข้าไปถึงในใจ ทุ้มต่ำ ทรงอำนาจ หากแต่แฝงความนุ่มนวล เขากวาดตามองหาไม่พบผู้ใด นอกจากแผ่นหลังของตงลู่ที่เดินนำไม่หวั่นไหว และตงจิ้นทงที่เดินลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง
"ทิศเหนือคือพยัคฆ์ดำ ทิศใต้คือกิเลนแดง ทิศตะวันออกคือมังกรฟ้า ทิศตะวันตกคืออินทรีขาว สัตว์ทั้ง 4 รับคำสั่งจากเทพบรรพกาล เฝ้าคุ้มครองจักรวาล โดยมีจักรวาลอยู่กึ่งกลาง โถงแห่งนี้ เปรียบดังจักรวาล รูปสลักเป็นตัวแทน"
สิ้นสุดคำเล่า พลันเกิดละอองประกายสว่างไสวคล้ายแสงดาวยามค่ำคืนบนเขาเซิน ครอบคลุมทั่ว ตงลู่หยุดฝีเท้า เซี่ยหยางจึงต้องหยุดฝีเท้าตาม ไม่นานนัก รูปสลักก็ขยับเขยื้อน เริ่มจากมังกรฟ้ากายใหญ่ยาว เหาะรอบโถงอย่างเริงร่า พาเงานิมิตคล้ายมหานทีกว้างใหญ่ซัดสาดคลื่นไปมา เพียงครู่ กิเลนแดงก็วิ่งมาเสริม เปิดปากพ่นไฟสว่างไสวกระจายไปทั่ว ตามด้วยอินทรีตัวมหึมา กระพือปีกขาวพัดสายลมกรรโชก และพยัคฆ์ลายขาวดำ ท่าทางน่าเกรงขาม เหยียบย่างไปที่ใดก็มีพื้นดินรองรับ
เมื่อครบถ้วน ภาพมายาเลือนร่างหาย ก็ปรากฏชายวัยหนุ่มผู้หนึ่ง สูงวัยกว่าตงลู่ อ่อนวัยกว่าตงจิ้นทง สวมอาภรณ์ดำสลับทอง ดูน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใส ร่อนกายลงมาจากเพดานสูง ค่อยๆลงนั่งบนบัลลังก์หินอย่างสง่างาม ตงลู่ และตงจิ้นทงพร้อมใจกันคุกเข่าลง เซี่ยหยางจึงรีบทำตาม ประสานมือคารวะ
"ศิษย์ ตงลู่ คารวะอาจารย์ใหญ่"
"ศิษย์สำนักตงซาน ตงจิ้นทง คารวะเจ้าสำนักใหญ่"
ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน เซี่ยหยางเห็นก็ทำท่าจะอ้าปาก หากแต่เหยียนอี เจ้าสำนักตงซาน ยกมือห้ามไว้ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากของเขาก็ขยับไม่ได้ ไร้เสียง เด็กหนุ่มใจหายวาบ รู้สึกถึงอำนาจของบุคคลเบื้องหน้าจนหวาดกลัวขึ้นมา
"ให้อาจารย์เจ้าเป็นผู้แนะนำ"
เหยียนอีกล่าวเสียงดังฟังชัด จ้องมองตงจิ้นทงแทนคำสั่ง ผู้ถูกมองจึงเหล่ตงลู่เพียงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร
"ตงลู่ เจ้าออกไปก่อน" เหยียนอีกล่าว
"ขอรับ อาจารย์ใหญ่"
เมื่อขอตัวลาเรียบร้อย ตงลู่หันมาหาเซี่ยหยางด้วยรอยยิ้ม กล่าววาจาเพียงให้ได้ยินสองคน
"ปกติแล้ว อาจารย์ใหญ่ไม่ออกมารับผู้ใด เจ้ามีวาสนานัก น้องชาย"
ตงลู่กล่าวจบก็เดินจากไป คล้อยหลังแล้ว ตงจิ้นทงจึงลุกขึ้นยืน จับแขนเซี่ยหยางลุกขึ้นยืนตาม สีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีแววล้อเล่น ไม่เหลือคราบตาแก่จอมปลิ้นปล้อนที่เซี่ยหยางคุ้นเคยสักนิด
"ศิษย์ข้าไม่ได้เป็นใบ้ เจ้าคลายอาคมเสีย"
ตงจิ้นทงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่แฝงความไม่พอใจไว้มาก เหยียนอีจึงยิ้มมุมปาก ฉับพลัน...
"!!!"
เซี่ยหยางตกใจผงะหงายหลัง เมื่ออยู่ๆชายผู้นั่งบนบัลลังก์ ห่างออกไปเป็นหลี่ ก็ปรากฏกายเบื้องหน้าต้นเอง ทั้งยังยื่นหน้าหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกแทบติดกัน ไม่ทันได้ตั้งสติ ชายผู้นั้นก็ขยับแค่ปลายนิ้ว ร่ายอาคม พาร่างเด็กหนุ่มพุ่งเข้ากระแทกเสาริมห้อง ล้มกลิ้งลงสำลักโลหิตแทบสิ้นสติ ตงจิ้นทงเบิกตากว้าง ว่าใส่ผู้กระทำด้วยโทสะ
"เหยียนอี เจ้าทำเกินไปกระมัง"
"เจ้าต่างหาก"
เหยียนอีกล่าวในกริยาเรียบเฉย ไม่ปรายตามองตงจิ้นทง เขาย่างสามขุมเข้าหาเซี่ยหยางที่นอนมึนงงกับพื้น ฟุบหน้าผากจมกองโลหิต หายใจรวยริน แล้วจึงย่อกายลงนั่งยองอย่างเชื่องช้า รั้งใบหน้าเด็กชายขึ้น แววตาราบเรียบ มองไม่ออกว่าคิดสิ่งใดในใจ จับจองปานแดงใหญ่เปื้อนโลหิตไม่วางตา
"ลมหายใจมนุษย์ กระดูกมนุษย์ เวลาตกฟากเกิดไร้พรสวรรค์ ลมปราณกระจัดกระจายทั่วร่าง มีตำหนิอัปมงคล เจ้าเลือกศิษย์เช่นนี้ มิเท่ากับประชดประชันข้าหรือ"
เหยียนอีลุกขึ้นยืนตัวตรง โบกมือเพียงนิด เซี่ยหยางก็ถูกมือล่องหนกระชากให้ยืนตาม เพราะเหตุนั้น เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าขาข้างหนึ่งไร้ความรู้สึกไปแล้ว ไม่อาจขยับได้
"ข้าเลือกศิษย์ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ เด็กชายด้านข้างเจ้า เป็นผู้กตัญญูต่อบุพการี อดทน อดกลั้น จิตใจอ่อนโยน ไม่รังแกผู้อ่อนแอกว่า สิ่งเหล่านี้ต่างหาก คือวิถีเซียน เจ้าเองก็ไร้ซึ่งพรสวรรค์เซียน กระดูกมนุษย์ ลืมแล้วหรือ"
สิ้นวาจา เหยียนอีก็โบกฝ่ามือผลักร่างเซี่ยหยางลอยละลิ่วหมายให้กระแทกเสาอีกครั้ง แต่คราวนี้ตงจิ้นทงหายตัวในพริบตา รั้งร่างเด็กชายไว้ได้ทันท่วงที เหยียนอีกลับพุ่งตัวมาแย่ง ขว้างเซี่ยหยางออกไปไกลจนกระแทกเข้ากับฐานบัลลังก์ ล้มฟุบลง คราวนี้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกระดูกแขนขวาหักชัดเต็มสองหู เขาเจ็บที่สุดในชีวิต ยิ่งกว่าถูกเล็บของหลันหลิงเสียอีก
"เจ้า!!"
ตงจิ้นทงจะเข้าห้าม เหยียนอีก็คว้าจับร่าง โยนสุดแรงที่มี หมายให้กระแทกเสาริมห้อง ตงจิ้นทงกลับหายตัวในพริบตา ร่ายอาคม พากระบี่ขาวบริสุทธิ์มุ่งตรงเข้าหาดังลูกธนู เฉียดใบหน้าคมคาย บาดลึกข้างแก้มเป็นทางยาว แต่แค่ครู่ก็จางหายไป เหยียนอีตาลุกวาบด้วยโทสะ เหาะเข้าใส่พร้อมชักดาบเล่มมหึมา ยาวราว 2 ศอกกว่า ฟาดฟันกันใส่กันทุกกระบวนท่าอย่างดุดัน เกิดเสียงโลหะกระทบกันดั่งสายอัสนีฟาด รวดเร็วรุนแรงจนเซี่ยหยางมองเห็นเพียงแสงกะพริบไปมาเท่านั้น
"จิ้นทง เจ้าดื้อรั้น ประชดประชัน ไม่เท่าไหร่ เจ้าเอาชีวิตเด็กผู้หนึ่งมาล้อเล่น นี่หรือคือวิถีเซียน"
เหยียนอีต่อว่าเสียงเข้ม ขณะออกกระบวนท่าดุดันไล่รุกตงจิ้งทง
"วิถีเซียนของข้า มาจากภายใน ข้าไม่ฝึกเซียนเพื่อไปสังหารผู้ใด เฉกเช่นเจ้า เหยียนอี"
ตงจิ้นทงโต้กลับ อาศัยความพลิ้วจากรูปร่าง หลบหลีก เรี่ยวแรงของฝ่ายตรงข้าม หลอกล่อให้ใช้พละกำลัง ระหว่างนั้น เซี่ยหยางที่กำลังเจ็บปวดสุดทานทน แทบสิ้นสติ ก็ตัดสินใจเดินพลังรักษาบาดแผลของตัวเอง พาไออุ่นซ่านดังแสงตะวันฉายกระจายทั่วทั้งโถง ทะลุออกมานอกตำหนัก สัมผัสถึงเซียนในเขาเทียนซานโดยถ้วนทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ 4 ผู้คุมกฎ ผู้ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู พวกเขาเหล่านั้นหยุดชะงัก ตื่นตระหนก เผลอเปิดประตูเข้ามาภายในโถงทันที
ทั้งเหยียนอีและตงจิ้นทงพากันหยุดต่อสู้ หันมองเซี่ยหยางเป็นตาเดียว ครู่หนึ่ง ร่างที่นอนหมอบ เกือบหมดลมหายใจ ก็ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนหอบ มองเหยียนอีเขม็ง ผู้ถูกจ้อง เบิกตาเพียงนิด คล้ายว่าตื่นตกใจ เป็นภาพที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นจากเจ้าสำนักเทียนซานมาตลอดชั่วอายุของพวกเขา เว้นเพียงตงจิ้นทงที่เหยียดยิ้มพึงใจ
"...ท่านเจ้าสำนัก...เช่นนี้แล้ว...ข้าเป็นเซียนได้หรือยัง"
เซี่ยหยางเอ่ยวาจาอย่างยากลำบาก แม้แผลภายนอกเลือนหาย แต่ภายในยังบอบช้ำ ชายเบื้องหน้าไม่เพียงแค่โยนเขาเหมือนโยนหิน กลับใช้อาคมบางอย่าง ทำลายภายในอีกด้วย
"ลมปราณเซียน ไอหยางบริสุทธิ์"
เหยียนอีกล่าวกับตนเอง ครุ่นคิดอยู่ครู่จึงเคลื่อนย้ายในพริบตามุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มรวดเร็ว เซี่ยหยางไม่คุ้นเคยการต่อสู้ ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกคว้าจับคอเสื้อ โยนลอยละลิ่วกระแทกเสาต้นหนึ่งจนหัก คราวนี้ เขาได้ยินเสียงกระดูกทั่วร่างแตกเป็นท่อน เจ็บปวดเกือบจะขาดใจ
"เซี่ยหยาง! เหยียนอี เจ้าจะฆ่าศิษย์ข้าหรือ!"
"ขวางตงจิ้นทงไว้"
เหยียนอีสั่งผู้คุมกฎ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาหาผู้อาวุโสตงซานราวกับลูกธนู ต่างเปิดเผยเทวะศัตราวุธ ซีหยางถือกระบี่ ตงลู่ถือหอกยาว เป่ยอวิ๋นถือแส้เหล็ก และหนานเหอถือทวนวงเดือน ล้อมตงจิ้นทงเอาไว้ ตงจิ้นทงจึงไม่กล้าขยับ ได้เพียงมองศิษย์ตัวเองอย่างกังวล ยิ่งเห็นเหยียนอีกระโจนเข้าใส่ ดั่งพยัคฆ์ขย้ำเหยื่อ เขายิ่งทนดูแทบไม่ได้ แต่แล้ว ไอร้อนระอุยิ่งกว่าเปลวเพลิงใดบนโลกใบนี้ ก็ทำทุกคนล้วนตกตะลึงงัน
พวกเขาล้วนเห็นเด็กหนุ่มผู้ซึ่งบาดเจ็บสาหัส นอนจมกองโลหิต ใกล้สิ้นใจร่อมร่อ อยู่ๆก็ลุกขึ้นยืนได้ราวกับภาพมายา ทั้งยังแผ่ไอร้อนซ่านไปทั่ว เมื่อเห็นเจ้าสำนักเทียนซานกระโจนเข้าใส่กะทันหัน เด็กชายก็เผลอกางฝ่ามือถ่ายทอดเพลิงมหาศาลซัดเข้าใส่ เหยียนอีเบิกตาตระหนก ร่ายอาคม เรียกทวนในมือหลานเหอมาบังไฟเบื้องหน้าไว้ได้ทันท่วงที กระนั้น ผมเส้นหนึ่งของเขาก็ถูกเพลิงของเด็กชายไหม้เป็นจุน
เซี่ยหยางหอบหายใจตัวโยน รู้สึกร่างกายหนักอึ้ง ทรุดลงชันเข่า กระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ไม่เหลือเรี่ยวแรงเพื่อเดินพลังรักษาตัวเอง ในที่สุด เขาก็ยอมจำนนต่อความเจ็บปวด ทิ้งร่างล้มฟุบกับพื้น หมดสติไป
"เจ้าบ้า! เจ้ามันเสียสติ ทำกับศิษย์ข้าเกินไปแล้ว"
ตงจิ้นทงผลักหนานเหอออก ด้วยเป็นผู้เดียวที่ไร้อาวุธเทพ แล้ววิ่งสุดฝีเท้า อุ้มเซี่ยหยางขึ้นกับอก เขาหันหาเหยียนอีที่ดูตระหนกอยู่ไม่น้อย ซ้ำเม็ดเหงื่อยังผุดซึมหน้าผากจนเห็นเด่นชัด
"เด็กนั่น...เหตุใดมีเสินของเทพอัคคีแอบแฝงอยู่ในวิญญาณ"
คำถามของเหยียนอีพา 4 ผู้คุมกฎนิ่งอึ้ง โดยเฉพาะซีหยาง เขามองเด็กหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตา
"ข้าไม่รู้ รู้แค่เจ้าตั้งใจจะฆ่าศิษย์ของข้า"
"นั่นเพราะเจ้ามันรั้น!! รู้แก่ใจว่าข้าต้องการกำลังเซียนเพื่อไล่ล่าปีศาจ กลับต่อต้านข้า เพิกเฉยรับศิษย์ ทั้งที่ขั้นบำเพ็ญเจ้าเป็นรองเพียงข้าผู้เดียว จะโทษ ก็โทษความรั้นของเจ้าเถิด"
"ข้าไม่สนว่าเจ้าพูดอะไร ไม่สนด้วยว่าเจ้าจะลงบันทึกให้ข้าหรือไม่ เชิญเจ้าคลั่งหาเรื่องแดนปีศาจไปผู้เดียวเถิด"
"ตงจิ้งทง!!"
เหยียนอีตวาดก้องจนเขาเทียนซานทั้งลูกสะเทือน เหล่าศิษย์เซียนล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัว แม้แต้ผู้คุมกฏเซียนยังถอยหลังเข้าหากัน หากแต่ตงจิ้นทงไม่หวั่นไหว กลับหลังหันหนี เหยียนอีจึงเอ่ยรั้งไว้ก่อน
"ข้าจะลงบันทึกเซียน เจ้าหนูนั่นชื่ออะไร"
"เซี่ยหยาง ศิษย์สืบทอดของข้า"
"ได้ ข้าจะลงบันทึกให้เจ้าด้วยตนเอง"
ได้ยินวาจาเจ้าสำนักเทียนซาน ทุกคนก็หันมองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะตงจิ้นทง เมื่อเดาออกว่าสหายผู้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หลังจากรับตำแหน่งเจ้าสำนัก คิดสิ่งใดอยู่ในใจ
"อีก 50 ปี จะครบรอบคัดเซียนเข้าสำนักเทียนซาน ข้าจะลงชื่อเซี่ยหยางไว้เป็นผู้แรก"
"ข้าไม่อนุญาตให้ศิษย์สืบทอดของข้าเข้าร่วมกับเจ้า"
"เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าเด็กนั่นจะได้ออกจากที่แห่งนี้!"
เหยียนอีกระแทกปลายทวนวงเดือนลงพื้นเต็มแรง ก่อพลังคลื่นน้ำมหาศาลโอบล้อมตงจิ้นทงไว้ ผู้อาวุโสเจ็บใจที่ไม่อาจต่อกรอาวุธเทพสวรรค์ได้ ซ้ำเด็กชายยังหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ ด้วยบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส เมื่อถูกบีบคั้น ตงจิ้นทงจึงจำต้องยอมพยักหน้ารับ
"ดี!! พวกเจ้าไปได้แล้ว!!"
เหยียนอีสะบัดแขนเสื้อทีเดียว พาสองร่างเลือนหายไปจากโถงสำนักเทียนซาน คล้อยหลังแล้ว เขาทรุดลงนั่งชันเข่า กุมอกไว้แน่น ด้วยเจ็บปวดกับบาดแผลภายใน
"อาจารย์!"
เหล่าศิษย์ทำท่าจะเข้าหา เหยียนอีก็ยกมือห้ามไว้ ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนให้มั่นคง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วหายไปกลางอากาศในพริบตา
"เหลือเชื่อ...ตั้งแต่ข้าเป็นเซียนมา พันปี เพิ่งเห็นไฟที่ร้อนราวกับเผาจักรวาลได้ในชั่วพริบตา เหนือกว่าไฟของเจ้าเสียอีก ซีหยาง"
หนานเหอกล่าวตื่นเต้นโดยไม่ดูสีหน้าของซีหยาง เป่ยอวิ๋นเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
"อาจารย์บอกว่าน้องชายผู้นั้นมีเสินของเทพอัคคีแฝง เทพอัคคีมีหลายองค์ จะใช่เทพหงหยางหรือไม่นะ"
"ฮึ! มีเสินของเทพอัคคีแล้วยังไง ผู้ที่เข้าร่วมการคัดตัวต้องบำเพ็ญลมปราณถึงฮว๋าเสิน พวกเจ้าบรรลุฮว๋าเสินได้ใน 50 ปีหรือไม่เล่า ยังไงซะ เด็กนั่นก็ไม่รอดหรอก หลังจาก 50 ปีไปแล้ว อาจารย์ไม่ปล่อยไว้แน่"
กล่าวจบ ซีหยางก็หายตัวไปกลางอากาศ ทิ้งให้เหล่าสหายรู้สึกผิดที่เผลอพูดกระทบจิตใจ ด้วยซีหยางนั้นภูมิใจว่าเป็นผู้เดียวในแดนบรรพกาลที่มีรากวิญญาณมหาเทพอัคคี บัดนี้กลับมีคู่แข่งโผล่ขึ้นมา ซ้ำยังเด็กว่าตั้งพันปี ระหว่างนั้น ตงลู่ถือโอกาส ค่อยๆเดินห่างจากสหายทุกคน ติดตามอาจารย์ไป
----------------------------------------------------
'แดนบรรพกาล ปฐมเทพทั้ง 4 สละพลังวิญญาณสร้างขึ้น เพื่อให้เหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โบราณ ทั้งเซียน สัตว์วิญญาณ มีที่สงบ บำเพ็ญบรรลุฌานสวรรค์ ช่วยเหลือพิภพล่าง โปรดสรรพสัตว์ทั้งปวง เซียนไม่ได้มีไว้เพื่อสู้กับปีศาจด้วยพละกำลัง หากแต่ต้องขัดเกลาทางจิตใจ ความทะเยอทะยาน ใช้แดนบรรพกาลสร้างอำนาจให้ตัวเองของเจ้า สักวันหนึ่งจะส่งภัยร้ายต่อตัวเจ้าเอง'
คำกล่าวของเทพจื่อเสียนก่อนวาระสุดท้ายชีวิตจะมาเยือนผู้นั้น อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเหยียนอี ผู้ซึ่งยืนลูบคมดาบขนาดมหึมาในสีหน้าเยือกเย็น เบื้องหน้าป้ายวิญญาณของเทพจื่อเสียน ผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษในแดนบรรพกาล และเป็นเทพที่ปรึกษาคนสำคัญของเทพประมุขจิวเทียน กระทั่งได้กลิ่นไอดินปะทะจมูก เขาจึงสะบัดฝ่ามือเปิดประตู ร่ายอาคมพาร่างตงลู่ล้มลงนั่งคุกเข่าเบื้องหลังทันใด
"! อาจารย์ ศิษย์เพียงแค่ห่วงอาการบาดเจ็บท่าน ศิษย์ผิดไปแล้ว"
ตงลู่รีบคำนับบอก ด้วยเกรงว่าอาจารย์จะเข้าใจผิด เหยียนอีกลับหัวเราะในคอ หันมาหา วางคมดาบเล่มใหญ่จ่อลำคอศิษย์ตนเอง เปลี่ยนสีหน้าชายหนุ่มซีดเผือดด้วยหวาดกลัวจับใจ
"เจ้ารู้หรือไม่ ดาบเล่มนี้หลอมมาจากสิ่งใด"
"รู้ขอรับ หลอมมาจากเศษโลหะของอาวุธอสูรบรรพกาล อาบโลหิตปีศาจโบราณ...ล้างไอหยางในกายเทพเซียน สังหารเทพสวรรค์"
"ข้าสร้างดาบเล่มนี้เพื่อข่มเทวะศัตราวุธทั้ง 4 อย่าง และควบคุมเซียนหัวแข็ง นิสัยอย่างตงจิ้นทง มีเทพเซียนไม่น้อยดับขันธ์ภายใต้คมดาบนี้ หากไม่เพราะข้าเห็นแก่มิตรภาพที่เจ้านั่นเคยสละตบะบำเพ็ญทั้งหมด เพื่อรักษาชีวิตข้าไว้ วันนี้ข้าคงไม่ละเว้นชีวิตตงจิ้นทงเป็นแน่"
เพราะล่วงรู้โทสะของอาจารย์มีต่อตงจิ้นทงมากมายนัก ตงลู่จึงไม่กล่าวสิ่งใด เพียงก้มหน้าฟังเท่านั้น
"เหยียนซวนจะกลับมาเมื่อไหร่ เจ้ารู้หรือไม่"
ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยถามถึงหัวหน้าผู้คุมกฎ ผู้มีสิทธิ์ใช้ดาบเบื้อหน้าตนเอง ในฐานะศิษย์สืบทอดเจ้าสำนัก
"เรียนอาจารย์ อีก 7 วันขอรับ"
"ดี...เจ้าจับตาดูผู้อาวุโสของเจ้ากับเด็กคนนั้นให้ดี แล้วมารายงานข้า"
"ขอรับ....อาจารย์...เอ่อ...."
"หลังจากมหาเทพหงหยางดับขันธ์ สละพลังวิญญาณสร้างพิภพล่างไว้เป็นที่อยู่ให้สรรพสัตว์แล้ว มีเทพอัคคีกำเนิดทดแทนอยู่หลายองค์ด้วยกัน เจ้าอยากรู้หรือ ว่าเสินในร่างเจ้าเด็กปานแดงนั่น เป็นของเทพอัคคีองค์ใด"
คำถามราวกับเข้าไปนั่งในใจ ทำตงลู่ไม่กล้าตอบ เหยียนอียิ้มมุมปากเพียงนิด เลื่อนคมดาบจ่อลำคอศิษย์จนเกิดแผลบาดลึก ตงลู่กัดฟันแน่น อดทนกับความเจ็บปวด เหยียนอีจึงเหยียดยิ้มพึงใจพลางตอบ
"ข้าก็อยากรู้เช่นกัน"